28 พ.ย. 2020 เวลา 06:42 • ความคิดเห็น
บทความนี้เป็นบทความนอกเรื่อง ไม่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์นะครับ แต่ก็อยากจะเขียนเรื่องอื่น เล่าเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์บ้าง อาจจะเป็นมุมมองหรือประสบการณ์ของตัวเองในเรื่องต่างๆ
ที่ผ่านมา ผมเขียนไปหลายเรื่อง นึกไม่ออกเหมือนกันว่ายังมีเรื่องอะไรที่อยากเขียน อยากเล่าอีก
ผมคิดได้ว่ามีอีกเรื่องที่ผมก็ไม่ค่อยได้เล่า ได้พูดเรื่องนี้เท่าไร
นั่นคือเรื่อง “ความรัก”
ผมมาลองคิดดู ที่ผ่านมา ผมก็ผ่านสิ่งที่เรียกว่าความรักมาพอประมาณ น่าจะนำมาเล่าคั่นเวลาได้ อาจจะน่าเบื่อบ้างแต่ก็คิดซะว่าอ่านเพลินๆ แล้วกันครับ
ต้องบอกว่าในกลุ่มเพื่อนๆ สมัยมัธยม ผมถือว่ามีแฟนช้า
เพื่อนหลายๆ คนมีแฟนตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย แต่ต้องบอกว่าตัวผมนั้น สมัยมัธยมปลายหรือก่อนหน้านั้นก็ไม่เคยมีแฟนมาก่อน เพิ่งจะมามีแฟนคนแรกตอนเข้ามหาวิทยาลัย
สมัยอยู่มัธยมปลาย ด้วยความที่เรียนรด. ต้องตัดผมเกรียน ตัวดำ แถมยังคุยไม่เก่ง เข้าหาผู้หญิงไม่เก่ง ทำให้ผมไม่ค่อยกล้าที่จะจีบผู้หญิงคนไหนนัก ที่มี ก็คือไปชอบเขาข้างเดียว แต่ผมก็ไม่กล้าแสดงออก
แต่เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย ผมไม่ต้องเรียนรด. แล้ว ผมเริ่มยาวขึ้น ไม่โดนแดด ผิวก็ขาวขึ้น ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้น (ผมคิดว่าผู้ชายสมัยมหาวิทยาลัย เกือบทุกคนดูดีขึ้นกว่าตอนมัธยมปลายนะ) ทำให้เริ่มจะมีผู้หญิงเข้าหา เริ่มมีเพื่อนผู้หญิง
ในเวลานั้น ด้วยความที่ยังไม่เคยมีแฟนมาก่อน พอเข้ามหาวิทยาลัย เริ่มรู้จักเพื่อนใหม่ๆ รู้จักกับผู้หญิงหลายคน ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก
ในวันปฐมนิเทศนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ผมได้รู้จักกับเพื่อนคนหนึ่ง
เธอเป็นผู้หญิงผิวขาว รูปร่างค่อนข้างอวบ หน้าหมวย ใครเห็นก็ว่าน่ารัก ซึ่งผมเห็นครั้งแรก ผมก็ชอบตั้งแต่แรกพบ
1
ผมได้นั่งกับเพื่อนใหม่คนนี้ ซึ่งตลอดการปฐมนิเทศ เราสองคนได้คุยกัน และคุยกันถูกคอ
เธอมีอายุมากกว่าผมหนึ่งปี เนื่องจากไป AFS แลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศเป็นเวลาหนึ่งปี พอกลับมาประเทศไทยจึงต้องซ้ำชั้น
ตลอดเวลาที่นั่งข้างๆ เธอ ผมมีความสุขมาก ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อปฐมนิเทศเสร็จ จะกลับบ้าน เธอนั้นพักอยู่หอ ผมจึงอาสาเดินไปส่งเธอที่หอ และถึงแม้อากาศจะร้อน แต่ผมไม่รู้สึกร้อนเลย กลับอยากให้ถนนเส้นที่ไปสู่หอพักของเธอทอดยาวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ขณะที่คุยกันนั้น เธอก็เล่าให้ฟังเรื่องแฟนของเธอ เธอบอกว่ากำลังมีปัญหากับแฟน
ใจผมจากที่กำลังพองโต ก็ห่อเหี่ยวเมื่อทราบว่าเธอมีแฟนแล้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่เก็บความผิดหวังไว้ในใจ
ก่อนส่งเธอที่หอ ผมและเธอได้แลกอีเมล์กันเพื่อคุย MSN (ในยุคนั้นยังเป็น MSN) และเมื่อกลับไปถึงบ้าน พอออนเอ็ม ผมก็พบว่าเธอออนอยู่ แต่ผมก็ไม่กล้าทักไป เนื่องจากเธอก็มีแฟนแล้ว
แต่ปรากฎว่า เธอเป็นฝ่ายทักผมมาก่อน ทำให้ผมใจเต้นแรง และเธอก็ชวนคุย พร้อมเอ่ยปาก ปรับทุกข์เรื่องแฟนของเธอ บอกว่าเธอกำลังมีปัญหากับแฟนอย่างหนัก และใกล้จะเลิกเต็มทีแล้ว
ผมเองก็รับฟัง ถึงแม้ในใจจะชอบเธอ แต่ก็พยายามห้ามไว้เพราะคิดว่าเธอมีแฟนแล้ว แต่เธอก็บอกว่าเธอนั้นมีความสุขมากเวลาคุยกับผม และอยากให้ผมเป็นเพื่อนสนิทของเธอ
ผมนั้นด้วยความที่มีใจอยู่แล้ว จึงไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็บอกกับตัวเองว่าจะไม่ทำอะไรน่าเกลียด ถ้าวันนึงเธอเลิกกับแฟนแล้ว ค่อยเดินหน้าเรื่องความสัมพันธ์
ตั้งแต่วันนั้น ผมกับเธอก็ตัวติดกัน เรากินข้าวด้วยกัน เดินเล่นด้วยกัน และทุกคืน เธอมักจะโทรมาหาผม คุยเรื่องทั่วๆ ไป บอกว่าคิดถึงผม ทำให้ผมใจเต้นแรง หากแต่เธอก็ยังคงบอกกับใครๆ ว่าผมกับเธอเป็นแค่เพื่อนกัน แต่เพื่อนๆ หลายคนก็เหมือนจะดูออกว่าเธอกับผมรู้สึกยังไง
วันหนึ่ง เธอโทรหาผม และบอกว่าเธอเลิกกับแฟนแล้ว ทะเลาะกันเรื่องที่แฟนของเธอมีผู้หญิงคนอื่น
เมื่อเลิกกับแฟนแล้ว ผมก็สบายใจขึ้นว่าผมคงสามารถจีบเธอได้แล้ว ความสัมพันธ์ของเราน่าจะพัฒนา เธอเองก็น่าจะรู้ดีว่าผมรู้สึกยังไง
หากแต่ช่วงเวลาหลังจากนั้น เป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกอึดอัดมาก เธอยังคงบอกใครต่อใครว่าผมกับเธอเป็นเพื่อนกัน หากแต่หลายคนก็ดูออกว่าเราสองคนนั้นเป็นมากกว่าเพื่อนธรรมดา
เวลาที่ไปเดินห้าง ดูหนังด้วยกันสองคน ผมกับเธอจะจับมือกัน แต่เมื่อมาอยู่ในมหาวิทยาลัย เธอจะไม่ยอมจับมือผม เนื่องจากเธอบอกว่าไม่อยากให้ใครคิดว่าเป็นแฟนกัน แต่เมื่อผมเริ่มจะตัดใจ เริ่มไปสนใจผู้หญิงคนอื่น เธอก็จะมีทีท่าไม่พอใจ
ผมในเวลานั้นเริ่มจะหงุดหงิดใจ และไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เธอดูเหมือนว่ามีใจให้ผม แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็ดูจะมีกำแพงกั้นผมเอาไว้ด้วย
เพื่อนๆ หลายคนบอกกับผมว่าเธอ “กั๊ก” ไม่ได้จะจริงจังกับผม แต่ก็ไม่อยากปล่อยไปตอนนี้ แต่ในเวลานั้น ใครพูดอะไร ผมก็ไม่สนใจ และตั้งใจว่าต้องทำให้เธอยอมรับผมให้ได้
ในวันเกิดของผม ผมนัดไปดูหนังกับเธอ
1
หากใครได้เคยชมภาพยนตร์เรื่อง “Love Actually” จะมีฉากที่หนึ่งในตัวละครสารภาพรัก โดยการถือป้าย และเปิดออกทีละแผ่นๆ
หากนึกไม่ออก นี่คือฉากที่ว่าครับ
ผมเขียนข้อความใส่กระดาษ ตามนี้เป๊ะๆ และตั้งใจว่าจะขอเธอเป็นแฟน เปิดกระดาษออกทีละแผ่นๆ บอกว่าเราสองคนน่าจะถึงเวลาที่จะต้องพัฒนาความสัมพันธ์ น่าจะต้องชัดเจนกันแล้ว
วันนั้นตรงกับวันเกิดของผม ผมนัดดูหนังกับเธอ และได้จองมื้อเย็นของห้องอาหารที่โรงแรมแห่งหนึ่งไว้ ตั้งใจว่าจะใช้เป็นที่สารภาพความในใจ
การดูหนังผ่านไปด้วยดี แต่ผมก็สังเกตได้ว่าเธอนั้นดูนิ่งกว่าที่ผ่านๆ มา ตอนดูหนัง ปกติที่ผ่านมา เธอจะจับมือของผม แต่คราวนี้ เธอกลับนิ่ง กอดอก และไม่สนใจจะหันมาหาผม
เมื่อดูหนังเสร็จ ถึงเวลาของมื้อเย็น ผมก็ทำตามที่ตั้งใจไว้ ค่อยๆ เปิดกระดาษออกทีละแผ่น บอกความในใจ
ตอนนั้นผมคิดว่าน่าจะได้ เธอน่าจะตอบรับ
ผมสังเกตว่าเธอยิ้มออกมา และอาจจะเป็นยิ้มแรกของวันนั้น
1
เธอบอกขอบคุณผม หากแต่เธอไม่สามารถรับคำขอของผมได้
เธอให้เหตุผลว่าตอนนี้เธอเจอคนที่ชอบแล้ว และเธอไม่ได้ชอบคนที่อายุน้อยกว่า อีกอย่าง เพื่อนของเธอก็แอบชอบผมอยู่
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เธอบอกว่าผมกับเธอนั้นสังคมต่างกันเกินไป
เธอบอกว่าที่ผ่านมา เธอมีความสุขมากเวลาอยู่กับผม แต่เนื่องจากผมอายุน้อยกว่าเธอ (แค่ปีเดียว) และเธอสังเกตว่าวิถีชีวิตของผมกับเธอนั้นต่างกัน เธอบอกว่าผมมาจากครอบครัวที่ดี มีวิถีชีวิตที่ดี พื้นฐานครอบครัว ฐานะ ทุกอย่าง ตรงข้ามกับเธอหมด (ที่ผ่านมา เธอชอบล้อผม เรียกผมว่าคุณชาย)
1
เธอบอกว่าพ่อแม่ของเธอแยกทางกัน (อันนี้ผมรู้มาบ้างแล้ว) ต้องปากกัดตีนถีบพอสมควร วิถีชีวิต ความชอบ สังคมต่างๆ ก็ตรงข้ามกับผม ถ้าคบกันจริง ในระยะยาวเธอจะรู้สึกอึดอัด
1
ที่สำคัญ เพื่อนของเธอก็แอบชอบผม เธอไม่อยากให้เพื่อนรู้สึกไม่ดี
ผมนั้นนิ่ง พูดไม่ออก อยากจะถามว่าแล้วที่ผ่านมาคืออะไร หากแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป
ผมอยากจะบอกอีกว่าไอ้เรื่องความต่างนั้น เธอคิดไปเอง ผมไม่เคยคิดว่าเธอด้อยกว่าหรือแตกต่างอะไรเลย หากแต่ตอนนั้นก็จุก พูดไม่ออก จึงได้แต่จมอยู่ในความเงียบ
ภายหลังจากทานอาหารเสร็จ เราก็แยกกัน และจากวันนั้น ผมกับเธอก็เหมือนคนไม่รู้จักกัน เวลาเจอก็ต่างคนต่างมองไปทางอื่น
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกอกหักจริงๆ แถมตรงกับวันเกิดตัวเองด้วย
แต่ในเวลานี้ มองย้อนกลับไป ผมกลับมองว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี มองว่าเป็นรสชาติหนึ่งของชีวิต ทำให้ผมรู้จักกับ “ความผิดหวัง” จริงๆ
มีคนเคยพูดว่าโลกมักจะเหวี่ยงคนที่ไม่ใช่มาก่อนเสมอ ก่อนที่จะเจอคนที่ใช่
ผมคิดว่าเป็นเรื่องจริงนะ เพราะถ้าที่ผ่านมา ผมเจอคนที่ใช่เลย ผมก็อาจจะไม่รู้ถึงคุณค่าของความรัก รู้ว่ากว่าจะได้เจอคนที่ใช่นั้นมันยากแค่ไหน
1
นี่คือความผิดหวังในรักครั้งแรกของผม อาจจะยาวหน่อย และอาจจะน่าเบื่อไปบ้าง แต่ก็อยากจะเล่าประสบการณ์ของตัวเองบ้าง
ต้องบอกว่าเธอคนนี้จะใช้คำว่าแฟนก็คงไม่ได้ และก็ไม่ใช่ความผิดหวังเพียงครั้งเดียวของผม หลังจากเธอคนนี้ ผมก็ยังต้องพบเจอกับความผิดหวังอีกเรื่อยๆ ก่อนจะมาเจอคนที่ใช่ในปัจจุบัน
ไว้คราวหน้า หากไม่เบื่อกันก่อน ผมจะมาเล่าต่อนะครับ อาจจะนอกเรื่อง อาจจะน่าเบื่อบ้าง แต่ก็ถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศแล้วกันนะครับ
2
โฆษณา