Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
นางซิน ที่รัก
•
ติดตาม
19 พ.ย. 2020 เวลา 12:26 • นิยาย เรื่องสั้น
สวัสดีค่ะ มาตามสัญญา สมบัติพระราชาตอนจบค่ะ
สมบัติของพระราชาตอนจบ
ในสุสานมัมมี่อียิปต์มีคำสาป มีแมลงสคารัป มีสมบัติ
ในสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้มีหน้าไม้ มีปรอท (อาจ)มีหินพลิกฯลฯ มีสมบัติ
สำหรับในไทย บางท่านอาจไม่คิดว่ามีอะไรในกรุสมบัตินอกจากคำสาป กับปู่โสมเฝ้าทรัพย์ และสมบัติ หึหึ! แค่คำสาปกับปู่โสมเฝ้าทรัพย์ยังไม่พอค่ะ ยังมีหุ่นพยนต์ จักรพยนต์อีกด้วย ก่อนเข้าเรื่องขุมทรัพย์ที่วัดป่าแก้ว เรามารู้จักหุ่นพยนต์ กับจักรพยนต์กันก่อนนะคะเพื่อนๆ
ในวงการไสยศาสตร์ หรือ พวกจอมขมังเวทย์ทั้งหลาย เป็นที่ยอมรับกันดี เรื่องมีภูตผีเป็นผู้รับใช้ ติดสอยห้อยตาม จะสายไหนก็มักจะมีข้ารับใช้เสมอ ทั้งสายเทพ สายพราย สายภูติ สายผี สายเวทย์ บางครั้งถูกเรียกไปต่างๆนานา เช่น วิชามารยศาสตร์สร้างปู่โสม ด้วยการฆ่าคนเพื่อให้เฝ้าสมบัติของตน กุมารทองกุมารี รักยม อิ่นจันทร์ อิ่นแก้ว ในลัทธิองเมียวโดของญี่ปุ่นมีชิกิงามิ ชิกิยิน เป็นการเสกกระดาษเป็นข้ารับใช้ ซึ่งเป็นพวกเดียวกับหุ่นพยนต์ของไทย
หุ่นพยนต์ คำนี้มาจากคำว่า “พยนต์” แปลว่า สิ่งที่ผู้ทรงวิทยาคมปลุกเสกให้มีชีวิตขึ้น เช่น หุ่นพยนต์ เป็นรูปหุ่นจำลองของคน สัตว์ เทวดา ยักษ์ หรืออะไรต่อมิอะไร โดยอาศัยหลักการว่าอยากได้รูปร่างยังไงให้ทำหุ่นแบบนั้น หรือชนิดไหนตามแต่ความต้องการจะใช้. ให้เหมาะสมกับงานที่จะให้ไปทำ
หุ่นพยนต์
วัสดุที่นำมาใช้สามารถทำได้เกือบทุกอย่าง ตั้งแต่หุ่นหญ้าสาน หุ่นก้านใบไม้สาน หุ่นเถาวัลย์สาน หุ่นหวายสาน ใบไม้ถัก หุ่นไม้แกะสลัก หุ่นไขเทียน หุ่นด้าย หุ่นผ้า หุ่นดิน หุ่นดินเผา หุ่นหิน หุ่นกระเบื้อง หุ่นอิฐ หุ่นปูน หุ่นเงิน หุ่นทอง หุ่นโลหะ ซึ่งการเลือกใช้นั้นอาศัยหลักง่ายๆว่าอาจารย์ไหนใช้อะไรจะต้องใช้ตามอาจารย์
การผูกหุ่นพยนต์ของคณาจารย์รูปใดรูปหนึ่ง จะกำหนดให้เกิดอาการ 32 สามารถรับรู้และรู้เห็นเคลื่อนไหวได้ เหมือนกับสิ่งมีชีวิตจริงทุกประการ (ควายธนูก็น่าจะเป็นหุ่นพยนต์อีกชนิดหนึ่ง) หรือในลักษณะของการแอบแฝง ซ่อนเร้น อยู่ในวัตถุธาตุ อาถรรพณ์ต่างๆ จะแสดงฤทธิ์คอยปกป้องเมื่อมีผู้คิดร้ายหรือถ้าหากเป็นสถานที่ต่างๆ ที่หุ่นพยนต์ดูแลรักษา หุ่นพยนต์จะแสดงฤทธิ์ในอาการต่างๆ ในหลายรูปแบบแตกต่างกันออกไปคอยปกป้องเฝ้าทรัพย์สินสิ่งต่างๆ ในบริเวณพื้นที่นั้น
