26 พ.ย. 2020 เวลา 03:44 • การศึกษา
ชาวอารยันในตำนาน
คือ มนุษย์ผู้หนึ่งที่บรรลุภูมิจิตระดับสูง
ใช้เรียกเป็นรายบุคคลไม่ใช่เป็นเผ่าพันธุ์
คำว่า "อารยัน" (Aryan) มาจากคำภาษาสันสกฤตว่า "อารยะ" (Arya) และภาษาบาลีว่า "อริยะ" (Ariya) หมายถึง ผู้เจริญแล้ว, ผู้ประเสริฐแล้ว
ภาษาบาลี-สันสกฤต (Pali-Sanskrit) เป็นภาษาศักดิ์สิทธิ์ เป็นภาษาของพวกพรหมที่ลงมากินง้วนดินและจุติเกิดเป็นมนุษย์ในสมัยต้นกัป
ชาวอารยันที่แท้จริง คือ มนุษย์บุคคลหนึ่งที่มีภูมิปัญญาทางจิตสูง มีอภิญญาครบองค์หก และมีฌานสมาธิแก่กล้าในการเผากิเลสอาสวะที่หมักหมมอยู่ในจิตสันดานจนบรรลุโลกุตรธรรมพื้นฐานเป็นพระโสดาบัน โดยถึงแม้จะมีอริยบุคคลที่บรรลุภูมิธรรมเกิดขึ้นมาเพียงผู้เดียวบนโลก แต่ก็มีคุณค่ามหาศาล
ชาวอารยันปลอม คือ กลุ่มมนุษย์ที่เอาคำศักดิ์สิทธิ์สูงค่านี้มาใช้กำหนดเรียกเผ่าพันธุ์พวกพ้องประเทศของตนเอง เพื่อยกพวกตนให้สูงส่งกว่ามนุษย์เหล่าอื่น โดยที่พวกตนก็ไม่ใช่ผู้สูงส่งหรือผู้เจริญทางจิตวิญญาณอย่างแท้จริง เป็นเพียงปุถุชนมนุษย์ธรรมดาไม่ต่างอะไรจากมนุษย์ชนชาติอื่นบนโลก สามารถถูกกิเลสเข้าครอบงำจิตให้กระทำอกุศลกรรมได้ไม่ต่างอะไรจากมนุษย์ทั่วไป
ตรงนี้ เหล่านักบวชเดียรถีย์ในอดีตก็เคยหลงตนคิดว่าบรรลุความเป็นอริยบุคคลเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่สุดท้ายก็ของปลอม ไม่ได้บรรลุจริงๆ ต่อให้มีฌานสมาธิสูงแต่ถ้าเผากิเลสในจิตไม่ได้ก็เป็นได้แค่โคตรภูไม่ใช่อารยัน และมีสิทธิ์ร่วงถอยกลับไปเป็นปุถุชนคนธรรมดาเหมือนเดิม
("ชาวอารยันปลอม" เรียกอีกอย่างว่า "ชาวอารยันเสินเจิ้น")
ก่อนที่ท้าวสันดุสิตเทวราชจะลงมาจุติ (รูปกายอุบัติ) เป็นเจ้าชายสิทธัตถะแห่งกรุงกบิลพัสดุ์นั้น คำว่า "อริยะ" "ภควา" "อรหันต์" และ "พุทธะ" ล้วนมีมาก่อนแล้ว โดยใช้เรียกท่านที่ถูกนับถือว่าเป็นผู้มีคุณวิเศษอย่างสูง ดังจะเห็นได้จากที่ปิปผลิมาณพ (พระมหากัสสปะ) ออกบวชเพื่อพระพุทธเจ้าโดยที่ตนยังไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าคือผู้ใด แต่ปิปผลิมาณพเชื่อมั่นว่าจะต้องมีพระอรหันต์ที่บรรลุสู่ความเป็นอริยบุคคล (บรรลุความเป็นอารยัน) อยู่บนโลก เพียงแค่ยังไม่รู้ว่าเป็นท่านใด ก็ออกบวชอุทิศตนเฝ้าตามหาท่านผู้นั้น
(พระปุกกุสาติ ก็ออกบวชในแบบเดียวกันนี้)
ยุคของชาวอารยันของพุทธะองค์ที่ 4 แห่งภัทรกัปนี้เพิ่งจะมาเริ่มต้นขึ้นจริงๆ ก็ตอนที่พระสิทธัตถะได้ตรัสรู้ใต้ต้นมหาโพธิ์ (ธรรมกายอุบัติ) ยกระดับจากปุถุโคตรเป็นอริยโคตร เรียกว่า พระโคตมสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้เองคำสอนสู่ความเป็นชาวอารยันที่แท้จริงในการตื่นรู้จากอวิชชาทั้งปวงก็ได้เริ่มขึ้นหลังจากวันนั้น
