23 พ.ย. 2020 เวลา 00:00 • กีฬา
[ #ขอแค่ศรัทธาในตัวผม ]
23 มกราคม 2002 โชเซ่ มูรินโญ่ ได้รับการแต่งตั้งให้คุมเอฟซี ปอร์โต้แทน อ็อคตาวิโอ มาชาโด้ ซึ่งผลงานล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
ช่วงดังกล่าวปอร์โต้อยู่ในขั้นที่ใช้คำว่าวิกฤตหรือโคม่าได้เลย นอกจากจะโดนปัญหาการเงินรุมเร้า อันดับบนตารางคะแนนลีกสูงสุดในประเทศยังตกต่ำอยู่ที่ 5 อีกต่างหาก
ยักษ์ใหญ่แดนเหนือตามหลังทั้งสปอร์ติ้ง ลิสบอน , เบาวิสต้า , ยูนิเอา เด เลยเรียและเบนฟิก้า โอกาสจะครองแชมป์ริบหรี่แทบจะเหลือศูนย์
อย่างไรก็ตาม มูรินโญ่ ซึ่งมีเวลาราวครึ่งซีซั่นเพื่อบูรณะฟื้นฟู สามารถเข็นทีมเข้าป้ายอันดับ 3 อย่างยอดเยี่ยม 15 เกมในลีกคว้าชัยได้ 11 ด้วยกัน พลิกสถานการณ์อย่างสิ้นเชิง
1
ก่อนฤดูกาล 2002/03 จะเปิดฉาก มูรินโญ่ ให้คำมั่นสัญญากับกองเชียร์ปอร์โต้ว่าจะพาครองแชมป์ลีกให้ชมเป็นขวัญตา
1
บรรดานักข่าวนำประโยคนี้ไปตีความกันต่างๆนานาสารพัด โดยเฉพาะประเด็นว่าเป็นพวกขี้โม้ ทำทีมดีแค่ครึ่งฤดูกาลหลัง ยังไม่ทันได้พิสูจน์อะไรมากมายกลับคุยโตโอ้อวดสรรพคุณ
ส่วนพวกกองเชียร์ก็ไม่ค่อยเชื่อน้ำยาสักเท่าไรนัก คาใจเรื่องประสบการณ์มากกว่าอย่างอื่น ชั่วโมงบินที่น้อยมากๆยากนักที่จะประสบความสำเร็จได้บนเส้นทางสายโค้ช
มูรินโญ่ เดินไปเคาะประตูห้องบอร์ดบริหารและสัญญาว่าจะนำโทรฟี่มาประดับตู้โชว์ แต่ต้องทำตามที่ขอร้องด้วย เขาอยากจะผ่าตัดใหญ่ขุมกำลังให้แกร่งพอจะยืนหยัดในระยะยาวได้
1
เขาดันกลุ่มผู้เล่นเดิมที่มีอยู่ขึ้นเป็นแกนหลักทั้ง วิคเตอร์ บาย่า , ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ ,คอสตินญ่า , เดโก้ , ดมิทรี อเลนิเชฟ และ เฮลเดอร์ ปอสติก้า
นอกจากนี้ยังดึงผู้เล่นที่เคยร่วมงานกันมาก่อนและเชื่อว่าไว้ใจได้อย่าง นูโน่ วาเลนเต้ , แดร์เลย์ , เปาโล แฟร์เรยร่า , เปโดร เอ็มมานูเอล , เอ็ดการาส ยานคาอุสคาส มาเสริมให้แน่นขึ้น
เช่นเดียวกับเรียก ฮอร์เก้ คอสต้า กลับมาจากปล่อยให้ชาร์ลตัน แอธเลติกซึ่งตอนนั้นโลดแล่นในพรีเมียร์ลีกยืมตัว ยื่นบทบาทกัปตันทีมให้ด้วย เพราะเชื่อว่านี่คือแข้งที่เต็มไปด้วยแพสชั่นและความซื่อสัตย์
"ถ้าคุณเชื่อในตัวผม เราก็จะเดินหน้าไปด้วยกัน" -- เขาย้ำประโยคนี้กับลูกทีมเสมอ
จากทีมที่แตกกระจาย นักเตะแบ่งเป็นกลุ่มก้อนมากมาย ขาดความสามัคคีอย่างมาก จนส่งผลกระทบกับเกมในสนาม ทีมสปิริตกลับมาแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ ผู้เล่นทุกคนกลมเกลียวแน่นเหนียวมากๆ