หุ่นพยนต์ขับไล่สิ่งอัปมงคลอำนาจชั่วร้ายและภูติ ผี ปีศาจ กันคุณไสย ลมเพลมพัด กันและแก้ของไม่ดี อาจารย์บางท่านอาจจะปลุกเสกไว้ให้สานุศิษย์บูชาไว้ติดตัวได้ทั้งหญิงและชาย บูชาไว้ในรถ สำนักงานร้านค้าเฝ้าเรือกสวนไร่นา กันขโมย ปกป้องกันภัยให้แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง
หุ่นพยนต์ จะ แตกต่างกับกุมารทอง หุ่นพยนต์เกิดจากผู้สร้างทำหุ่น แล้วใช้สมาธิจิตผู้สร้าง เรียกรูปเรียกนาม ตั้งธาตุขึ้นมา ( ครูบาอาจารย์เก่าๆ ท่านแยก เช่น ดิน หนัง น้ำ เลือด น้ำเหลือง ลม หายใจ ไฟ อุณหภูมิในตัว สุดท้ายเกิดเป็นคน) ส่วนกุมารทองจะเกิดจากผู้สร้าง นำวิญญาณสัมภเวสีมาใส่ เพื่อให้เค้าสร้างบุญเมื่อถึงเวลาไปเกิดจะได้ไปเกิดที่ดีๆ (อันนี้เป็นความฉลาดของครูบาอาจารย์สมัยโบราณ ให้ดวงวิญญาณที่ไม่ถึงเวลาเกิดมาสร้างบุญ ) หุ่นพยนต์นี้นอกจากเปรียบเสมือน บอดี้การ์ด แล้วยังดีทางด้านเมตตามหานิยม ค้าขายร่ำรวย ขอสิ่งใดก็มักจะได้สมตามความปรารถนาเสมอ เหมือนมีเพื่อนคู่กายดีๆ ที่คอยคุ้มครองดูแลเรา แต่ก็ควรจะทำบุญกรวดน้ำให้แก่หุ่นพยนต์ตัวนั้นๆ ที่เราใช้อยู่เป็นประจำ แต่ห้ามถวายเหล้าอย่างเด็ดขาด บางคนที่ไม่ได้นำหุ่นพยนต์ติดตัว ก็จะวางบนพานพุ่ม ถวายน้ำ ถวายบุหรี่ ก็นิยมทำกัน บางคนง่ายๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตองกันมาก เวลาจะกินข้าวก็เรียกให้หุ่นพยนต์มากินด้วยกัน เท่านั้นก็พอ
จักรพยนต์ นี้ทำด้วยเหล็กกล้าเนื้อดี และคมกริบเคลื่อนไหวด้วยกลไกที่ผลักดันจากแสง และอากาศที่อัดลงไป นอกจากนี้ยังมีการปลุกเสกลงอาถรรพณ์ ด้วยเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้มีวิญญาณสิงสถิตย์อยู่ หากจะทำลายก็ต้องแก้ด้วยเวทมนตร์ เอาละค่ะมาเข้าเรื่องกัน
จักรพยนต์
วัดป่าแก้ว (วัดใหญ่ชัยมงคลในปัจจุบัน)
เดิมเป็นวัดราษฎร์เรียกกันว่าวัดป่า ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับวัดสำคัญประจำนครอโยธยาเดิมคือวัดพนัญเชิง วัดมเหยงค์ วัดกุฎีดาว และวัดอโยธยา ครั้งถึงแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ได้ทรงให้ขุดศพเจ้าแก้วเจ้งไท เชื้อพระวงศ์ที่เป็นอหิวาตกโรคตาย ขึ้นพระราชทานเพลิงที่วัดนี้ แล้วทรงซ่อมแซมบูรณะเจดีย์วิหาร ก่อนจะทรงสถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวง พระราชทานนามว่า "วัดเจ้าพญาไท" ให้เป็นที่พำนักของพระพนรัต ซึ่งเป็นพระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี และด้วยอาณาเขตของวัดที่กว้างใหญ่ ชาวบ้านจึงนิยมเรียกชื่อ "วัดใหญ่" ตั้งแต่นั้นมา
จนล่วงมาถึงปี พ.ศ. 1991 - 2031 ในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระสงฆ์ไทยคณะหนึ่งออกไปอุปสมบทแปลงเป็นสิงหนีนิกาย และศึกษาพระพุทธศาสนา ณ สำนักพระพนรัต มหาเถระในลังกาทวีป สำเร็จแล้วกลับมาตั้ง "คณะป่าแก้ว" ที่ "วัดเจ้าพญาไท" จึงนิยมเรียกชื่อกันว่า "วัดเจ้าพญาไทคณะป่าแก้ว" ภายหลังเรียกเหลือสั้นลงแค่ "วัดป่าแก้ว" และเปลี่ยนเป็น "วัดใหญ่ชัยมงคล" ในปัจจุบัน
วัดโบราณเก่าแก่ในเขต จ.พระนครศรีอยุธยา หลาย ๆ วัดเป็นที่รู้จักดีในหมู่เซียนพระ และนักเล่นของเก่าว่าจะต้องมีสมบัติล้ำค่ามหาศาลฝังไว้ใต้ดิน และแน่นอนว่าแต่ละที่จะต้องมี "ภูต" ที่เรียกว่า "ปู่โสม" เฝ้าอยู่ คนที่เชื่อและขยาดในอิทธิฤทธิ์มักไม่กล้าเข้าไปยุ่ง แต่กับกลุ่มคนที่ชอบลักลอบเข้าไปขุด พวกนี้จะมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะกิเลสและความละโมบที่มีอยู่ ทำให้ตามืดบอด มองไม่เห็นหายนะและความตายจากคำสาปแช่งที่กำลังจะมาถึง
�วัดป่าแก้วหรือวัดใหญ่ชัยมงคล ในอดีตมักจะมีพระธุดงค์แวะเวียนมาปักกลดแสวงหาความวิเวกอยู่เป็นประจำค่ะ เล่ากันว่าบริเวณวัดมีต้นไม้ขึ้นหนาแน่นและเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย เช่น งูเหลือม งูจงอาง เป็นสถานที่อันตราย เปลี่ยว และยังลือกันว่า "ผีดุ" จนชาวบ้านไม่กล้าย่างกรายเข้าไป แต่ก็ยังมีพระภิกษุรูปหนึ่ง ใช้สถานที่นี้เป็นที่ปักกลด ท่านคือ "หลวงปู่สีโห"
หลวงปู่สีโห
หลวงปู่สีโห เป็นพระป่ากรรมฐาน ซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิดของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระปรมาจารย์กรรมฐานแห่งภาคอีสาน รุ่นเดียวกับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่ขาว อนาลโย และหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ท่านเป็นพระที่เคร่งในพระธรรมวินัย แต่ไม่ชอบอยู่วัดเพราะรักที่จะอยู่ตามป่า มีชื่อเสียงในทาง "วิปัสสนากรรมฐาน" มากจนได้รับการยกย่องว่า มีเมตตาและพลังจิตแก่กล้า มีอำนาจแห่งอิทธิฤทธิ์และอภิญญา
หลวงปู่สีโหท่านมาปักกลดอยู่ในวัดป่าแก้ว (ใกล้กับพระเจดีย์องค์ใหญ่ที่สมเด็จพระนเรศวรฯ ทรงสร้างเฉลิมฉลองพระเกียรติ ภายหลังที่มีชัยแก่พม่า) ขณะที่ท่านพำนักอยู่ได้มีคนกลุ่มใหญ่พากันเข้ามาภายในวัดมองดูลักษณะคล้ายพวกโจร คนเหล่านี้มาขอร้องให้หลวงปู่ถอนกลดย้ายไปจากที่นั่น หลวงปู่ถามว่าเหตุใดจึงมาไล่ท่าน คนพวกนั้นตอบตามตรงว่าพวกเขาจะมาขุดทรัพย์ตามลายแทง แต่ไม่อยากให้หลวงปู่ร่วมรับรู้ด้วย(ยังดีนะคะที่ห่วงพระว่าจะถูกกล่าวหาว่าสมรู้ร่วมคิด เอ๊ะ! รึกลัวว่าจะเป็นพยานได้กันแน่) และยังได้เล่าต่อไปว่าภายในเขตกรุงศรีอยุธยานี้มีลายแทงโบราณ บอกที่ซ่อนทรัพย์สมบัติไว้มากมายถึง 713 แห่ง พวกเขาขุดพบมาแล้ว 5 แห่ง และตามลายแทงยังบ่งบอกไว้ว่าในบริเวณรอบพระเจดีย์ใหญ่นี้ มีขุมทรัพย์อยู่ถึง 27 ขุม มีข้าวของเงินทอง และเพชรนิลจินดาอยู่มากมาย จากนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์ก็ได้เอาสมุดข่อย ซึ่งเขียนด้วยอักขระไทยโบราณมีรูปแสดงที่ตั้งขุมทรัพย์ใต้ดินในบริเวณรอบ ๆ พระเจดีย์ให้หลวงปู่ดู นอกจากนี้ในสมุดข่อยยังมีแผนที่แสดงขุมทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วกรุงศรีอยุธยาอีกมากมายนับไม่ถ้วน และที่น่ากลัวก็คือ ภายในสมุดข่อยเล่มนั้นมีอยู่หน้าหนึ่งเป็นผ้าเยื่อไม้ซีด ๆ ปรากฏคำสาปแช่งเอาไว้ด้วยโดยที่ไม่รู้ว่า กลุ่มโจรพวกนี้ได้เห็นหรือไม่
�
การขุดสมบัติของกลุ่มโจรในวันนั้นท่านเล่าว่ามีการนำอาจารย์ทาง ไสยศาสตร์มาทำพิธีด้วย มีการเสกไข่เสี่ยงทายและพบไข่เป็นสีต่าง ๆ เช่น สีเหลือง แดง เขียว ดำ ซึ่งบอกให้รู้ว่ามีขุมทรัพย์ประเภททองคำ เพชรนิลจินดา และเงินตราโบราณอยู่มากมาย ทำให้พวกโจรดีใจกันมาก แล้วก็ช่วยกันทำการขุด เมื่อขุดลงไปประมาณ 7 ฟุต ก็พบโครงกระดูก 4 โครง นอนหัวชนกันหันเท้าชี้ไป 4 ทิศ และพอขุดลงไปอีกจอบก็ไปกระทบกับพื้นคอนกรีตโบราณ ซึ่งเป็นหลังคาอุโมงค์เก็บสมบัติ จึงพยายามช่วยกันแซะปากอุโมงค์ให้กว้างขึ้น แต่น่าประหลาดที่ภายในอุโมงค์มีกระแสลมแรงมาก พัดออกมาตลอดเวลา คล้ายมีพัดลมขนาดใหญ่อยู่ข้างใน อาจารย์ทางไสยเวทย์ที่ร่วมทีมจึงทดลองเอาด้ามเสียมแหย่ลงไปดูปรากฏว่า เสียมถูกกระแสลมตีเศษเหล็กกระจาย ทำให้แน่ใจว่าภายในหลุมนี้มี "หุ่นพยนต์" หรือ "จักรพยนต์" ที่คนโบราณผูกไว้สำหรับป้องกันขุมทรัพย์ แต่สำหรับกลุ่มโจรเหล่านี้ แม้จะมีอาจารย์ทางไสยศาสตร์ มาคอยแก้อาถรรพณ์อยู่ด้วยก็ยังทำได้ยาก เพราะขณะกำลังทำพิธีล้างอาถรรพณ์หุ่นพยนต์นั้น อุโมงค์ขุมทรัพย์ก็ได้เลื่อนออกไป เสียงดังครืด ๆ เป็นที่น่าอัศจรรย์ หนำซ้ำยังมีดินถล่มลงมาถมปากอุโมงค์จนเต็ม เป็นการปิดไม่ให้คนเหล่านั้นได้ล่วงล้ำเข้าไปอีก แต่ถึงจะเจออภินิหารซึ่งหน้าเช่นนี้ กลุ่มโจรก็ยังไม่ย่อท้อ ตั้งใจว่าจะเริ่มขุดใหม่ในวันรุ่งขึ้น กลางดึกคืนนั้นพวกโจรกลับกันหมดแล้ว ได้ปรากฏร่างใหญ่โตของคน 4 คน ซึ่งไม่มีหัวมายืนอยู่หน้ากลดหลวงปู่ ทั้งหมดคือภูตที่คอยเฝ้าสมบัติให้สมเด็จพระนเรศวรฯ มาแจ้งให้หลวงปู่ทราบว่า กลุ่มโจรเหล่านี้มาขุดพระราชทรัพย์อันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์ ที่ทรงสาปแช่งไว้ แล้วยังทำพิธีไสยศาสตร์ ทำลายข่ายอาถรรพณ์ที่พระครูปุโรหิตโบราณาจารย์ทำไว้ให้เสื่อมอีก เท่ากับเป็นการทำลายดวงชะตาของบ้านเมือง พวกตนจะมาเอาชีวิตไปให้หมด แต่ติดขัดว่ามีหลวงปู่อยู่ด้วย จึงมาแจ้งให้ทราบ แต่หลวงปู่สีโห ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพระที่มีจิตเมตตา ท่านจึงได้ขอบิณฑบาตชีวิตคนเหล่านั้น ขอแค่ดัดนิสัยให้เข็ดหลาบก็พอ ทำให้วิญญาณทั้ง 4 นิ่งอึ้ง และบอกว่าต้องให้หลวงปู่ลองพูดกับพญายมบาลเอง พวกเขาไม่มีอำนาจอะไร เพียงแต่ทำตามหน้าที่เท่านั้นพูดเสร็จก็เดินหายเข้าไปในองค์พระเจดีย์
หลวงปู่สีโหจึงเข้าฌานติดต่อกับพญายมบาล เมื่อพญายมบาลเปิดบัญชีดูจึงรู้ว่าโจรพวกนี้ดวงยังไม่ถึงฆาต แต่กรรมหนักกำลังจะตามมาในไม่ช้า แต่ถึงอย่างไรพวกนี้ก็ควรจะได้รับผลจากคำสาปแช่งบ้างจะได้หลาบจำ เป็นอันว่าท่านพญายมตกลงจะไว้ชีวิตพวกโจร
ครั้นรุ่งเช้าหลวงปู่สีโหตื่นขึ้นจะไปสรงน้ำ เพื่อออกบิณฑบาตก็ได้เห็นโจรกลุ่มนั้นกำลังนอนดิ้นทุรนทุราย เอามือกุมท้องบิดไปมาด้วยความเจ็บปวด ขอให้หลวงปู่ช่วย ขณะเดียวกันบนองค์พระเจดีย์ใหญ่ก็เกิดเสียงดังครืน ทำให้ทุกคนหันไปดู เพราะคิดว่าพระเจดีย์จะถล่ม แต่แล้วก็พากันตกตะลึง เมื่อเห็นชายผู้หนึ่งเดินลงมาจากพระเจดีย์พร้อมด้วยผีหัวขาดร่างใหญ่โต และพากันเดินหายไปทางกำแพงแก้วด้านทิศใต้ พวกโจรในที่นั้นร้องอุทานด้วยความตกใจสุดขีด หลวงปู่จึงบอกว่า "พวกเขาคือปู่โสมเฝ้าทรัพย์ที่จะมาเอาชีวิตพวกเจ้า" พอได้ยินหลวงปู่พูดเช่นนี้ พวกโจรทั้งหมดก็เกิดความกลัว ตาหูเหลือกลาน จนอาการปวดท้องกำเริบ ทำให้หมดสติไปตามๆกัน หลวงพ่อเห็นแล้วก็ยิ่งเกิดความสังเวชที่เห็นโจรเหล่านี้ถูกลงโทษ เช้าวันนั้นท่านจึงจาริกออกจากอยุธยาไป ปล่อยให้โจรเหล่านั้นนอนสลบไสลเฝ้าขุมทรัพย์ภายในวัดป่าแก้วไปตามยถากรรม
พญายมราช
เรื่องขุมทรัพย์รายรอบพระเจดีย์นี้เป็นเรื่อง ที่คนโบราณว่าไว้ ซึ่งหัวหน้าแม่ชีท่านหนึ่งที่วัดใหญ่ชัยมงคลเคยเล่าให้ฟังว่า ในสมัยที่ท่านเข้ามาอยู่ที่วัดนี้ใหม่ ๆ นอกจากจะได้เห็น "ดวงพระวิญญาณ สมเด็จพระนเรศวรฯ" แล้วท่านยังเคยเห็น "ทองลุก" ซึ่งเป็นไฟพะเนียงพุ่งขึ้นไปบนฟ้าตรงบริเวณหน้าพระเจดีย์องค์นี้ ซึ่งคนโบราณบอกไว้ว่าถ้าเห็นลักษณะนี้แสดงว่า ใต้ดินบริเวณนั้นต้องมีสมบัติฝังอยู่แน่นอน สำหรับที่มาของขุมทรัพย์เหล่านี้ตามลายแทงโบราณได้บอกไว้ว่าเป็นมหาสมบัติ อันล้ำค่า ของอดีตพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาหลายพระองค์ ที่สมเด็จพระนเรศวรทรงขุดพบ และนำมาฝังไว้ตามคำแนะนำของสมเด็จพระพนรัตน์ป่าแก้ว ผู้เป็นอาจารย์ของพระองค์จุดประสงค์ก็เพื่อเป็นการบูชาพระรัตนตรัย แก้อาถรรพณ์ดวงเมืองที่ตกต่ำ ร่วงโรยมานานให้รุ่งเรืองขึ้นในยุคสมัยของพระองค์
�ถ้าใครไม่เชื่อว่า"ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" นั้นมีจริง หากคิดลบหลู่ลองของก็เชิญพิสูจน์ได้ที่ "วัดป่าแก้ว" หรือ "วัดใหญ่ชัยมงคล" จ.อยุธยานะคะเพราะสมบัติมีค่ามหาศาล ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรฯ ณ ปัจจุบันก็ยังคงฝังอยู่ใต้ดินรอบองค์พระเจดีย์นั่นเอง ซึ่งคงต้องรอผู้มีบุญวาสนาขุดขึ้นมาใช้เป็นพระราชทรัพย์บำรุงแผ่นดิน และพระพุทธศาสนาในยุคต่อ ๆ ไป
�พระเจดีย์ชัยมงคลเป็นพระเจดีย์ที่สมเด็จพระ นเรศวรมหาราช โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์เฉลิมพระเกียรติในคราวยุทธหัตถีมีชัยชนะ สมเด็จพระมหาอุปราชาแห่งพม่าเมื่อ พ.ศ. 2135 เป็นปูชนียวัตถุสำคัญแห่งหนึ่งของชาติไทย เป็นนิมิตหมายของเอกราช เตือนใจให้ระลึกถึงความกล้าหาญและความเสียสละของบรรพบุรุษ เป็นสัญลักษณ์แห่งอภัยทานของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อันเนื่องมาจากธรรมอันประเสริฐแห่งพระศาสนา
แถมท้ายนิดถ้าบอกว่า ผู้หญิงไม่ถูกฆ่าเพื่อให้เฝ้าสมบัตินั้น เรื่องนี้น่าจะเปลี่ยนความคิดได้นะคะ เคยคุยกับพี่ชาย(ตอนนี้ท่านบวชไม่สึกแล้ว) ลูกของป้า ท่านเล่าว่าท่านได้คุยกับอาจารย์ท่านหนึ่ง อาจารย์คนนี้เป็นนักปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิตลอด วันนึงในสมาธิ ท่านเดินเข้าถ้ำไปเห็นผู้หญิงนั่งขวางอยู่หน้าถ้ำแต่งชุดโบราณแต่ไม่มีหัว ท่านถามว่าขอเข้าไปดูในถ้ำหน่อยได้มั้ย จะดูเฉยๆ โดยที่ไม่บอกใคร และไม่คิดจะมาเอาอะไรในถ้ำไป หญิงสาวคนนั้นก็พาท่านเข้าไปดู ท่านเล่าว่า ในนั้นมีสมบัติมากมายทั้งเงินทอง เพชรนิลจินดา พระพุทธรูป แล้วท่านก็กลับออกมา หลังจากนั้น ทุกครั้งที่ทำบุญ หรือนั่งสมาธิ อาจารย์ท่านนั้นได้กรวดน้ำแผ่ส่วนกุศลให้หญิงผู้นั้นเสมอๆ ระยะหลัง ท่านแวะไปอีก(ในสมาธิ) พบว่า หญิงสาวคนนั้น มีหัวแล้ว แต่ยังไปไหนไม่ได้ ผู้เขียนเคยคุยกับหลวงพี่บ่อยๆ ท่านมีเรื่องเล่ามากมาย (ล้วนเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับคนบางคนที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น) สักวัน จะไปกราบนมัสการท่าน แล้วขอให้ท่าน
เล่าเรื่องราวให้ฟังอีก ท่านบวชอยู่บ้านโป่งนี่เองค่ะ
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ และขอให้คืนนี้นอนหลับฝันดีนะค้าาาาา
บันทึก
4
2
4
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย