24 พ.ย. 2020 เวลา 14:21 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
สุดยอดหนังดี จาก Top 250 บนเวบไซด์ IMDb Part 2: ลำดับที่ 6-10
สรุปอันดับหนัง Top 250 IMDb ที่รีวิวไปแล้ว
1. The Shawshank Redemption (1994)
2. The Godfather (1972)
3. The Godfather: Part II (1974)
4. The Dark Knight (2008)
5. 12 Angry Men (1957)
หมายเหตุ : การรีวิวที่เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนจะให้คะแนนดังนี้
3 ดาว = หนังดี ควรหามาดู
4 ดาว = หนังดีมาก แนะนำให้ดู
5 ดาว = หนังดีมากๆ ไม่ควรพลาดเด็ดขาด
1
6. Schindler's List (1993)
Rating 8.9 คะแนน จำนวนคนโหวต 1,196,420 คน
Schindler's List กำกับและร่วมผลิตโดย "สตีเว่น สปีลเบิร์ก" พ่อมดแห่งวงการฮอลลีวูด ถือเป็นหนังนาซีที่ทรงพลังที่สุดเรื่องหนึ่งของโลก
เรื่องย่อ : เรื่องราวที่ถ่ายทอดในภาพยนตร์เรื่อง "Schindler's List" เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับเอกสารสองชุดซึ่งเป็นรายชื่อชาวยิวผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของกองทัพนาซี ในปี 1944
.
หนังกล่าวถึงเหตุการณ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อ อ็อสการ์ ชินด์เลอร์ นักธุรกิจและสมาชิกคนหนึ่งของพรรคนาซี ได้ใช้สายสัมพันธ์ที่เขามีช่วยชีวิตชาวยิวเอาไว้จำนวนมาก โดย ซินด์เลอร์ได้ขอแรงงานชาวยิวให้มาช่วยผลิตเครื่องเคลือบและภาชนะที่จำเป็นต้องใช้ในสงคราม แต่แท้จริงแล้วเรื่องนี้เป็นเพียงข้ออ้างที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อต้องการปกป้องชาวยิว
.
ชินด์เลอร์ได้ใช้ลูกล่อลูกชนแบบนักธุรกิจบวกกับความสามารถในการเจรจา ทำให้เขาสามารถช่วยชาวยิวไว้ได้มากกว่า 1,100 คน
2
บทวิจารณ์ : ★★★★★
สปีลเบิร์กใช้ภาพขาวดำในการดำเนินเรื่อง(เป็นส่วนใหญ่) เพื่อทำให้โทนของหนังมีความเคร่งขรึม จริงจัง และดูสมจริง หนังสามารถดึงอารมณ์ผู้ชมให้ดื่มด่ำไปกับความหดหู่ที่เกิดขึ้นในสงคราม ที่ผมใช้คำว่า " ดื่มด่ำ " เพราะแม้เรื่องราวในหนังจะหดหู่ แต่อารมณ์หลังดูจบจะเป็นความหดหู่ที่ปนไปด้วยความซาบซึ้งในการกระทำของชินด์เลอร์
.
เลียม นีสัน ทำให้เราเชื่อจริงๆว่าเขาคือ อ็อสการ์ ชินด์เลอร์ เป็นหนังที่ลงตัวและสมบูณ์แบบในทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็น ทีมนักแสดง ภาพ บท และดนตรีประกอบ
.
ผลจากความปราณีต พิถีพิถันในงานกำกับของสปีลเบิร์กในครั้งนี้ ทำให้ Schindler's List คว้ารางวัลออสการ์ได้ถึง 7 สาขา คือ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม , ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม , บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม , ถ่ายภาพยอดเยี่ยม , ลำดับภาพยอดเยี่ยม , กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม และดนตรีประกอบยอดเยี่ยม
7. The Lord of the Rings: The Return of the King (2003)
Rating 8.9 คะแนน จำนวนคนโหวต 1,619,922 คน
เรื่องย่อ : The Lord of the Rings: The Return of the King นำเรื่องราวมาจากหนังสือนวนิยายเล่มที่ 5 และ 6 ในตอนที่เหล่าผู้กล้าพันธมิตรแห่งวงแหวน และกองกำลังทมิฬแห่ง ดาร์คลอร์ด ซอรอน เคลื่อนพลเข้าสู่ที่มั่นสุดท้าย ไมนัสทิริธ
.
แกนดาล์ฟ ได้พยายามรวบรวมไพร่พล และกองทัพที่แตกสลายขึ้นมาอีกครั้ง โดยร่วมมือกับทัพนักรบผู้กล้าของกษัตริย์ ธีโอเดน แห่ง โรแฮน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังไม่อาจต้านทานกองทัพของศัตรูได้ ในขณะที่โฟรโด้ และแซม เดินทางไปยังเมาท์ดูม พวกเขาก็ถูกโจมตีโดยกอลลัม โฟรโด้พ่ายแพ้ให้แก่อำนาจของแหวนจนถูกครอบงำ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภาคนี้นำไปสู่จุดจบอันเป็นบทสรุปของสงครามและการกลับคืนมาของสันติภาพ
บทวิจารณ์ : ★★★★★
ในบรรดาภาคต่างๆของ The Lord of the Rings ถือว่าภาคนี้ทำออกมาได้ดีที่สุด หนังเก็บรายละเอียดต่างๆจากนวนิยายออกมาได้ดีมาก งานภาพสวยอลังการ ดนตรีประกอบไพเราะ เครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม เป็นการจบหนังไตรภาค The Lord of the Rings ที่สวยงาม สมบูรณ์แบบ นับเป็นหนังแฟนตาซีเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์
.
หนังได้รับการตอบรับที่ดีทั้งคำวิจารณ์และรายได้จนถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในหนังที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา การันตีด้วยการได้รับรางวัลในทุกสาขาที่เข้าชิงออสการ์ และสร้างสถิติคว้าไปได้ถึง 11 รางวัลในสาขา ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม, กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม, ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม, ลำดับภาพยอดเยี่ยม, แต่งหน้ายอดเยี่ยม, ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม, เพลงประกอบภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม , บันทึกเสียงยอดเยี่ยมและเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม นับเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลออสการ์มากที่สุด (เท่ากับเรื่องBen-Hur:1959 และ Titanic:1997)
8. Pulp Fiction (1994)
Rating 8.8 คะแนน จำนวนคนโหวต 1,799,853 คน
ผลงานกำกับที่สร้างชื่อให้กับเควนติน ทาแรนติโน่ คับคั่งไปด้วยนักแสดงชั้นนำอย่าง จอห์น ทราโวต้า . ซามูเอล แจ็คสัน , บรู๊ซ วิลลิส , อูม่า เทอแมน
เรื่องย่อ : วินเซนต์ และ จูลส์ สองมือปืนคู่หู ได้รับมอบหมายให้นำกระเป๋าเดินทางที่ถูกขโมยไปกลับคืนมา พร้อมทั้งพาภรรยาสาวของหัวหน้าใหญ่ไปเที่ยวในระหว่างที่เขาไม่อยู่ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมด เชื่อมโยงและเกี่ยวพันกับอีกสองเหตุการณ์ คือ การวางแผนปล้นร้านอาหารของคู่รักคู่หนึ่ง และ นักมวยที่ถูกจ้างให้ล้มมวยแต่ดันพลาดไปต่อยคู่แข่งจนตาย
บทวิจารณ์ : ★★★★★
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของ Pulp Fiction คือ การถ่ายทอดเหตุการณ์ในเรื่องเพื่อเชื่อมโยงทั้งสามเหตุการณ์เข้าหากัน ด้วยวิธีการที่แปลกใหม่ น่าสนใจ หนังกระตุ้นให้ผู้ชมรู้สึกสงสัยและมีส่วนร่วมไปกับตัวละคร เป็นการเล่าเรื่องที่ฉีกขนบธรรมเนียมการทำหนังในยุคนั้น โดยเล่าแบบตัดสลับไปมา ไม่เรียงลำดับเวลา ไม่มีรูปแบบตายตัว เล่าตรงนั้น มาต่อตรงนี้ และเมื่อดูจบ ผู้ชมก็จะปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดด้วยตนเอง
.
ทั้งหมดนี้ต้องยกความดีให้กับนักแสดง ทีมเขียนบทและผู้กำกับ เพราะถ้าขาดส่วนหนึ่งส่วนใดไปหนังก็คงไม่มีสไตล์และเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากมายขนาดนี้
9. The Good, the Bad and the Ugly (1966)
Rating 8.8 คะแนน จำนวนคนโหวต 679,477 คน
The Good, the Bad and the Ugly หรือ " มือปืนเพชรตัดเพชร " เป็นหนังคาวบอยระดับตำนาน ที่กำกับโดยเซอร์จิโอ ลีโอเน ผู้กำกับชาวอิตาลี ซึ่งหนังคาวบอยที่กำกับโดยชาวอิตาลี มักจะถูกเรียกว่า " หนังคาวบอยสปาเกตตี้ " มันเป็นคำเรียกที่มีท่าทีดูถูกอยู่หน่อยๆในประเด็นที่คนอีตาลีจะมากำกับหนังสไตล์อเมริกัน แต่สำหรับเรื่องนี้ เซอร์จิโอ ลีโอเน ได้แสดงให้เห็นว่าในโลกของศิลปะ ไม่มีคำว่าเชื้อชาติ
.
เขากำกับหนังเรื่องนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมจนทำให้ The Good, the Bad and the Ugly ได้รับการยกย่องให้เป็นหนังคาวบอยที่คลาสสิคที่สุดตลอดกาล
1
เรื่องย่อ : เรี่องราวของคาวบอย 3 คน คือ ชายนิรนามผู้แม่นปืนราวกับจับวาง ฉายา " บลอนดี้ " (The Good) , นายทหารยศสูงที่รับงานเป็นมือปืนรับจ้าง ฉายา " แองเจล อายส์ " (The Bad) และ โจรกระจอกผู้ถูกล่าค่าหัว นาม " ทูโก้ "(The Ugly) ทั้งสามต่างตามหาขุมทองมูลค่า 2 แสนดอลล่าร์สหรัฐซึ่งถูกฝังไว้ที่สุสานแห่งหนึ่ง โดย ทูโก้ รู้ว่าสุสานนี้อยู่ที่ไหน ? ส่วนบลอนดี้ รู้ตำแหน่งของหลุมศพที่ฝังทองเอาไว้ ทั้งสองจึงออกเดินทางไปตามหาทองด้วยกัน
.
ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่อเมริกากำลังมีสงครามกลางเมือง การเดินทางครั้งนี้จึงมีอุปสรรคมากมาย และก็ทำให้พวกเขาได้พบกับ แองเจล อายส์ ซึ่งทราบข่าวเรื่องขุมทองและต้องการที่จะครอบครองทองทั้งหมดไว้แต่เพียงผู้เดียว การเผชิญหน้าของทั้งสามจึงเกิดขึ้นด้วยเล่ห์เหลี่ยม ไหวพริบ และเชิงปืน
.
