24 พ.ย. 2020 เวลา 14:39 • สุขภาพ
#กลยุทธ์ลงทุนรับมือเงินฝืดยุคโควิด
จากหนังสือ "การเงินสีดำ" โดยอาจารย์อนุชา กุลวิสุทธิ์
ภาวะเงินฝืด (Deflation) คือ ภาวะตรงข้ามกับภาวะเงินเฟ้อ(Inflation) เป็นสถานการณ์ที่ระดับราคาสินค้าและบริการทั่วไปลดต่ำลงเรื่อยๆ อันเนื่องจากอุปสงค์รวมมีน้อยเกินไป ไม่เพียงพอที่จะซื้อสินค้าและบริการ ทำให้ผู้ผลิตต้องลดราคาสินค้าเพื่อที่จะทำให้ขายได้ และลดการผลิตลงเพราะว่าถ้าผลิตออกมาเท่าเดิมก็ขายได้น้อย ซึ่งจะส่งผลเลวร้ายต่อเศรษฐกิจเพราะการจ้างงานจะลดลง และกระทบเป็นลูกโซ่ต่อมาตรฐานความเป็นอยู่ของประชาชน
ช่วงภาวะเงินฝืด อำนาจซื้อของบุคคลทั่วไปจะสูงขึ้น เพราะเงินเท่าเดิมจะซื้อสินค้าได้มากขึ้น เพียงทว่าช่วงนี้จะไม่ค่อยมีเงินกัน
 
#สาเหตุการเกิดเงินฝืด
โดยทั่วไปจะมาจาก 4 สาเหตุด้วยกัน ซึ่งแต่ละสาเหตุล้วนเกี่ยวเนื่อง ปนแปกันอย่างยากจะแยกออกจากกันได้
1.การเพิ่มขึ้นของอุปทาน หากอุปทานหรือปริมาณสินค้าในท้องตลาดมีมากเกินไป จนล้นความต้องการ ก็มีโอกาสที่จะทำให้ราคาสินค้าปรับตัวลดลงมาได้
2.การหดตัวของอุปสงค์ กรณีนี้อุปทานอาจจะเท่าเดิม แต่หากความต้องการสินค้าในตลาดหรืออุปสงค์เกิดหดตัวลง ก็จะส่งผลทำให้เกิดเงินฝืดขึ้นมาได้เช่นกัน
3.การลดลงของต้นทุน จากปัจจัยอัตราแลกเปลี่ยนหรือมาตรการปรับเพิ่มภาษีและการที่ปริมาณเงินหมุนเวียนมีไม่เพียงพอต่อขนาดของระบบเศรษฐกิจ
4.โรคระบาด ภัยพิบัติ และสงคราม เป็นสาเหตุที่ทำให้อุปทานและอุปสงค์ลดลงทั้งสองด้าน ตัวอย่างเช่นวิกฤตการณ์โควิค ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน
#5เคล็ดลับลงทุนช่วงเงินฝืด(5 Useful Investment Tips for Dealing with Deflation)
พอจะแยกสินทรัพย์ลงทุนที่คนต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง ออกได้เป็น 5 กลุ่มหลักๆ คือ หุ้น ตราสารหนึ้ เงินสด สินทรัพย์แท้จริง และลูกหนี้ ซึ่งในมุมมองนักการเงินมืออาชีพในปัจจุบันนี้ แต่ละกลุ่มมีหลักคิดในการบริหารจัดการดังนี้
#หุ้น
สำหรับหุ้นแล้ว เงินฝืด ถือเป็นข่าวร้าย(Bad News) เนื่องจากระดับราคาและความต้องการสินค้าที่ลดลง จะทำให้กำไรของกิจการตกลง และส่งผลให้ราคาหุ้นลดลงในที่สุด
กฎทองลงทุน คือ “ไม่ต้องขายหุ้นทิ้งทั้งหมด” เพราะจะยังคงมีหุ้นนำตลาดชั้นดีบางแห่ง ที่จะยังคงมีผลประกอบการดีอยู่
โดยทั่วไป หุ้นนำตลาดชั้นดี จะดูได้จากคุณลักษณะ 4 อย่างคือ
 มีเงินสดเหลือเฟือ(Plenty of Cash)
 หนี้สินน้อย(Low Debt)
 มีประวัติจ่ายปันผลสม่ำเสมอ(Steady Dividends)
 สินค้าของบริษัทเป็นสินค้าจำเป็นที่คนต้องซื้อแม้เศรษฐกิจไม่ดีก็ตาม
#ตราสารหนี้
ในช่วงเงินฝืด ตราสารหนี้ภาครัฐระยะยาว จะโดดเด่นสุด(In a deflationary environment, longer-term government bonds tend to do well) เพราะจะเป็นช่วงที่ความเสี่ยงในการลงทุนสูง ผลตอบแทนต่ำ(Yields Drop) นักลงทุนจะพยายามหาที่ปลอดภัยให้กับทรัพย์สมบัติของตัวเอง
ให้พึงระวัง “หลักทรัพย์ที่ปรับผลตอบแทนตามเงินเฟ้อ(Inflation-linked Securities)” จะมีราคาลดต่ำลงหากภาวะเงินฝืดยืดเยื้อ
#เงินสด
“ถือเงินสด” คือกลยุทธ์ที่ดีสุดช่วงเงินฝืด(Cash is king in a deflationary world) เนื่องจากการฝากเงินหรือนำไปลงทุนให้ผลตอบแทนน้อยมาก ไม่คุ้มกับความเสี่ยง
เงินสดยังคงรักษาเงินต้นอยู่ได้ ไม่ต้องกลัวราคาจะตกเหมือนการลงทุนในหลักทรัพย์ชนิดต่างๆ
#สินทรัพย์แท้จริง(Hard Assets)
ช่วงเงินฝืด ราคาสินทรัพย์แท้จริงจะลดต่ำลงทั้งหมด ตั้งแต่ สินค้าโภคภัณฑ์ อสังหาริมทรัพย์ และทรัพย์สินแท้จริงอื่นๆ กฎทองการลงทุน ก็เช่นเดียวกับหุ้นคือ “ไม่ควรทิ้งการถือครองไปทั้งหมด”
ทองคำ เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ควรมีและถือครองไว้ เพราะเป็นสินทรัพย์ที่สู้กับเงินเฟ้อ(Inflation Hedge)ได้ดี ขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องมือสู้กับเงินฝืด(Deflation-Fighting Tool)ได้ด้วย
ช่วงเกิดเงินฝืด รัฐบาลมักพยายามพิมพ์เงินออกมาใช้ ซึ่งหากพิมพ์ออกมาเยอะๆ ก็มีโอกาสที่จะกลับมาเกิดภาวะเงินฟ้อและเกิดวิกฤตการณ์การเงินขึ้นได้ ซึ่งจะกลับมาส่งผลดีกับทองคำที่ต่อสู้กับวิกฤตการณ์การเงิน(Hedge against Financial Stress)ได้ดี
แต่สำหรับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ กลับมีมุมมองในเรื่องทองคำ ว่า“คนซื้อทองคือคนโง่ ที่กล่าวเช่นนี้ เพราะทองคำมีจุดอ่อนอยู่ 2 อย่าง คือ เอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้ และไม่สามารถสร้างรายได้หรือผลผลิตอะไรขึ้นมาได้เลย และในชีวิตนี้ ยังไม่เคยเห็นใครรวยเพราะทองคำ นอกจากเจ้าของเหมือง”
สรุป ก็คือไม่ควรถือทองคำนานนัก ควรถือเฉพาะช่วงเกิดปัญหาเงินฝืดหรือเงินเฟ้อเท่านั้น เพราะในภาวะปกติทองจะเป็นการลงทุนที่ไม่น่าสนใจเลย และราคาอาจจะลดลงเสียด้วยซ้ำ
อสังหาริมทรัพย์ เป็นอีกสินทรัพย์แท้จริงอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ควรทิ้ง เพราะราคาไม่ค่อยตก หากตก ก็จะฟื้นกลับมาได้ทุกที
#หนี้(Debt)
ช่วงเงินฝืด ส่งผลกระทบต่อบรรดาลูกหนี้ ทั้งในเรื่องรายได้ และความสามารถในการชำระหนี้ อย่างยากจะหลีกเลี่ยงได้ ทำให้เสี่ยงสูงขึ้น ขณะที่มูลค่าของหนี้ยังคงที่เท่าเดิม
กลยุทธ์การเงินที่ดีสุดช่วงวิกฤตโควิด จึงควรอยู่ในลักษณะ “หนี้เก่ารีบทวงคืน ไม่ปล่อยหนี้ใหม่” และ ถ้าจะให้กู้ยืม ต้องผ่านธุรกรรม “ขายฝาก” เท่านั้น
โฆษณา