24 พ.ย. 2020 เวลา 19:19 • ไลฟ์สไตล์
คืนนี้เรามีโอกาสได้คุยแชทกับพี่สาวลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันมากคนนึง จะว่าพี่สาวก็ใช่นั่นแหละ เราโตมาด้วยกัน ชอบแกล้งกัน ชอบส่งข้อความหากัน ชอบงอนให้กัน ส่วนมากจะเป็นพี่เขาสะมากกว่าที่เป็นฝ่ายง้อเรา แฮะ ๆ ^^
เราอายุห่างกัน 5 ปี ตอนนี้พี่เขาอายุ 30 และเราได้มีโอกาสได้คุยกันหลังจากที่หลายปีมานี้เราจะได้กลับไปเจอกันก็เฉพาะงานฌาปนกิจศพของญาติผู้ใหญ่ที่บ้านต่างจังหวัดกันเท่านั้น หรือมีเรื่องที่จะต้องกลับไปทำธุระจริง ๆ เท่านั้น
พี่ยังเป็นเหมือนเดิมนะ แต่คงจะเพิ่มเติมคือลูกสองคนแล้ว กับสามีคนเดิมที่เราเคยคิดว่าพี่เขาอาจจะไม่ชอบหน้าเราตอนที่เขาสองคนกำลังจีบกันใหม่ ๆ และไม่คิดว่าพี่เขาจะยอมแต่งงานกับผู้ชายคนนี้พ่อของหลานสาวสองคนด้วยซ้ำไป (ล้อเล่น)
จากวันเลื่อนกลายเป็นเดือนปีจนเราเรียนจบเข้ามาอยู่ในกรุงเทพ ส่วนพี่เขานั้นก็อยู่และใช้ชีวิตครอบครัวอยู่ที่ต่างจังหวัด คงจะเป็นปกติของชีวิตคนต่างจังหวัดที่หลังจากแต่งงานก็ใช้ชีวิตเรียบง่าย เช้ามาเข้าสวน เย็นมารับลูก ทำกับข้าว ซักผ้า ทำความสะอาดบ้าน ตกดึกไปกรีดยาง คงจะเป็นกิจวัตรประจำวันของพี่เขาไปแล้วล่ะ
แต่สำหรับเราแล้ว เราก็ยังเป็นเสมือนคนที่ไร้ซึ่งแก่นสารไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากทำงานในร้านซักอบรีด รับงานออกแบบเล็ก ๆ น้อย ๆ และเป็นนายหน้าส่งคนงานก่อสร้างแล้ว นอกนั้นก็เห็นจะเป็นอะไรที่ไร้ซึ่งแก่นสารหาอะไรจับต้องไม่ได้ หรือเราอาจจะคิดมากไปเองหรือเปล่าก็ไม่รู้สินะ
ในห้องแชทสีฟ้านั้น เราถามพี่เขาเกี่ยวกับเรื่องสัพเพเหระ ไปเรื่อย แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เราเริ่มรู้สึกแปลกไปในวัยที่เราให้คำจำกัดความที่เป็นเสมือนวัยเริ่มต้นของการเข้าสู่ช่วง
"วัยผู้ใหญ่เต็มตัว"
ของเราที่ว่า...เรารู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวเรา แม้กระทั่งผู้คนก็เริ่มหายหน้าไปทีละคน บ้างก็เริ่มแต่งงาน มีครอบครัว มีลูกน้อยน่ารักวัยกำลังซนสดใส บ้างก็ใช้ชีวิตอย่างจริงจัง บ้างก็ใช้ชีวิตตามวัตถุนิยมตามแฟชั่นยุคสมัยของเขาไป
แต่สำหรับเราแล้วเมื่อได้ย้อนมองตัวเองในตอนนี้ ถามว่ามีความสุขไหม สำหรับเรา ๆ คิดว่าชีวิตของเราในตอนนี้ก็คงอยู่ในระดับพอใช้ พอใช้ที่หมายถึง มีกิน มีใช้ มีเก็บบ้าง และพอได้ใช้หนี้สินส่วนอื่น ๆ กับเขาบ้าง ไม่ถึงกับต้องลำบากเหมือนอย่างก่อน ๆ ที่ผ่านมา
หากให้ย้อนกลับไปเมื่อสี่ห้าปีที่แล้ว คุณจะไม่คิดเลยว่าเราจะมานั่งเขียนเรื่องราวพวกนี้ได้ เราคงใช้ชีวิตแบบไม่มีจุดหมาย คงทำอะไรเรื่อยเปื่อย ทำงานเดิม ๆ แบบนั้นซ้ำซาก เปลี่ยนงานนั่นนี่ จนสุดท้ายมาจบที่งานรีดผ้านี่แหละ จนได้มันมาเป็นร้านของตัวเองในระยะเวลา 1 ปีกับ 2 เดือนเต็ม ๆ ก่อนจะโควิดบุกประเทศไทย
เราพึ่งใช้หนี้ที่กู้มาเซ้งกิจการต่อจากพี่เจ้าของร้านคนเดิมที่เราเคยเป็นลูกจ้างเขามาก่อนให้คุณครูที่เราเคารพท่านเสมือนญาติผู้ใหญ่ท่านนึงจนหมดไป จนได้มาเป็นร้านของตัวเองอย่างสมบูรณ์อย่างในทุกวันนี้ ถ้าจะให้เขียนเป็นเรื่องราว คงจะเขียนได้ออกมาเป็นหนังสือชีวประวัติเล่มหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่ก็คงต้องใช้เวลาเกือบจะทั้งชีวิตมั้งกว่าจะเขียนมันจบเล่มได้ เพราะเราอาจจะไม่ได้ขยันมานั่งเขียนเรื่องราวของตัวเองได้นานถึงขนาดนั้นนะสิ
"เพราะชีวิตที่สนุกคือชีวิตที่มีเรื่องเล่า"
อย่างที่พระ ว. วชิรเมธี ท่านได้กล่าวไว้ในธรรมบรรยายที่เราชอบเปิดฟังในตอนเช้าในช่องยูทูบสินะ เรื่องเล่าของเราเลยเยอะมาก ๆ มากจนไม่รู้ว่าจะมีใครอยากจะแวะเข้ามาอ่านหรือถ้าเป็นหนังสือคงได้เบื่อระอาไปตาม ๆ กันตั้งแต่บทแรกแน่ ๆ กับคนที่ชอบเขียนอะไรเวิ้นเว้อเรื่อยเปื่อยอย่างเรา
และบทสนทนาหนึ่งก็ได้เริ่มต้นขึ้น
"พี่ปุ้ยเคยเหนื่อยบ้างไหมอ่ะ ในแต่ละวันที่เจอแต่อะไรเดิมๆ"
"เป็นอะไรหรอ เหนื่อยหรอ"
"สงสัยจะเหนื่อยมั้งพี่ อธิบายไม่ถูกเลยอ่ะ ^^"
"พักบ้างนะ"
นั่นเป็นประโยคตอนหนึ่งที่เราได้ถามเรื่องสารทุกข์สุขดิบของกันและกันฉันพี่น้องไป
"น้องพี่เก่ง"
"ไม่เก่ง"
"เก่งสิ อายุขนาดนี้ทำได้ขนาดนี้เก่งแล้ว"
"หนูจะบอกว่าไม่เก่งเลย แล้วถ้าวันนึงหนูไม่มีอะไร พี่จะยังคุยกับหนูไหม"
"เอาอีกแล้ว ก็เราเป็นพี่น้องกันนะ"
"ถ้าหนูเอามอไซค์ไปรับพี่มากินก๋วยเตี๋ยว พี่จะซ้อนไปกับหนูหรือเปล่า"
"แต่ก่อนเอ็งไม่มีอะไร พี่ก็ยังรักเอ็งเลย"
"บางทีเราก็ไม่รู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราบ้าง ทุกปีที่เปลี่ยนไปคือการเปลี่ยนแปลงที่บางทีเราเองก็ไม่อาจจะตั้งมือรับกับมันได้"
"เอ็งจำได้มั้ยแต่ก่อนที่อยู่ด้วยกันนะ"
"จำได้สิ"
"ถ้าวันนึงหนูเป็นคนไม่มีอะไร แล้วพี่ไม่เหมือนเดิมพี่รู้ไหมว่าหนูคงจะเสียใจมากอ่ะ พอโตขึ้นหนูกลัวการที่คนรอบข้างเราจะไม่เหมือนเดิม"
"พี่ก็ไม่เคยทิ้งเอ็งนะ เอ็งแหละเงียบ ไม่เล่นหาก็เงียบ"
ถ้าในช่วงวัยเด็กที่ผ่านมา พี่ปุ้ยคือพี่สาวคนหนึ่งที่เราสนิทมาก ๆ คนนึง คนที่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นแทบจะทุกอย่างในชีวิตในวัยเด็กช่วงนั้นของเราเลยก็ว่าได้ จะให้เล่ามันก็นานมามากแล้ว คงจะต้องย้อนไปเป็นสิบปีเลยละมั้ง และสุดท้ายเราก็จบบทสนทนาของกันและกันเหมือนอย่างที่ผ่าน ๆ มา...
"คิดถึงนะ"
"คิดถึงเหมือนกันนะพี่ปุ้ย ดูแลตัวเองด้วยนะพี่"
ไม่รู้สิ...พอเราเริ่มโตขึ้นความคิดความอ่านก็เริ่มละเอียดขึ้น การที่คนรอบตัวเริ่มหายไปทีละคน ยังไม่สำคัญเท่าคนรอบข้างที่เคยวิ่งเล่นด้วยกันเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไป ไม่เหมือนเดิม ไม่พูดคุย ไม่มองหน้า มันน่ากลัวกว่าทุกสิ่งที่เคยผ่านมาในชีวิตเลยล่ะ โดยเฉพาะพี่น้องที่โตมาด้วยกัน
เรายังจำเย็นวันนั้นของเด็กสาววัยสิบห้าปีที่นั่งปลอกมะพร้าวช่วยอาที่หลังยุ้งได้อยู่เลย ประโยคของพี่ชายลูกพี่ลูกน้องคนนั้นยังทำให้เราจดจำได้จนมาถึงทุกวันนี้
"เอ็งจะรีบอยากโตไปทำไม ยิ่งโตปัญหาก็ยิ่งเยอะ"
มาถึงตอนนี้มันก็คงจริงอย่างที่พี่ว่านะ "พี่ฝน" พอเราโตมามันไม่ใช่แต่ปัญหาหรอก แต่มันกลับต้องใช้ความคิด ความอ่านให้มาก และต้องคอยระวังความคิด ความรู้สึกของตัวเองในทุก ๆ เรื่องด้วย
พอโตมา ความสับสนวุ่นวายใจก็ย่อมมีตามมามากกว่าสิ่งอื่นใด การจะบังคับความคิด และความรู้สึกของตัวเองก็ต้องใช้ความพยายามที่น่าจะต้องมีมากอยู่พอสมควรกันเลยล่ะ หนูไม่แปลกใจเลยที่พี่เลือกใช้ชีวิตในแบบความสุขของพี่แบบนั้น และหนูเคารพการใช้ชีวิตของพี่จริง ๆ จากใจ ที่ไม่คิดดูถูกดูแคลนพี่ด้วย
มันจะมีใครสักคนไหมที่เลือกที่จะใช้ชีวิตในแบบของตัวเองโดยไม่แคร์สายตาหรือคำพูดใคร ต่อให้เราไม่มีอะไร ต่อให้เราไม่พยายามที่จะแข่งขันชิงดีชิงเด่นกับใคร ต่อให้เราเลือกที่จะใช้ชีวิตในแบบของเรา สุดท้ายก็คงจะหนีไม่พ้นคำดูถูกนินทาสารพัดอย่าง หากวันหนึ่งเราอยู่เหนือคำพูดพวกนี้ได้ล่ะ ไม่ให้สิ่งนั้นเข้ามากระทบความรู้สึกของเราได้ วันหนึ่งวันนั้นคำว่า "ชีวิต" มันจะยังคงมีความหมายอยู่ไหม?
มันก็คงจะเหมือนกับคนที่ทำงานแล้วไม่เคยเจอกับอุปสรรค มันคงจะเป็นชีวิตที่ไร้ซึ่งแก่นสาร ไร้ซึ่งรสชาติของชีวิตจริง ๆ เนอะ พี่ว่าไหม "พี่ปุ้ย" แล้วพี่ล่ะคิดเหมือนกันกับหนูไหม "พี่ฝน"
แต่ต่อให้ชีวิตของเราทุกคนจะต้องหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านไปตามกาลเวลาไปนานสักแค่ไหนก็ตาม สุดท้ายสิ่งที่เราจะคงทนไว้ได้นั้นมันจะยังคงเป็นเราในแบบฉบับเดิมของเรานั้นอยู่หรือเปล่า จะมีใครคนใดคนหนึ่งเปลี่ยนไปไหมในวันที่ใครอีกคนไม่มีหรือไม่เหลืออะไรอย่างใครอื่นเขา
แล้วถ้าวันใดวันหนึ่งนั้นมาถึง ทุกคนจะยังเดินเข้ามาทักทายกันเหมือนเดิมหรือเปล่า ถามสารทุกข์สุขดิบกันเหมือนอย่างที่ผ่าน ๆ มาบ้างใช่ไหม สายตาที่เราใช้มองกันจะยังเป็นมิตรเหมือนอย่างตอนนี้อยู่ไหมนะ
แต่ก็อย่างว่าทุกสิ่งอย่างล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของอนาคตที่ยังมาไม่ถึง หากเมื่อถึงเวลา สิ่งเหล่านั้นเราก็คงจะได้รู้มันด้วยตัวของเราเอง...
ขอบคุณสำหรับการทักทายกันในค่ำคืนนี้นะพี่ปุ้ย พี่ยังเป็นพี่สาวที่หนูยังรักและเคารพเสมอมา และหนูจะยังเป็นหนูที่คอยจะหาเรื่องกวนพูดแหย่พี่ไปอีกนาน ๆ จนกว่าอาหนิง กับอาเนมจะโตเป็นสาวกันเลยล่ะ ^^ ตอนนั้นพี่คงจะแก่และหนูก็คงจะแก่ไม่แพ้กัน...อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะพี่ ฝากความคิดถึงถึงหลานทั้งสองด้วย...ฝันดีจ้ะ ^^
#กูนี่แหละเขียน
#เล่าไปเรื่อย
#Bantuek28
โฆษณา