18 พ.ย. 2020 เวลา 13:39
สวัสดีค่ะนักอ่านทุกท่าน วันนี้จะมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับลายแทงขุมทรัพย์ค่ะ ใช้ชื่อเรื่องว่าสมบัติพระราชา เนื่องจากเรื่องยาวมาก ขออนุญาตแบ่งเป็น สองตอนนะคะเริ่มด้วย
สมบัติพระราชา ตอนที่ 1
เมื่อครั้งที่กรุงศรีอยุธยาราชธานีของไทย ครั้งที่บ้านเมืองยังสุขสงบ อาณาประชาราษฎร์ล้วนมีชีวิตที่สุขสบาย จึงต่างเก็บหอมรอมริบ สะสมแก้วแหวนเงินทองของมีค่าไว้มากมาย จนกระทั่ง เกิดสงครามกับพม่า ผู้คนและสัตว์เลี้ยงล้วนถูกฆ่าตายกลาดเกลื่อน สมบัติมากมายที่สะสมกันไว้จึงถูกซุกซ่อนฝังไว้ตามที่ต่างๆ มากมาย ขุนนาง คหบดีและเจ้านายบางพระองค์ นอกจากจะฝังสมบัติไว้แล้ว ยังถึงกับฆ่าบริวารหรือทหารของตนให้ตายอยู่ตรงที่ฝังสมบัติ โดยที่หวังให้วิญญาณของผู้ตายกลายเป็นผี เฝ้าสมบัติของตนก็มี
สมัยก่อนไม่มีธนาคารให้ฝากและการันตีมูลค่าของสมบัติเหมือนกับสมัยนี้ ดังนั้น เลยต้องแอบฝังไว้ หลังจากฆ่าบริวารหรือทหารให้เฝ้าสมบัติเราเรียบร้อยแล้ว แล้วจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ลืมสถานที่ที่เราแอบฝังไว้ ล่ะ สมัยนั้นยังไม่มีแผนที่ใช้จึงต้องเขียนไว้ในรูปแบบของลายแทงซึ่งไม่เหมือนแผนที่ปัจจุบัน(ใครที่เคยอ่านเพชรพระอุมาจะทราบดี ว่าทำไมชดประชากรถึงได้นำพาคณะก้าวสกัดคณะของรพินทร์ได้ แต่วันนี้เราไม่ได้คุยเรื่องเพชรพระอุมา ผ่านไปก่อนนะคะ) ดังนั้น เมื่อทำลายแทงเรียบร้อย ถ้าบ้านเมืองยังไม่สุขสงบ ก็เก็บไว้ แล้วส่งต่อ ตกทอดมาถึงลูกหลาน ถ้าลูกหลานไปขุดเอง ก็จะได้สมบัตินั้นๆ แต่จับพลัดจับผลู ลายแทงไปตกอยู่กับคนอื่น แล้วไปขุด ก็ยากที่จะต่อสู้กับผู้ที่เฝ้าสมบัติ ดังเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้
ลายแทงขุมทรัพย์
อยุธยานับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันขึ้นชื่อเลื่องลือมากค่ะในเรื่องของวิญญาณ ที่มักมาปรากฏตามสถานที่โบราณต่างๆ แต่ความโลภถ้าได้เข้าใคร(บางคน)แล้วมักไม่ค่อยยอมออกไปง่ายๆ ดังนั้น เรื่องของโจรขโมยขุดกรุสมบัติก็มีมากมายไม่แพ้กัน
ลายแทงขุมทรัพย์บ่งบอกว่า พระนครศรีอยุธยามีสมบัติโบราณถูกฝังเอาไว้ถึง 303 แห่ง(บางลายแทง บอกว่า มีถึงเจ็ดร้อยกว่าแห่ง)
แห่งแรกขุมทรัพย์วัดกุฎีดาว
วัดกุฏีดาวเป็นวัดเล็กๆ ป้ายชื่อวัดไม่มีบอก ต้องอาศัยถามจากชาวบ้าน เป็นวัดร้าง มีร่องรอยว่าเคยเป็นวัดที่ใหญ่โตสวยงามมาก่อน ในลายแทงบอกว่า ที่วัดแห่งนี้มีสมบัติล้ำค่าถูกฝังไว้รอบอุโบสถถึง 16 จุด
ลายแทงขุมทรัพย์นี้ผู้ที่ได้ครอบครองไว้เป็นเจ้านายระดับพระองค์เจ้าพระองค์หนึ่ง ไม่ทราบชัดว่าได้มาอย่างไร หรือจากใคร แต่พิสูจน์ได้ว่า มีทรัพย์มีค่าฝังอยู่จริง เพราะพระองค์กับพระสหายชาวต่างชาติได้นำเอาเครื่อง "ไมน์ดีเทคเตอร์" (ซึ่งเป็นเครื่องสำรวจหาวัตถุธาตุ)มาสำรวจ และพบว่า จุดที่ตรวจค้นมีสมบัติถูกฝังอยู่จริงๆ ดังนั้น พระองค์และพระสหายจึงได้ทำเรื่องเสนอต่อกรมศิลปากร ขออนุมัติดำเนินการขุดค้นหาขุมทรัพย์ดังกล่าว โดยขอแบ่งทรัพย์ที่ขุดขึ้นได้เพียง 10% และอีก 90% จะมอบให้เป็นสิทธิ์ของกรมศิลปากร เมื่อกรมศิลปากรอนุมัติ ท่านจึงเริ่มดำเนินการขุดค้นที่วัดกุฏีดาวเป็นแห่งแรกในปี พ.ศ. 2503 (60 ปีที่แล้ว) แต่น่า ประหลาด เมื่อขุดลงไปตรงจุดที่ลายแทงระบุว่ามีสมบัติซ่อนอยู่ กลับไม่พบสิ่งใดเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
วัดกุฎีดาว
การขุดค้นหาสมบัติโบราณที่วัดกุฏีดาวในครั้งนั้น นอกจากจะพบความผิดหวังแล้ว พระองค์เจ้าฯ และพระสหายยังพบกับเหตุการณ์ที่น่ากลัวอีกหลายอย่าง นั่นก็คือ ท่านและพระสหายเห็น ร่างของนักรบไทยโบราณร่างกายใหญ่โตแต่ไม่มีหัว มาปรากฏต่อหน้าต่อตากลางวันแสกๆ นอกจากนี้ ภายในวังของท่านก็ยังมีเสียงคล้ายคนขุดดินตลอดเวลา เสียงนั้นดังชัดเจนได้ยินกันหลายคน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้พระองค์ต้องเชิญอาจารย์ที่นั่งทางในเก่งๆมาช่วยดู อาจารย์ท่านนั้นก็บอกว่า วิญญาณที่ปรากฏเป็น "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" ซึ่งเป็นเจ้าของสมบัตินั้น และโกรธแค้นมากที่เจ้านายพระองค์นี้มาทำการขุดค้นสมบัติของเขา จึงมาสำแดงกายให้เห็น ทั้งยังสาปแช่งพวกที่มาขุดสมบัติของเขาทุกคน (ซึ่งคำสาปแช่งนั้นต่อมาจะเป็นจริงหรือไม่ขอให้เพื่อนๆลองคิดดู)เพราะพระสหายคนหนึ่งที่ร่วมทีมขุดสมบัติกับท่านได้เสียชีวิตกระทันหัน ทั้งๆ ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงทุกอย่าง ส่วนพระสหายอีกคนก็หายสาบสูญไปโดยไม่ทราบชะตากรรม และตัวท่านเองทำธุรกิจอะไรก็ขาดทุนตลอดมา
ขุมทรัพย์โบราณที่วัดกุฏีดาวปัจจุบันก็ยังคงอยู่ที่เดิม ไม่มีใครกล้าไปขุดค้น เพราะเกรงว่าวิญญาณที่ยังคงวนเวียนเฝ้าสมบัติจะมาหลอกหลอนและสาปแช่ง
แถวใกล้วัดกุฏีดาวยังมีวัดใกล้เคียงหลายวัด รวมถึงวัดมเหยงค์ ซึ่งขึ้นชื่อว่า "ผีดุ" อีกวัดหนึ่ง ปัจจุบันตั้งเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม. เคยมีผู้เล่าให้ฟังว่า มีคนเคยได้ยินเสียงสวดมนต์ในท่วงทำนองอันไพเราะ ดังแว่วมาจากอุโบสถ เสียงสวดนั้นดังพร้อมเพรียงเป็นหมู่คณะ สวดช้า และเยือกเย็น ทำนองสวดไม่เหมือนปัจจุบัน และจะดังขึ้นในเวลาเช้าตรู่ ซึ่งพอเดินไปดูที่ต้นเสียงกลับไม่มีใครเลย แล้วเสียงนั้นมาจากไหน ยังเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้...
อีกแห่งคือวัดใหญ่ชัยมงคล อ้อ ยาวแล้ว เอาไว้ฟังคราวหน้านะคะ ขอบคุณที่แวะมาอ่านกันค่ะ รบกวนกดไลค์ และคอมเมนท์เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนด้วยนะคะ
วัดกุฎีดาว
วัดใหญ่ชัยมงคล
โฆษณา