สุดท้ายแล้วใครจะเป็นผู้ได้ครอบครองขุมทรัพย์นี้ คนดี (The Good) คนเลว (The Bad) หรือ คนน่ารังเกียจ (The Ugly)
บทวิจารณ์ : ★★★★
ด้วยความที่หนังมีอายุมากกว่า 50 ปี ทำให้กลวิธีการเล่าเรื่องค่อนข้างตรงไปตรงมาตามแบบฉบับของหนังสมัยก่อน อีกทั้งความยาวที่มากถึง 2 ชั่วโมง 40 นาที ทำให้มีบางช่วงที่น่าเบื่อไปบ้าง แต่โดยรวมแล้ว The Good, the Bad and the Ugly ก็โดดเด่นกว่าหนังคาวบอยเรื่องอื่นๆ โดยเฉพาะดนตรีประกอบที่โด่งดังมากจนกลายเป็นเพลงที่มักจะเปิดในธีมงานแบบคาวบอย (ลองฟังดูครับ รับรองว่าต้องเคยได้ยิน)
สำหรับนักแสดงนำทั้งสามคนต่างก็ทำหน้าที่ของตนเองได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะ Eli Wallach ที่รับบทเป็นทูโก้จอมกะล่อน เขาแสดงได้ยียวนกวนประสาทจนสามารถขโมยซีนและสร้างสีสันให้กับหนังได้มากทีเดียว
.
หนังมีความอลังการและมีฉากที่น่าจดจำมากมาย โดยเฉพาะสองซีนที่เป็นไฮไลท์ของหนังเรื่องนี้ คือ ฉากสงครามชิงสะพาน และ ฉากดวลปืนสามคนตอนท้ายเรื่อง เป็นซีนในตำนานที่แฟนหนังจดจำได้เป็นอย่างดี
10. The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring (2001)
Rating 8.8 คะแนน จำนวนคนโหวต 1,635,768 คน
เรืองย่อ : มัชฌิมโลกในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ลอร์ดผู้หนึ่งได้รวบรวมพลังแห่งความชั่วร้ายทุกอย่างรอบตัวเขา โดยหวังว่าสักวันหนึ่งจะทำลายล้างอารยธรรมที่มีอยู่ทุกหนแห่งให้ราบคาบ เพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่นี้ เขาต้องมีพลังอำนาจ ซึ่งสิ่งที่จะมอบพลังอำนาจให้เขาก็คือ แหวนวงหนึ่งที่หายไป หากเขาได้แหวนนี้กลับคืนมา ก็จะสามารถพลิกโลกให้กลับเข้าไปสู่ยุคมืดได้อีกครั้ง
.
แต่โชคชะตาก็ได้ลิขิตให้มีสิ่งมีชีวิตเพียงผู้เดียวที่สามารถหาแหวนวงนี้ได้ ซึ่งก็คือ ฮ็อบบิทหนุ่มนาม " โฟรโด้ แบ็กกินส์ " นี่คือจุดเริ่มต้นของมหากาพย์แห่งสงครามที่จะดำเนินต่อไปอีกยาวนาน จนกว่าแหวนวงนี้จะถูกทำลาย
บทวิจารณ์ : ★★★★★
โดยรวมแล้วหนังไตรภาคของThe Lord of the Rings มีความอลังการทั้งสามภาค หนังไต่ระดับความสนุกขึ้นเรื่อยๆตามความเข้มข้นของเนื้อหา ถือเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมมากมายจากทั้งนักวิจารณ์และแฟนหนังสือ แม้มีการดัดแปลงเนื้อเรื่องบางส่วนแต่หนังก็สื่อความหมายดั้งเดิมจากนิยายออกมาได้อย่างครบถ้วน
.
ไม่มีใครคาดคิดว่า The Lord of the Ringsจะถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ เพราะนิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาซับซ้อน และมีรายละเอียดที่สูงมาก
.
แต่ปีเตอร์ แจ็กสัน ได้ฉีกความเชื่อนั้นทิ้งและตั้งใจกำกับจน The Lord of the Rings กลายมาเป็นตำนานในวงการภาพยนตร์ โดยในภาคแรกนี้ได้รับรางวัลออสการ์ 4 สาขา คือ แต่งหน้ายอดเยี่ยม, ถ่ายภาพยอดเยี่ยม, เทคนิคพิเศษทางภาพยอดเยี่ยม , ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม
.
หนังทั้งสามภาคได้รับรางวัลออสการ์รวมทั้งหมด 17 รางวัล : ภาคแรก 4 รางวัล , ภาคสอง 2 รางวัล , ภาคสาม 11 รางวัล

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา