22 พ.ย. 2020 เวลา 03:00 • ธุรกิจ
บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นมากที่สุดในรอบปี สัญญาณดีของเศรษฐกิจโลก?
11
บรรยากาศการลงทุนในสัปดาห์นี้กลับมาคึกคักกันอีกครั้งตอบรับกับข่าวดีหลาย ๆ
เรื่อง โดยเฉพาะวัคซีนที่ทั้งทาง Moderna และ Pfizer ต่างก็ประกาศผลการทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนที่สูงถึง 95% เรียกว่าไม่ยอมน้อยหน้ากันเลยทีเดียว ซึ่งก็ถือ
เป็นการสร้างขวัญกำลังใจและทำให้ผู้คนทั่วโลกมีความหวังว่าสถานการณ์เลวร้าย
ต่าง ๆ จะจบลงในไม่ช้า
12
โดยบรรดานักวิเคราะห์ก็ได้ออกมาคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกกำลังจะฟื้นตัวกลับมาในปีหน้าพร้อมกับแนะนำให้เริ่มสะสมหุ้นดี ๆ กันได้แล้วก่อนที่คุณจะตกรถ
2
อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่าเศรษฐกิจกำลังจะดีขึ้นคือทิศทางการลงทุนของตำนานที่มีชีวิตอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมานั้นมีหลายประเด็นที่น่าสนใจ
มากเลยครับ
ไปดูในภาพรวมกันก่อนคือตั้งแต่ต้นปีก่อนโควิด19 ระบาดนั้นบริษัท Berkshire Hathaway ของบัฟเฟตต์ถือเงินสดมากที่สุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ราว ๆ 1.37 แสนล้านดอลลาร์และในไตรมาส 2 ที่โควิด19 ระบาดหนักนั้นบัฟเฟตต์ก็ได้ทำการขายหุ้น
สุทธิไป 1.28 หมื่นล้านดอลลาร์
แต่ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมานั้นปริมาณซื้อ-ขายสุทธิของ Berkshire นั้นกลับมาเป็นฝั่งบวกหรือ “ซื้อสุทธิ” อีกครั้ง โดยซื้อสุทธิไป 4.8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งมากที่สุดในรอบ 1 ปี (นับตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2019) และนี่ยังไม่นับรวมการซื้อหุ้นคืนอีกกว่า 9
พันล้านดอลลาร์ นั่นแสดงให้เห็นว่าตอนนี้คุณปู่บัฟเฟตต์เริ่มหาจุดหมายปลายทาง
ให้กับเงินสดมหาศาลที่ถือมานานได้แล้ว
1
ประเด็นที่สำคัญกว่าตัวเลขการซื้อขายสุทธิคือเมื่อเปรียบเทียบหมวดอุตสาหกรรม
ของหุ้นที่บัฟเฟตต์ซื้อและขาย ระหว่างไตรมาส 2 กับไตรมาส 3 แล้วมันสะท้อนให้
เห็นมุมมองและกลยุทธ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
1
ในไตรมาส 1 และ 2 นั้นบัฟเฟตต์ได้ทำการขายหุ้นสายการบินทิ้งทั้งหมด โดยเขาให้เหตุผลว่า “มองไม่เห็นอนาคต”
และเขายังได้ทำการขายหุ้นธนาคารออกไปเป็นจำนวนมาก แต่ก็มีหลายตัวที่เขายัง
ถืออยู่โดยเฉพาะ Bank of America ที่เขาได้ทำการซื้อเพิ่มด้วย ซึ่งนักวิเคราะห์ก็ตี
ความกันว่านี่คือบริษัทผู้ชนะของกลุ่มสถาบันการเงินในสายตาของบัฟเฟตต์
2
ส่วนหุ้นที่ซื้อในไตรมาส 2 นั้นจะเป็นกลุ่มที่เน้นกระแสเงินสด นิ่ง ๆ ไม่ผันผวน ได้แก่
1. การเข้าซื้อสินทรัพย์ของบริษัทพลังงานอย่าง Dominion Energy
2. ซื้อหุ้นเหมืองทองคำทั้ง ๆ ที่ไม่ชอบทองคำมาตลอด
3. ซื้อหุ้น 5 บริษัทการค้าขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น
1
แต่ในไตรมาสที่ 3 นี้ทิศทางการซื้อขายหุ้นนั้นมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือบัฟเฟตต์
ได้ทำการขายหุ้นเหมืองทอง Barrick Gold ที่พึ่งซื้อมาสด ๆ ร้อน ๆ ไปถึง 42%
จากที่ถืออยู่และได้ทำการขายหุ้น Apple ออกไปเล็กน้อยเมื่อเทียบกับที่มีทั้งหมด
กว่าครึ่งพอร์ต ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าในกรณีของ Apple นั้นน่าจะเป็นการขายเพื่อ
ปรับสมดุลของพอร์ตเท่านั้น เนื่องจากราคาของหุ้น Apple ขึ้นมาค่อนข้างเยอะใน
ปีนี้
3
ส่วนสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลยคือทิศทางของหุ้นสถาบันการเงิน โดยในไตรมาสที่ 3 นี้บัฟเฟตต์ได้ทำการขายหุ้นของ Wells Fargo, M&T Bank, PNC Financial และ
JPMorgan Chase ออกไปอีก จนบางตัวคือแทบจะหมดพอร์ตแล้ว และยังได้ทำการซื้อ Bank of America สวนทางตัวอื่นเพิ่มอีกรอบด้วย
ไฮไลท์สำคัญคือหุ้นที่บัฟเฟตต์ซื้อในไตรมาส 3 ที่ประกอบด้วย
1. หุ้นของบริษัทยา 4 บริษัทได้แก่ AbbVie, Bristol-Myers, Merck และ Pfizer
ที่พึ่งประกาศความสำเร็จในการทดสอบวัคซีนในเฟส 3 ไป กลุ่มนี้เรียกว่าซื้อปุ๊บก็ขึ้นปั๊บ เรียกศรัทธาในตัวปู่กลับมาอีกครั้ง
2. หุ้น IPO ของ Snowflake อย่างที่สร้างเสียงฮือฮากันไปก่อนหน้านี้
3. หุ้น GM หรือ General Motor ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของโลก
4. หุ้น Kroger ที่เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตเก่าแก่ที่มีการปรับตัวมาทำตลาดออนไลน์เพื่อสู้กับ Amazon
5. หุ้น T-Mobile US ผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายชั้นนำในสหรัฐอเมริกา
5
จะเห็นได้ว่ากลุ่มของหุ้นที่ซื้อในไตรมาส 3 นี้บัฟเฟตต์มีความบู๊มากขึ้น คือเป็นการ
เดิมพันว่าการวิจัยวัคซีนจะสำเร็จในไม่ช้า ทำให้เศรษฐกิจจะฟื้นตัวกลับมา
โดยเฉพาะการบริโภคที่มากขึ้นก็จะเป็นผลดีกับบริษัทเหล่านี้ ต่างจากในไตรมาสที่ 2 ที่จะซื้อหุ้นปลอดภัยเน้นกระแสเงินสดเป็นหลัก
ก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีของเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ปู่คงไม่ทำให้ผิดหวังนะครับ
เพื่อน ๆ คนไหนเป็นสาวกของวอร์เรน บัฟเฟตต์บ้าง คิดยังไงกับการซื้อหุ้นรอบนี้ของเขาครับ?
.
แอดปุง
โฆษณา