: จิต ความเชื่อ ดวงชะตา :
มีตำนานเรื่องหนึ่งที่เล่าขานกันมาอย่างยาวนานในทิเบต ซึ่งตำนานเรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ไม่ทราบได้ แต่มันสามารถนำมาอธิบายทางวิทยาศาสตร์ ได้แล้วในวันนี้ และอธิบายมาได้กว่า 2600 ปีแล้วในทางพุทธศาสนา
สมัยนั้น มีสตรีที่มีบุตรนางหนึ่ง ได้ฝันว่ามีเทวดาองค์หนึ่งนำทันตธาตุของพระสารีบุตรมามอบให้ตน และหลังจากนั้นหมู่บ้านที่นางอยู่ ก็มีแต่ความสงบสุข ร่มเย็น ด้วยเพราะความศักดิ์สิทธิ์อันเป็นมงคลของทันตธาตุพระสารีบุตรที่มาประดิษยฐานในหมู่บ้านแห่งนั้น
เมื่อนางตื่นจากฝัน จึงสั่งให้ลูกชายที่เดินทางไปทำการค้าในอินเดียเป็นประจำ ไปเสาะแสวงหาพระทันตธาตุตามในฝันมามอบให้ตนให้จงได้
บุตรชายรับคำ และออกตามหาพระทันตธาตุพระสารีบุตรให้แม่
ปีแรกก็ยังหาไม่เจอ ปีที่สองก็ยังหาไม่เจอ แต่สุดท้ายในปีที่สาม เค้าก็เจอพระทันตธาตุของพระสารีบุตรและนำมามอบให้แม่ของเค้าจนได้
ข่าวเรื่องพระทันตธาตุของพระสารีบุตรที่ถูกอันเชิญมาไว้ในหมู่บ้าน ที่บ้านสตรีนางนั้น ได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
ผู้คนมากมายต่างพากันหลั่งไหลมาที่บ้านนาง เพื่อมากราบพระทันตธาตุนี้ พร้อมทั้งขอพร และบูชาด้วยของปราณีต และผู้คนมากมายก็ต่างสมหวังในสิ่งที่ขอกันเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นที่เลื่องลือไปทั่วจนเรื่องนี้ดังไปถึงอินเดีย
ความทราบเข้าถึงเพื่อนของบุตรชายที่อยู่ในเหตุการณ์วันที่เพื่อนของตนได้ทันตธาตุนี้ไปให้แม่ ก็สร้างความงุนงงให้แก่เขาเป็นอย่างมาก ว่ามันจะเป็นไปได้ยังไงกันที่พระทันตธาตุนั้นจะศักดิ์สิทธิ์ ก็ในเมื่อเค้าและบุตรชายของสตรีนางนั้นก็สมรู้ร่วมกันอยู่ว่า บุตรชายเห็นแม่ของตนโทมนัสและผิดหวังเสียใจถึงขั้นล้มป่วยมา 2 ปีแล้ว ที่ตนหาทันตธาตุไปให้นางไม่ได้สักที เขาจึงพูดกับเพื่อนว่าไม่อยากให้แม่โทมนัสอีกแล้ว ถ้าเกิดเดินทางไปแล้วไปเจออะไรที่คล้ายๆและคิดว่าเอาไปแทนกันได้ ก็จะเอาไปให้แม่และบอกว่าเป็นทันตธาตุของพระสารีบุตร เพื่อที่แม่ของตนจะได้หายทุกข์หายโศกจากความผิดหวังโทมนัสเสียที
ปรากฎว่าทั้งสองได้เดินทางไปเจอศพของสุนัขใหญ่นอนตายอยู่ จึงช่วยกันนำฟันของเจ้าสุนัขตัวนั้นมาให้แม่ และบอกว่าเป็นทันตธาตุของพระสารีบุตร ก็ไม่นึกว่า มันจะกลายเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ของฟันเจ้าหมาตัวนั้นได้ขนาดนี้
เราข้ามมาว่ากันถึงเรื่องที่ว่า “แล้วฟันหมาซี่นั้นศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้อย่างไรในเมื่อไม่ใช่ทันตธาตุของจริง” กันเลยดีกว่า
จริงๆคำตอบนี้อธิบายได้ตั้งแต่สมัยพุทธกาล เลยมาจนถึงทิเบตในยุคนั้นแล้ว แต่ไม่มีเครื่องมือวัดอย่างเป็นรูปธรรม แต่สำหรับวิทยาศาสตร์ปัจจุบันสามารถอธิบายได้ด้วยคลื่นไฟฟ้าในสมองได้เรียบร้อยแล้ว ผมจึงขอยกเอาวิทยาศาสตร์ที่คนส่วนใหญ่นำมาเป็นตัวกลางในการอธิบายสิ่งต่างๆในยุคนี้ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าในประเด็นนี้ วิทยาศาสตร์ศึกษาจนเข้าใจแล้วจริงๆ และไม่มีอะไรที่ขัดกันกับหลักพุทธศาสนาด้วยเช่นกัน