ศาสนาพุทธ จึงแปลว่า คำสอนของผู้ตื่นรู้ เป็นอริยมรรค (เส้นทางแห่งอารยัน) ของจริง
ส่วนศาสนาพราหมณ์ หมายถึง คำสอนของลูกหลานเชื้อสายพรหม ไม่ใช่คำสอนชี้นำไปสู่หนทางแห่งความเป็นอริยบุคคล
โดยบรมครูผู้นำสูงสุดของชาวอารยัน คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งท่านเป็นผู้ที่นำอริยประเพณีและเจตจำนงแห่งอารยัน (อริยปฏิปทา) ของชาวอารยันโบราณรุ่นก่อนๆ นานนับอสงไขยกัปตั้งแต่สมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ นับพระองค์ไม่ถ้วนมาสานต่อปฏิปทาไม่ให้ประเพณีและจารีตแห่งอารยันนี้สูญหาย ซึ่งปลายทางหรือสถานที่สุดท้ายของชาวอารยันก็คือ นิพพาน (Nirvana) ดินแดนสุขาวดีที่ไม่ต้องกลับมาเกิดวนเวียนในสังสารวัฏอีกต่อไป
สำหรับประเพณีจารีตที่ชาวอารยันโบราณปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างช้านานไม่ขาดสายนับอสงไขยไม่ถ้วนนั้น พระพุทธองค์ตรัสไว้ 4 ข้อ ดังนี้
1.จีวรสันโดษ คือ ความสันโดษด้วยจีวร
2.ปิณฑปาตสันโดษ คือ ความสันโดษด้วยบิณฑบาต
3.เสนาสนสันโดษ คือ ความสันโดษด้วยเสนาสนะ
4.ภาวนาปหานารามตา คือ ความยินดีในการเจริญกุศลและละอกุศล
ย้อนกลับไปในสมัยที่นาซีเยอรมันเรืองอำนาจนั้น ฮิตเลอร์ผู้นำสูงสุดของกองทัพนาซีได้เคยพยายามค้นหาต้นกำเนิดของชาวอารยันที่ดินแดนหลังคาโลกอย่างทิเบต เพราะฮิตเลอร์มีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าชาวอารยันเป็นบรรพบุรุษของชาวเยอรมันทั้งปวง และหาหลักฐานออกมาว่า ต้นกำเนิดอารยันบริสุทธิ์ของพวกเขามาจากนอกโลก เรียกง่ายๆ ว่า "มนุษย์ต่างดาว" (ชาวปุพพะหรือชาวอุตตระดี) ชาวเยอรมันจึงเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่สูงส่งที่สุดในโลก โดยหารู้ไม่ว่านาซีเยอรมันนี่แหละคืออารยันเสินเจิ้นของแท้ (อยากเป็นอารยันจนโยงมั่วไปหมด) รวมไปถึงบางประเทศแถบตะวันออกกลางด้วยที่เป็นอารยันเสินเจิ้น คือ เอาคำนี้มาใช้เรียกพวกพ้องและราชอาณาจักรของตนทั้งๆ ที่พวกตนก็ไม่มีคุณสมบัติของความเป็นอารยันเลยแม้แต่น้อย
ฮิมม์เลอร์มือขวาของฮิตเลอร์เชื่อว่า ชาวเยอรมันคือลูกหลานของชาวแอตแลนติส (อารยัน) พวกเขาคือเจ้าของอารยธรรมโบราณล้ำสมัยที่ถูกกล่าวถึงครั้งแรกโดยนักปราชญ์ชาวกรีกนามว่าเพลโต ด้วยเหตุนี้เอง ฮิมม์เลอร์จึงเชื่อว่าชาวเยอรมันเป็นเลิศกว่ามนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ในโลกเหมือนกับฮิตเลอร์ (ไม่แปลกที่อยู่ด้วยกันได้)