ทั้งที่ความจริง มูรินโญ่ ไม่ได้บังคับหรือต้องออกกฎเหล็กให้มากมาย พยายามสร้างความผ่อนคลายให้เกิดขึ้นมากกว่า
ก่อนเกมนัดชิงยูฟ่า คัพในปี 2003 หรือที่เปลี่ยนเป็นยูโรปา ลีกปัจจุบัน ซึ่งใช้สังเวียนแข้งของเซบีย่าชิงดำ ปอร์โต้ดวลกับกลาสโกว์ เซลติกจากสก๊อตแลนด์ ต้องยกพลไปที่นั่นก่อน 3 วันเพื่อทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมต่างๆ
แทนที่จะหาโรงแรมหรือที่พักนอกเมือง มูรินโญ่ กลับเลือกดาวน์ทาวน์ใจกลางเซบีย่าเลยทีเดียว เพราะจากประสบการณ์ที่เคยมาเยือนนี่คือเมืองที่สวยงามมากๆ ซึ่งพวกนักเตะคงแฮปปี้ที่ได้เดินเที่ยวเตร็ดเตร่ในตอนเย็นๆก่อนดินเนอร์
หรือใครอยากจะไปทอดน่องชื่นชมความงดงามของเมืองหลักของแคว้นอันดาลูเซียหลังมื้ออาหารก็ไม่ว่ากัน
ช่วงค่ำวันหนึ่ง มูรินโญ่ บอกให้ลูกทีมไปเที่ยวกันตามสบาย อยากไปจิบเบียร์หรือไวน์ตามร้านอาหาร ผับสวยๆได้เลย แต่ควรกลับมาพักผ่อนตามเวลาสมควร
จริงๆเขาคิดว่านักเตะอาจจะค่อยทยอยกันกลับมา อาจมีบ้างที่โผล่มาถึงหลังเที่ยงคืนไปแล้ว เลยแอบมาหามุมนั่งรอที่ล็อบบี้โรงแรมเพื่อได้สังเกตการณ์ด้วย
2
แต่แล้ว มูรินโญ่ ก็ต้องแปลกใจมากๆ เมื่อผู้เล่นทั้งทีมกลับมาถึงโรงแรมพร้อมกัน ไม่มีใครหายไปเลย เดินจับกลุ่มกันมาสนทนากันพร้อมเสียงหัวเราะ
1
ในความประหลาดใจเกี่ยวกับความสามัคคีนี้ มันก็ทำให้เขามั่นใจได้เลยว่าจะต้องครองแชมป์ถ้วยเล็กยุโรปได้สำเร็จแน่นอน
เกมกับเซลติกเต็มไปด้วยความดุเดือด เข้มข้นและตื่นเต้น เสมอกันในเวลาปกติ 2-2 ชนิดสถานการณ์พลิกผันไปมา ยากเกินกว่าจะคาดเดา ก่อนที่ แดร์เลย์ จะเป็นฮีโร่ยิงประตูชัยในนาทีที่ 115
หลังสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้ายคนที่สะใจและปลาบปลื้มมากสุดไม่มีใครเกิน มูรินโญ่ อีกแล้ว
นอกจากจะครองแชมป์พรีเมยร่า ลีกาหรือลีกสูงสุดอย่างที่ให้สัญญาไว้ ยังได้โทรฟี่ยูฟ่า คัพมาเชยชม ต่อด้วยแชมป์บอลถ้วยในประเทศ ซึ่งเปรียบได้กับเอฟเอ คัพ
สามแชมป์อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการใช้เวลาเพียงแค่ปีครึ่งพลิกฟื้นปอร์โต้จากที่เหมือนซากศพเดินได้ ลุกขึ้นมายืนจังก้าอย่างสง่างาม
เบื้องหลังความสำเร็จ มูรินโญ่ รู้ดีว่ามีเรื่องของทีมสปิริตเป็นพื้นฐานอันแข็งแกร่ง นั่นทำให้เขามั่นใจว่าการทำให้ทีมมียูนิตี้และอำนาจในห้องแต่งตัวยังอยู่ในมือ ย่อมเป็นเหมือนใบเบิกทางนำไปสู่แชมป์ต่างๆได้
ความเชื่อนี้เหมือนถูกตอกย้ำลงตรึงแน่นยิ่งขึ้นด้วยการป้องกันแชมป์ลีก ตามด้วยครองยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกชนิดหักปากกาเซียนกันทั้งวงการ
ไม่มีใครคิดว่า มูรินโญ่ จะนำปอร์โต้ก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ทั้งที่ใช้เวลาไม่ถึง 3 ปี ไม่มีทางปฏิเสธเลยว่านี่คือกุนซือที่ดีสุดคนหนึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งไม่ได้ชอบมาดหรือท่าทางของ มูรินโญ่ เท่าไรนัก ยังยอมรับว่าในแง่แท็คติกนั้นเก่งกาจปราดเปรื่อง หาตัวจับยาก เพราะเต็มไปด้วยรายละเอียดปลีกย่อยเพียงเล็กน้อยก็สามารถเปลี่ยนแปลงเกมได้
จากนั้น มูรินโญ่ ย้ายมาวัดรอยเท้าด้วยในพรีเมียร์ลีก ก่อนจะสลายขั้วอำนาจของอาร์เซน่อลซึ่งเพิ่งทำสถิติไร้พ่ายและแมนฯยูไนเต็ดลง
แนวทางการคุมเชลซีนั้นถูกก็อปปี้มาจากตอนทำปอร์โต้เกือบทุกอย่าง
หากนักเตะยอมรับในตัวบอสและเต็มไปด้วยความสามัคคี ความสำเร็จมันไม่ไกลเกินกว่าเอื้อมถึงหรอก
พฤศจิกายนปีที่แล้ว โชเซ่ มูรินโญ่ มารับไม้คุมสเปอร์สต่อจาก เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่
การโดนทั้งเชลซีและแมนฯยูไนเต็ดเชือดพ้นตำแหน่งก่อนหน้า ก่อให้เกิดคำถามมากมายว่ายังดีพอสำหรับเก้าอี้ตัวนี้หรือไม่
ไม่ใช่แค่แฟนบอลถึงกังขา นักเตะบางคนในทัพไก่เดือยทองก็สร้างกำแพงกั้นเช่นกัน คริสเตียน เอริคเซ่น แสดงตนชัดเจนว่าไม่อยากอยู่ต่อแล้ว
ตองกีย์ เอ็นดอมเบเล่ สมาชิกใหม่เพิ่งย้ายมาได้ไม่นานด้วยสถิติค่าตัวแพงสุด ออกอาการงอแงเหมือนไม่อยากอยู่ภายใต้เจ้านายคนนี้
มูรินโญ่ มาพร้อมกับความสับสน ผลงานของสเปอร์สแกว่งไปมาหาความแน่นอนไม่ได้ จนเสียงวิจารณ์เริ่มดังมากขึ้น มูรินโญ่ ไม่น่าเหมาะสมแล้ว บางคนฟันธงว่าหมดมุกตกยุคสมัย
สไตล์การเล่นไม่เร้าใจ สปีดบอลช้าน่าเบื่อ แถมไม่ได้ชนะบ่อยๆเหมือนตอนคุมเชลซีช่วงแรก
อย่างไรก็ตาม มูรินโญ่ อึดพอจะเข็นทีมจบอันดับ 6 ได้โควต้าไปเล่นยูฟ่า ยูโรปา ลีก ถือว่าคว้าความหวังสุดท้ายไว้ได้อย่างหวุดหวิด
เขาค่อยๆสร้างทีม มีการผ่าตัดงบประมาณเกือบ 100 ล้านปอนด์ ถูกเทลงมาให้ปรับแต่ง จนกระทั่งกระเตื้องขึ้นตามลำดับ
มูรินโญ่ ทำให้ลูกทีมเชื่อมั่นในตัวเขาและทุกคนไว้ใจกัน บรรยากาศห้องแต่งตัวสดใสไม่อึมครึม
แฮร์รี่ เคน เต็มใจทำตามใบสั่งเจ้านาย ไม่เกี่ยงจะต้องเล่นเกมรับมากขึ้นหรือเน้นเปิดบอลให้ ซน ฮึง มิน เผด็จศึก
เอ็นดอมเบเล่ กลายเป็นคนใหม่ สะท้อนฝีเท้าเหมาะสมกับค่าตัว เช่นเดียวกับอีกหลายคนที่เค้นตัวเองได้สำเร็จ
เรายังไม่อาจรู้บทสรุปสุดท้ายจบซีซั่นจะเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยแนวทางของ มูรินโญ่ ดูเหมือนจะตอบสนองอีกครั้ง
บอกได้คำเดียวว่าอย่าให้ มูรินโญ่ ติดเครื่อง เพราะยากนักที่จะหยุดลงได้
บทความย้อนหลังที่น่าสนใจ
[ #ปกครองอย่างไรให้พัง ? ] : จากหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอาร์เซน่อล ปัญหาทะเลาะกันในทีม นักเตะเรียกชื่อเจ้านายเฉยๆผ่านสื่อ กลายเป็นคำถามในเวลาต่อมานั่นคือตกลงแล้ว มิเกล อาร์เตต้า ปกครองนักเตะได้ดีแค่ไหนกัน ทั้งพฤติกรรมและวินัยที่หย่อนยานมีให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าหากยังหาวิธีรับมือหรือแก้ไขไม่ได้ คนที่ต้องตกที่นั่งลำบากจะเป็นตัวเขาเอง ไม่ใช่พวกนักเตะเลย
1
[ #คุณค่าที่ถูกมองข้าม ] : เมื่อกลางสัปดาห์ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ เพิ่งซัลโวอีก 2 ประตูช่วยให้ฝรั่งเศสถล่มสวีเดน 4-2 ยอดรวมจึงเป็น 44 ปะตูในทีมชาติแล้ว ตามหลังเจ้าของสถิติ เธียร์รี่ อองรี แค่ 7 เท่านั้น แม้จะแรงดีไม่มีตกกับทัพตราไก่ แต่ในสโมสรแล้ว แตกต่างกันอย่างลิบลับ ต่อให้ยิงประตูหรือสร้างประโยชน์ได้อย่างชัดเจน ก็ยังโดนมองข้ามอยู่ดีหาก แฟร้งค์ แลมพาร์ด คิดว่าไม่จำเป็น ชิรูด์ ก็คงต้องจำเป็นเดินจากมา
[ #เมื่อไอดอลกลายเป็นศัตรู ] : เชส ฟาเบรกาส เพิ่งเปิดใจเองว่าไม่เคยคุยกับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า อีกเลยนับตั้งแต่ฤดูร้อนปี 2012 ทั้งคู่ได้ร่วมงานกันเพียงซีซั่นเดียวเท่านั้นในฐานะบอสกับลูกน้อง แต่ความที่โตมาจากลา มาเซียเหมือนกัน อีกทั้ง เชส นับถือเป็นไอดอล แล้วทำไมเรื่องจึงกลายลงเอยอย่างที่เห็น และกองกลางรายนี้แหล่ะ คือหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ เป๊ป ต้องตัดสินใจพาตัวเองออกมาจากสโมสรที่รักมากสุด
[ #อย่าให้ใครเห็นน้ำตา ] : อัลบาโร่ โมราต้า ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักเตะที่มีความรู้สึกเปราะบางมากๆคนหนึ่ง เวลามีเรื่องมากระทบจิตใจ จะเกิดอาการดิ่งข้างในเสมอแต่คำพูดเตือนสติของ จานลุยจิ บุฟฟ่อน ในวันหนึ่ง มันเหมือนช่วยให้เกิดภูมิต้านทาน มีแรงลุกขึ้นมาสู้ ไม่ท้อแท้ยอมแพ้ให้กับอุปสรรคง่ายๆอีกนั่นอาจเป็นอีกเหตุผลช่วยให้ โมราต้า ฟอร์มพีกในการกลับมายูเวนตุสรอบสองก็เป็นได้
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา