Pampers ผ้าอ้อมเด็กแสนล้าน ที่เกิดขึ้นจาก ความขี้เกียจ
บางครั้งนวัตกรรมก็เกิดขึ้นมาจากความขี้เกียจ
เช่น คุณปู่ท่านนึง ได้คิดค้นผ้าอ้อมสำเร็จรูป ขึ้นมา
เพราะขี้เกียจเปลี่ยนผ้าอ้อมให้หลานชาย
จนกลายมาเป็นผ้าอ้อมสำเร็จรูป หรือที่เราเรียกติดปากว่า แพมเพิร์ส ในปัจจุบัน
รู้ไหมว่า แพมเพิร์ส มียอดขายทั่วโลก กว่า 3 แสนล้านบาท
แล้ว แพมเพิร์ส มีเรื่องราวความเป็นมาที่น่าสนใจอย่างไร?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ย้อนกลับไปเกือบ 65 ปีที่แล้ว
คุณวิกเตอร์ มิลส์ วิศวกรของบริษัท P&G
เป็นหนึ่งในคนที่มีปัญหากับการเปลี่ยนผ้าอ้อมให้หลานชาย
ที่เป็นปัญหาก็เพราะว่า ผ้าอ้อมสมัยนั้นก็คือ “ผ้าธรรมดา” ที่ต้องคอยเปลี่ยนและคอยซัก
ซึ่งมันใช้เวลานาน และขั้นตอนยังเต็มไปด้วยความยุ่งยาก
พอเรื่องเป็นแบบนี้ เขาจึงอยากได้ผ้าอ้อมที่เปลี่ยนง่าย มีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก
ประกอบกับในขณะนั้น ตลาดผ้าอนามัยในสหรัฐอเมริกาและยุโรปกำลังเติบโต
นั่นจึงทำให้คุณวิกเตอร์ มิลส์ คาดการณ์ว่าปัญหาที่เขากำลังเจอน่าจะกลายไปเป็นธุรกิจได้
ไม่ต่างอะไรจากที่ผ้าอนามัยสำหรับผู้หญิงที่กำลังเป็นธุรกิจที่รุ่งเรือง
คุณวิกเตอร์ มิลส์ จึงนำไอเดียไปบอกกับเพื่อนของเขาซึ่งทำงานเป็นนักวิจัยในบริษัทเดียวกัน
ให้คิดค้นผ้าอ้อมสำเร็จรูปขึ้นมา โดยที่มีราคาที่คนทั่วไปสามารถจับต้องได้
จากไอเดียในตอนนั้น คุณวิกเตอร์ มิลส์ จึงคิดค้นแพมเพิร์ส (Pampers) ได้สำเร็จภายใต้
บริษัท P&G ในปี 1961 โดยเด็กคนแรกที่ได้ทดลองใช้แพมเพิร์สก็คือ หลานชายของคุณวิกเตอร์ นั่นเอง
Cr. Pinterest
แต่ในช่วงแรก แพมเพิร์สก็ยังไม่ได้รับความนิยม เพราะมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก
ส่งผลให้แพมเพิร์ส มีส่วนแบ่งการตลาดเพียง 1% ในตลาดผ้าอ้อม เท่านั้น
นอกจากนี้ เมื่อแพมเพิร์ส เป็นนวัตกรรมใหม่ที่เพิ่งถูกคิดค้นขึ้น
ปัญหาที่ตามมาก็คือ ทาง P&G ยังไม่รู้ว่าสินค้าชิ้นนี้ จะต้องถูกวางไว้ที่ตรงไหนของชั้นวางสินค้า
โดยในระยะแรก แพมเพิร์สได้ถูกวางทั้งขายที่ร้านขายยา และซูเปอร์มาร์เกต
ต่อมา P&G จึงได้พัฒนาผ้าอ้อมรูปแบบใหม่ รุ่น “wingfold” ซึ่งมีให้เลือก 3 ขนาดตามสรีระของเด็ก
และมีน้ำหนักเบา
และประกอบกับเป็นช่วงนั้นอยู่ในยุคของ Baby Boomer พอดี
ทั้งหมดนี้จึงทำให้แพมเพิร์สมียอดขายเติบโตอย่างมาก
จนกลายเป็นแบรนด์ผ้าอ้อมที่มียอดขายอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกา ภายใน 3 ปี
หลังจากนั้นไม่นาน แพมเพิร์สก็ได้ขยายตลาดออกไปทั่วโลก ทั้งในยุโรป เอเชีย และ ลาตินอเมริกา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นธุรกิจที่เติบโต และทำกำไรได้อย่างงดงาม
สิ่งที่ตามมาก็คือ คู่แข่ง ที่เริ่มเกิดขึ้นโดยหนึ่งในนั้นก็คือ บริษัท Kimberly-Clark
ที่ได้เปิดตัวแบรนด์ผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่ชื่อว่า ฮักกีส์ (Huggies) ที่สามารถเข้ามาแย่ง
ส่วนแบ่งการตลาด และเป็นคู่แข่งคนสำคัญของ P&G ได้สำเร็จ
Cr. Nonwoven Industry
ซึ่งนอกจาก Kimberly-Clark แล้ว ก็ยังมีบริษัทยักษ์ใหญ่จากประเทศญี่ปุ่นอย่าง Kao และ Unicharm
ที่ได้ร่วมเข้ามาทำธุรกิจผลิตผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูป เช่นกัน
ส่งผลให้ P&G ต้องคิดกลยุทธ์เพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาดของตนไว้
โดยครั้งนี้ก็เป็นการออกผลิตภัณฑ์แพมเพิร์สตามพัฒนาการของเด็ก
เช่น เด็กแรกเกิด เด็กทารก และ เด็กเล็ก
กลยุทธ์นี้เอง ที่ทำให้แบรนด์แพมเพิร์สของ P&G ยังสามารถรักษา
การเป็นแบรนด์อันดับ 1 ของวงการผ้าอ้อมสำเร็จรูปไว้ได้
โดยมีจำนวนลูกค้ากว่า 25 ล้านคน ใน 100 ประเทศ
นอกจากนี้ แพมเพิร์สก็ยังเป็นสินค้าชนิดแรกของบริษัท P&G
ที่สามารถสร้างยอดขายทะลุ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
หรือ 300,000 ล้านบาท ในปี 2012
แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น และแต่ละแบรนด์ก็เริ่มสร้างจุดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
ตลาดผ้าอ้อม จึงกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง และถือว่าเป็นตลาดที่ไม่มีผู้ชนะ
อย่างไรก็ตาม แบรนด์แพมเพิร์สของ P&G ก็ยังสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดไว้ได้
โดยในปีที่ผ่านมา แพมเพิร์ส มีส่วนแบ่งการตลาดราว 25%
เรื่องนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจ
คงไม่มีใครคาดคิดว่าที่มาของแพมเพิร์ส
ที่เป็นคำสามัญใช้เรียกผ้าอ้อมเด็กอยู่ทุกวันนี้
แท้จริงแล้วเป็นนวัตกรรมที่เกิดขึ้นมาจาก “ความขี้เกียจ”
ดังนั้น หากวันไหนเราพบเข้ากับความยุ่งยากในชีวิต ก็อย่าเพิ่งรีบถอดใจ
เพราะหากเราลองมองให้ลึกลงไป และหาวิธีแก้ไขเรื่องยุ่งยากเหล่านั้น
เราอาจจะพบวิธีแก้ไข ที่สามารถไปต่อยอดเป็นธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ได้
อย่างที่คุณวิกเตอร์ มิลส์ ขี้เกียจเปลี่ยนผ้าอ้อมหลานชาย
จนสามารถคิดค้น แพมเพิร์ส
ที่ตอนนี้กลายมาเป็นธุรกิจ ระดับแสนล้าน
และถ้าให้ถามพ่อแม่ในยุคนี้ว่า “ผ้าอ้อม” เป็นอย่างไร?
พวกเขาอาจจะทำหน้างง เพราะรู้จักแต่ ผ้าอ้อมสำเร็จรูป..
Cr. Formeonline
References
- 16
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