ในปีพุทธศักราช 2478 (ค.ศ. 1935) นาซีเยอรมันได้ทำการศึกษาทางโบราณคดีและวัฒนธรรมในหลายพื้นที่ทั่วโลก ทั้งสวีเดน ฟินแลนด์ อิรัก โปแลนด์ อเมริกากลาง ขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ และทิเบต โดยเฉพาะทิเบต ฮิมม์เลอร์ส่งนักสำรวจเข้าไปตรวจสอบเพราะเชื่อว่าตำนานของอาณาจักรศัมภลา (Shambhala) ในเทือกเขาหิมาลัยคือลูกหลานส่วนหนึ่งของชาวแอตแลนติสที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก ด้วยความหวังว่าจะค้นพบคำตอบของต้นกำเนิดที่แท้จริงของชาวอารยัน และค้นพบพลังงานลึกลับหรือเทคโนโลยีโบราณที่นาซีเยอรมันจะสามารถนำมาใช้ในการทำสงครามประหัตประหารชีวิตของข้าศึกฝั่งตรงข้ามได้
ต่อมา ฮิมม์เลอร์ก็ได้ข่าวดีจากนักสำรวจที่เร้นกายแอบเข้าไปในทิเบตที่มีชื่อว่า “ธีโอดอร์" ซึ่งธีโอดอร์ได้ไปตามหาอาณาจักรศัมภลา โดยธีโอดอร์อ้างว่ามีข้อมูลเร้นลับที่ตกทอดกันมากล่าวไว้ว่า "ศัมภลา" เป็นนครของผู้วิเศษ ซึ่งธีโอดอร์ก็เอนไปทางที่ว่า ผู้วิเศษนี้ก็คือมนุษย์ต่างดาวที่มาจากนอกโลก (พวกเยอรมันคงไม่รู้จักคำว่า "เป็นทิพย์" อะไรที่ลึกลับจึงโยงไปเป็นต่างดาวหมด)
"ศัมภลา" สถานที่ลึกลับซึ่งพวกนาซีเยอรมันไปตามหาต้นกำเนิดของชาวอารยัน มันคืออะไรกันแน่ในมุมมองของพุทธศาสนานิกายวัชรยาน ทำไมนักโบราณคดีทั่วทั้งโลก นักวิทยาศาสตร์ หรือนักผจญภัยทั้งหลาย หรือแม้แต่ฮิตเลอร์และพรรคนาซีต่างก็ตั้งทีมพากันไปสำรวจดินแดนทิเบตนี้กันอย่างอุตลุด
“ผมได้ยินมาว่า ชาวศัมภลามีอายุยืนถึง 900 ปี” ธีโอดอร์ อิลลิออน
"ศัมภลา" (Shambhala) หรือ "แชงกรีลา" (Shangri-La) ดินแดนที่ขอบฟ้าไม่ปรากฏ (Lost Horizon) ภาษาทิเบตหมายถึง ดินแดนอันบริสุทธิ์ เป็นตำนานลึกลับของโลกแห่งพุทธศาสนา และเป็นต้นกำเนิดของการสอนกาลจักร (Kalachakra)
ในหนังสือประวัติศาสตร์ทิเบต ได้มีการบันทึกเรื่องราวของศัมภลาไว้มากมาย แต่นักวิชาการทางพุทธศาสนาก็ยังตั้งข้อกังขาว่าแท้จริงแล้วศัมภลานั้นมีอยู่จริงหรือเป็นเพียงแดนสวรรค์ในเทพนิยายพุทธ ถือเป็นความลี้ลับที่ยังไม่มีบทสรุป
ตามตำนานเล่าว่า อาณาจักรแห่งนี้เป็นสถานที่แห่งสันติสุขและความรุ่งเรือง ซึ่งปกครองโดยผู้ทรงสติปัญญาและความกรุณา ทั้งอาณาประชาราษฎร์ก็ล้วนรอบรู้และเมตตาปราณี ดังนั้น อาณาจักรนี้จึงเป็นสังคมในอุดมคติ สถานที่นี้ถูกขนานนามว่า "ศัมภลา"
เล่ากันว่าพุทธศาสนาได้มีบทบาทอย่างสำคัญในการสร้างสรรค์สังคมศัมภลา ตามตำนานกล่าวว่า พระศากยมุนีพุทธเจ้า (พระโคตมพุทธเจ้า) ได้แสดงธรรมว่าด้วยตันตระขั้นสูงแก่พระเจ้าสุจันทร (Suchandra) ปฐมกษัตริย์แห่งศัมภลานคร บรรดาพระธรรมเหล่านี้ได้สืบทอดต่อกันมาเป็น "กาลจักรตันตระ" (Kalachakra Tantra) ซึ่งถือว่าเป็นปรีชาญาณที่ลึกซึ้งที่สุดของพุทธศาสนาแบบทิเบต หลังจากองค์กษัตริย์ได้สดับพระธรรมเทศนาเหล่านี้แล้ว เล่ากันว่าบรรดาอาณาประชาราษฎร์แห่งศัมภลานครต่างก็พากันปฏิบัติสมาธิภาวนา และดำเนินชีวิตตามพุทธมรรคด้วยการมีเมตตาจิตและเอาใจใส่ทุกข์สุขของสรรพสัตว์ทั้งหลาย โดยนัยนี้เอง ไม่เพียงผู้ปกครองเท่านั้น แต่บรรดาทวยราษฎร์ในอาณาจักรแห่งนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็น "อริยบุคคล" (ชาวอารยัน) ผู้มีจิตใจสูงส่งทั้งสิ้น
กล่าวง่ายๆ ก็คือ ผู้คนเมืองศัมภลานี้บำเพ็ญทาน รักษาศีล และฝึกปฏิบัติสมาธิภาวนาจนกำเนิดใหม่จากปุถุชนเป็นอริยชน มีจิตใจสดใสบริสุทธิ์ ปราศจากความอาฆาตคิดร้ายต่อกัน มีสติปัญญาความเฉลียวฉลาดผิดมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่มีกิเลสหนาทั่วไป และที่น่าอัศจรรย์ คือ แม้รอบด้านจะเต็มไปด้วยหิมะอันหนาวเย็น แต่พื้นแผ่นดินของอาณาจักรแห่งนี้กลับเขียวขจีสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร
ในหมู่ชาวทิเบต มีความเชื่อกันว่าอาณาจักรศัมภลานี้ดำรงซ่อนเร้นอยู่ในหุบเขาอันลี้ลับบนเทือกเขาหิมาลัย ส่วนตำนานอื่นๆ กล่าวว่า อาณาจักรศัมภลานี้ได้สาบสูญไปจากโลกหลายร้อยปีแล้ว โดยมาถึงจุดหนึ่งเมื่อประชาชนทั่วทั้งราชอาณาจักรได้บรรลุภูมิจิตถึงการตรัสรู้เป็นอริยบุคคล (บรรลุความเป็นอารยัน) อาณาจักรศัมภลาจึงได้สูญหายไปดำรงอยู่ในอีกมิติที่มองด้วยตาเปล่าหยาบๆ ไม่เห็น
สำหรับบรรดาพระคุรุทิเบตทั้งหลาย ท่านถือกันว่าอาณาจักรศัมภลาไม่ใช่สถานที่ซึ่งดำรงอยู่ ณ ภายนอก หากแต่เป็นรากฐานของสภาวะการหยั่งรู้และการประจักษ์แจ้ง อันเป็นศักยภาพที่ดำรงอยู่ ณ ภายในตัวของมนุษย์ทุกคน จากทัศนะนี้เอง จึงไม่สำคัญว่าอาณาจักรณ์ศัมภลาจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ หากควรที่เราจะเห็นคุณค่าและดำเนินตามอุดมคติของสังคมอริยะซึ่งแสดงนัยอยู่ในคติพุทธศาสนา
จากตำนานดังกล่าวนี้เอง ทำให้มีคนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้าน นักบวช นักเผชิญโชค ตลอดจนนักวิทยาศาสตร์ในซีกโลกที่เจริญทางวัตถุเทคโนโลยีวิทยาการ ต่างก็พากันเดินทางมาสำรวจค้นหาอาณาจักรศัมภลา นครลึกลับของผู้ทรงภูมิปัญญาทางจิตวิญญาณแห่งนี้กันอย่างมากมาย
ฮิตเลอร์ที่ได้ส่งทีมนาซีมาสำรวจศัมภลานครในดินแดนทิเบตเพื่อค้นหาต้นกำเนิดของชาวอารยันนั้น หากนาซีไม่แพ้สงครามเสียก่อน ฮิตเลอร์คงได้รับรู้ความจริงว่า ชาวอารยันไม่ใช่เผ่าพันธุ์ในอุดมคติที่เจริญทางด้านวัตถุเทคโนโลยีวิทยาการอย่างที่พวกตนคิด หากแต่ชาวอารยันเริ่มต้นมาจากการเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งที่มาฝึกสมาธิจิตภาวนาเผากิเลสจนบรรลุสู่ความเป็นอารยันด้วยตนเอง เป็นผู้ที่มีฤทธิ์อภิญญาประกอบด้วยสติปัญญาอันชาญฉลาด รักสันโดษ รักสงบ รักสันติ และเป็นนักปราชญ์ผู้ทรงภูมิปัญญาที่เจริญแล้วทางด้านจิตวิญญาณ นับเป็นบุคคลที่มีคุณค่ามหาศาลกับโลกใบนี้ นี่แหละคือต้นกำเนิดของชาวอารยันที่แท้จริง ซึ่งชาวพุทธไทยนิยมเรียกชาวอารยันตามแบบฐานภาษาบาลีว่า "พระอริยเจ้า" หรือ "พระอริยบุคคล"
ประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติถ้าอิงตามคัมภีร์พระไตรปิฎกหาได้มีอยู่แค่หลักพันปี เพราะตั้งแต่ที่อาภัสสราพรหมลงมากินง้วนดินจนตกสวรรค์กลายเป็นมนุษย์ยุคต้นกัป มันก็ล่วงผ่านกาลเวลามายาวนานมาก และนี่ก็ผ่านยุคสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอีกถึง 4 พุทธันดร ซึ่งปัจจุบันเราอยู่ในยุคพุทธันดรที่ 4 (ยุคพระโคตมพุทธเจ้า) ของภัทรกัปนี้ ก็จะเห็นได้ว่า มนุษย์โลกเรามีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนานมากๆ ไม่ได้เพิ่งมามีเมื่อ 1-2 ล้านปี ตามทฤษฎีของนักวิทยาศาสตร์ที่ปฏิเสธเรื่องจิตวิญญาณ และก็ไม่ได้มีวิวัฒนาการมาจากลิงเอปตามความเชื่อของดาร์วินด้วย กล่าวได้ว่าประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติถูกลบเลือนจนว่างเปล่าหายไปเป็นหลายแสนโกฏิปี จนแทบจะเรียกว่า "อันตรกัปแห่งความว่างเปล่า" ซึ่งหนทางวิธีเดียวที่จะทำให้เราสามารถย้อนระลึกกลับไปรับรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ของมนุษย์โบราณที่ขาดหายไปเหล่านี้ได้ คือ ภาวนามยปัญญา
จากเดิมที่มนุษย์ยุคต้นกัปมีอายุขัยยืนยาวถึง 1 อสงไขยปี ก็ค่อยๆ ลดลงมาเรื่อยๆ ตามอำนาจของกิเลสอาสวะที่เพิ่มพูนในจิตใจ ทำให้จาก 1 อสงไขยปี ลดลงมาเรื่อยๆ จนถึงแสนโกฏิปี และจากแสนโกฏิปี ลดลงมาอีกเรื่อยๆ จนถึง 100,000 ปี และลดลงมาอีกเหลือ 80,000 ปี เหลือ 40,000 ปี ... 500 ปี 250 ปี 100 ปี 75 ปี 50 ปี จนถึง 10 ปี หลังจากที่มนุษย์มีอายุขัยเหลือเพียง 10 ปี ก็จะเกิดยุคมิคสัญญี มีคนตายมหาศาล (ทำสงครามฆ่ากันเอง) แต่เมื่อผ่านเหตุการณ์กลียุคครั้งนี้ไป มนุษย์ก็จะเริ่มมีศีลมีธรรม ไม่ปล่อยใจไปตามอำนาจของกิเลสอาสวะ ก็จะทำให้อายุขัยของมนุษย์ค่อยๆ เพิ่มขึ้นอีกจาก 10 ปี ไปจนถึง 1 อสงไขยปีอีกครั้ง วนเวียนอยู่เช่นนี้มายาวนานจนล่วงเลยมาถึง 4 พุทธันดรแล้ว (นับตั้งแต่ต้นกัป)
มนุษย์สมัยก่อนช่วงที่มีอายุขัยยืนยาวหลัก 10,000 ปีขึ้นไป ล้วนมีร่างกายใหญ่โต ไดโนเสาร์นี่เหมือนจระเข้ของคนสมัยนั้น แล้วไททันโอโบอาก็เปรียบเสมือนงูอนาคอนดา ยิ่งเม็กกาโลดอนก็ปลาฉลามขาวดีๆ นี่เอง ส่วนสไปโนซอรัสอาจจะเป็นปลาจระเข้สายพันธุ์แปลกๆ ของคนยุคนั้น
(โลกนี้ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่หรือประเสริฐไปกว่าการที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์อีกแล้ว)
ทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันได้บอกเอาไว้ว่า ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปเมื่อ 66 ล้านปีที่แล้ว ทว่าหากเรามาคำนวณอายุขัยของมนุษย์ในยุคเดียวกับไดโนเสาร์ดีๆ มนุษย์ยุคนั้นก็คงมีอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ราวๆ 660,000 ปี ก่อนจะลดลงมาเรื่อยๆ จนถึงยุคปัจจุบัน (75 ปี) อันเป็นยุคปลายของกัปไขลง
ถ้าถามว่าทำไมไม่เห็นหลักฐานกระดูกมนุษย์โบราณเป็นซากฟอสซิลเหมือนอย่างไดโนเสาร์ ซึ่งตรงนี้ในคัมภีร์ไตรภูมิโลกวินิจฉัยอรรถาธิบายว่า เวลามนุษย์ยุคนั้นตาย (ยุคที่อายุหมื่นปีขึ้นไป หรืออาจรวมพันปีด้วย) ร่างกายจะหายวับไปทันที ไม่ทิ้งกายสังขารไว้ให้มีการเน่าเหม็น ยกตัวอย่างเช่น มนุษย์ในยุคพระเมตไตรยพุทธเจ้า (อายุขัย 80,000 ปี) เวลาตายหมดอายุขัย กายสังขารก็จะหายวับไปทันที อุปมาเหมือนเทวดาตอนหมดบุญ
ด้วยเหตุนี้ ตำนานเทพเจ้าของศาสนาโบราณต่างๆ ที่ได้มีปรากฏอยู่ทั่วทุกมุมโลก เช่น ซูสของกรีก ธอร์ของไวกิง อินทร์ของอินเดีย เลงดอนของไท เง็กเซียนของจีน ฯลฯ ที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเทพองค์เดียวกันนั้น สาเหตุก็เพราะเรื่องราวเหล่านี้ ล้วนได้รับการสืบทอดบอกเล่าต่อกันมาตั้งแต่สมัยมนุษย์ต้นกัป ซึ่งภาษาอาจสื่อสารเรียกชื่อแตกต่างกันไป โดยส่งผ่านสืบมายังสมัยพุทธันดรที่ 1 (ยุคพระกกุสันธพุทธเจ้า) แลไปสู่พุทธันดรที่ 2 (ยุคพระโกนาคมนพุทธเจ้า) ผ่านมาถึงพุทธันดรที่ 3 (ยุคพระกัสสปพุทธเจ้า) จนมาถึงพุทธันดรที่ 4 (ยุคพระโคตมพุทธเจ้า) ซึ่งเป็นพุทธันดรที่เรากำลังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ส่วนสมัยพุทธันดรที่ 5 อันเป็นพุทธันดรสุดท้ายในภัทรกัปนี้ จะเป็นยุคของ "พระเมตไตรยพุทธเจ้า"
กล่าวได้ว่า ยุคใดที่โลกว่างเว้นจากพุทธศาสนา (พระพุทธเจ้า, พระจักรพรรดิ) และว่างเว้นจากอริยวงศ์ (ตระกูลอารยัน) มีเพียงแต่อริยบุคคล (ชาวอารยัน) ส่วนน้อยอย่างพระปัจเจกพุทธเจ้าที่มาเสด็จอุบัติเกิดเป็นมนุษย์ปุถุชนบนโลกแล้วนั่งสมาธิบรรลุอริยธรรม (ธรรมกายอุบัติ) สู่ความเป็นอารยันด้วยตนเอง โลกยุคนั้นก็จะมีจอมเทวราชอย่างท้าวสักกะ (ซูส, อินทร์, เง็กเซียน) มาคอยดูแลสั่งสอนมนุษย์โลกให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมแทนองค์พระพุทธะ เป็นเหตุให้มนุษย์ยุคก่อนที่จะมีศาสนาพุทธเกิดขึ้นจะนิยมนับถือบูชาเทพเทวดาเป็นส่วนใหญ่
หากใครเคยอ่านหนังสือ The Third Eye (ตาที่สาม) ของท่านลามะ Lobsang Rampa ที่ท่านระลึกชาติได้ว่าเคยเกิดที่ดินแดนทิเบต แต่ทิเบตตอนนั้นอยู่ริมทะเล ทว่าปัจจุบันนี้จากทิเบตลงมาเจอเนปาล เจอปากีสถาน เจออินเดีย กว่าจะลงไปถึงอ่าวเบงกอลที่เป็นทะเลก็นับว่าไกลหลายกิโล ท่านลามะบอกว่าในสมัยที่ท่านเกิดนั้น มนุษย์ผู้หญิงตัวสูง 3 เมตร ส่วนมนุษย์ผู้ชายตัวสูงกว่านั้น (แนะนำให้หาหนังสือมาอ่านเพิ่มเติม)
ความเป็นอารยันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ปุถุชนกิเลสหนาจะเป็นกันได้ง่ายๆ ต่อให้เกิดมาเป็นลูกของมนุษย์ที่นั่งสมาธิจนบรรลุอริยบุคคลก็ตาม เด็กที่เกิดมาก็หาใช่คนตระกูลอารยัน (อริยวงศ์) เพราะความเป็นอารยันไม่ได้สืบทอดกันผ่านทางสายเลือดหยาบๆ หากแต่ความเป็นอารยันนั้นสืบทอดกันผ่านทางจิตวิญญาณที่ผ่านการฝึกสมาธิมาอย่างละเอียดลึกซึ้ง เป็นมรรคาที่จะนำไปสู่ดินแดนนิพพานอันเป็นบรมสุขนิรันดร์กาล
กล่าวคือ ถ้าอยากเป็นชาวอารยันหรือถ้าอยากอยู่ในวงศ์ตระกูลอารยันก็ต้องไปนั่งสมาธิฝึกจิตจนบรรลุพระโสดาบันเอาเอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเพียงแค่ผู้ชี้บอกหนทางปฏิบัติเท่านั้น อยากได้อยากเป็นก็ต้องลงมือทำเอง
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เช่น อัศวินเจไดในเรื่องสตาร์วอร์สที่ลูคัสได้รับแรงบันดาลใจมาจากพุทธศาสนาในประเทศญี่ปุ่น กล่าวง่ายๆ ว่า ต่อให้เกิดมาเป็นลูกในสายเลือดของเจไดคนใดคนหนึ่งก็ตาม แต่เด็กคนนั้นก็หาใช่เจไดไม่ ถ้าอยากเป็นเจไดก็ต้องไปฝึกฝนเอาเอง เป็นต้น
สรุป คือ ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือบรรพชิต ไม่ว่าจะบุรุษหรือสตรี ไม่ว่าจะยาจกหรือกุฎุมพี ไม่ว่าจะมีผมสีดำตาสีดำ ผมสีทองตาสีฟ้า หรือผมสีแดงตาสีเขียว ถ้านั่งสมาธิจนบรรลุภูมิจิตขั้นสูงเป็นพระโสดาบันได้เมื่อไหร่ ก็ล้วนได้ชื่อว่าเป็นชาวอารยันทั้งสิ้น
เพราะ "อารยัน" ไม่ใช่ "เพศ" ไม่ใช่ "ฐานะ" หรือ "เผ่าพันธุ์" แต่เป็น "บุคคล"
สุดท้ายนี้ ขอส่งมอบข้อคิดคติธรรมอริยสงฆ์ของพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ ที่ท่านสอนไว้ในกัณฑ์เทศน์โพชฌงคปริตว่า
"อย่าเที่ยวใช้เรื่องเลอะๆ เหลวๆ บนผีบนเจ้า นั่นไม่ได้ยินได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์เลย พวกนั้นไม่ได้ฟังธรรมของสัตบุรุษเลย ความเห็นจึงได้เลอะเทอะเหลวไหลเช่นนั้น ไม่ถูกหลักถูกฐานถูกทางพุทธศาสนา"
• เกร็ดความรู้ •
"กสิณ" เป็นกรรมฐานที่ทำให้จิตสามารถเข้าถึง "ฌาน" ได้ง่ายและไวที่สุดกว่ากรรมฐานกองอื่นๆ ถือเป็นทางลัดของผู้ที่ต้องการมีอภิญญาและบรรลุความเป็นอริยบุคคล (อารยัน) เลยทีเดียว
ส่วน "ฌาน" มีไว้เผาทำลายกิเลส สมถะกับวิปัสสนาจึงต้องปฏิบัติควบคู่กันไป ทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้พระอริยเจ้าในไทยสมัยก่อนอย่างหลวงพ่อสด หลวงพ่ออุตตมะ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ฯลฯ ท่านจึงได้สอนลูกศิษย์ให้นั่งสมาธิเจริญกสิณเป็นพื้นฐานของสมถะก่อน เมื่อสมถะหรือฐานของจิตนิ่งมั่นคงแข็งแรงแล้วจึงค่อยยกระดับการปฏิบัติสมาธิไปสู่ขั้นวิปัสสนา ศัพท์บาลีเรียกว่า "สมถยานิก"
กสิณเป็นการเพ่ง โดยวิธีการเพ่งคือเพ่งด้วยใจไม่ใช่ด้วยตาเนื้อ (ตาเนื้อปล่อยให้มืดไปไม่ต้องใช้) อุปมาเหมือนกับเรานึกภาพทะเล ภาพภูเขา หรือภาพต่างๆ ในมโนจิต เพียงแต่ให้นึกภาพเป็นกสิณที่เราต้องการจะฝึกแทน เช่น ภาพเปลวไฟ (กสิณไฟ) ภาพหยดน้ำ (กสิณน้ำ) ภาพสายลม (กสิณลม) ภาพก้อนดิน (กสิณดิน) โดยประคองภาพนั้นไว้กอปรกับตั้งจิตเอาไว้ในกาย จะกึ่งกลางระหว่างคิ้ว กลางหน้าอก หรือกลางสะดือก็ได้ และภาวนาไปเรื่อยๆ เช่น เตโชๆ (กสิณไฟ) อาโปๆ (กสิณน้ำ) วาโยๆ (กสิณลม) ปฐวีๆ (กสิณดิน) จะร้อยครั้งพันครั้งหมื่นครั้งแสนครั้ง เป็นชั่วโมงสองชั่วโมงหรือแปดชั่วโมงก็เพ่งภาวนานิมิตกสิณนั้นไปเรื่อยๆ จนกว่านิมิตกสิณจะเข้าขั้นเป็นอุคคหนิมิต เป็นการยืนยันว่าสมาธิของเราอยู่ในระดับอุปจารสมาธิแล้ว ทีนี้ไม่ว่าเราจะหลับตาหรือลืมตาก็จะเห็นภาพนิมิตกสิณที่เราเพ่งในมโนจิตนั้นอยู่เสมอ พระท่านเรียกว่า "นิมิตติดตา"
ให้เพ่งภาวนานิมิตกสิณนั้นต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าสมาธิจิตจะยกระดับขั้นไปถึงอัปปนาสมาธิจนถึงขั้นปฐมฌาน (ฌาน 1) และเมื่อจิตเข้าถึงระดับจตุตถฌาน (ฌาน 4) เมื่อไหร่ เมื่อนั้นจึงค่อยเริ่มลองฤทธิ์ของกสิณที่เราฝึกมา
ส่วนถ้าอยากมีตาทิพย์หูทิพย์หรือมีสัมผัสวิญญาณเพื่อใช้สื่อสารกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่อีกมิติก็ต้องฝึกสมาธิอาโลกกสิณ (กสิณแสงสว่าง) วิธีการก็เหมือนกันเพียงแต่ให้นึกภาพในมโนจิตเป็นแสงสว่าง (กสิณแสงสว่าง) แทน โดยประคองภาพนั้นไว้กอปรกับตั้งจิตเอาไว้ในกาย จะกึ่งกลางระหว่างคิ้ว กลางหน้าอก หรือกลางสะดือก็ได้ และภาวนาคำว่า อาโลโกๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตจะเข้าถึงจตุตถฌาน (ฌาน 4)
อาโลกกสิณ (กสิณแสงสว่าง, ดวงแก้ว) เป็นกสิณที่ใช้สร้างทิพยจักขุกับทิพยโสตโดยตรง ทำให้สามารถมองเห็นหรือได้ยินในสิ่งที่ละเอียดเกินกว่าที่หูตามนุษย์ปกติธรรมดาจะสัมผัสได้ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านบอกว่าทิพยจักขุกับทิพยโสตนี้จัดเป็นอภิญญาหรือวิชาระดับเบาที่ง่ายที่สุดในพุทธศาสนา ง่ายกว่าการไปลงเรียนสอบนักธรรมตรีเสียอีก เพราะการเรียนนักธรรมตรีนั้นเรียนยากและเสียเวลามากกว่าการฝึกทิพยจักขุกับทิพยโสต ท่านว่าอย่างนั้น
โฆษณา