ขอข้ามไปโดยไม่ต้องอธิบายเลย ใครอยากรู้เชิงลึกไปหาข้อมูลในอินเตอร์เนตเอานะ
ณ.ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ยอมรับแล้วว่า ความคิด ความเชื่อ ความเมตตา ความเลื่อมใส ความมั่นใจ หรือความอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นความรู้สึก มีกำลังไฟฟ้าจริงๆ และมันก็มีลักษณะเป็นคลื่นความถี่ หรือคลื่นที่สามารถถ่ายจากสิ่งหนึ่งไปยังอีกสิ่งหนึ่งได้จริง เช่นจากคนไปสู่คน สู่สัตว์ สู่ต้นไม้ สู่สิ่งของ เป็นต้น
ในกรณีของทันตธาตุปลอมนั้น ทุกคนในหมู่บ้านต่างเชื่อว่าเป็นของแท้ ทุกคนจึงมากราบไหว้ เลื่อมใสด้วยจิตศรัทธา และเชื่อว่าทันตธาตุนี้มีความศักดิ์สิทธิ์มาก ทุกความเชื่อ ทุกความศรัทธา จึงแปรสภาพกลายเป็นคลื่นไฟฟ้า และคลื่นความถี่ของผู้คนจำนวนมาก หลายร้อย หลายพัน หรือหลายหมื่นคน ไหลไปรวมกันอยู่ในทันตธาตุปลอม (ฟันหมา) นั้น จนเกิดพลังงาน หรือความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาจริง (กำลังไฟฟ้าแบบเดียวกับที่อยู่ในสมองของเรา) ใครที่มากราบไหว้ ขอพร เมื่อจิตและความถี่เดียวกันเชื่อมโยงกันก็กลายเป็นโชคดี เพราะมันจะดึงดูดซึ่งกันและกันไม่ต่างกับน้ำเข้ากับน้ำ น้ำมันเข้ากับน้ำมัน โดยที่มันจะดูดเข้าหากันได้อย่างง่ายดาย
ฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ความลับที่แท้จริง หรือสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆก็คือ “ความเชื่อ” หรือ “จิต” ของมนุษย์ตอนที่กำลังมีความรู้สึกต่างๆที่รุนแรงเกิดขึ้นนั่นเอง (ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่ากำลังจิตใต้สำนึก ทางพุทธเราเรียกว่าจิตเฉยๆ)
เช่นกัน
สำหรับดวงชะตา
ทำไมเวลาหมอดูหรือคนที่เราเชื่อถือทักว่า ดวงกำลังตก หรือดวงกำลังรุ่ง แล้วถึงเป็นอย่างนั้นจริงๆ อย่างกับตาเห็นล่ะ?
จริงๆแล้วผมอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ได้ง่ายมาก
ยกตัวอย่างเช่น ณ. ตอนนี้ ผมขอให้คุณช่วยเดินไปนับให้ทีว่า ในห้องนอนของคุณ มีของใช้ที่เป็นสีดำอยู่กี่ชิ้น แล้วให้คุณจำ แล้วกลับมาบอกผม
เมื่อคุณกลับไปจำมาเรียบร้อยแล้ว แล้วมาตอบผมว่า(ยกตัวอย่าง) มันมีทั้งหมด 7 ชิ้น
ผมจึงบอกคุณต่อว่า โดยไม่ต้องกลับไปที่ห้อง ผมขอถามคุณอีกข้อว่า แล้วสิ่งของที่มีสีขาวในห้องนั้นล่ะ มีทั้งหมดกี่ชิ้น?
คุณจะไม่ทราบคำตอบ และไม่สามารถตอบผมได้
นั่นเป็นเพราะอะไร?
คำตอบคือ
ก็เพราะคุณไม่ได้สนใจสิ่งของสีขาวไงล่ะคุณสนใจและจ้องมองแต่ของที่เป็นสีดำตามที่ผมขอให้คุณไปจำมาเท่านั้น คุณถึงมองไม่เห็นของสีขาวในห้องเลย และไม่รู้เลยว่ามันมีทั้งหมดกี่ชิ้น เนื่องจากจิตของคุณสนใจเพียงแค่ของสีดำนั่นเอง
ต่อเมื่อผมบอกให้คุณกลับไปดูได้ว่าของสีขาวมีกี่ชิ้น? คุณจึงเดินกลับไปนับ และพบว่า ของสีขาวในห้องมีถึง 18 ชิ้น มากกว่าของสีดำที่มีเพียง 7 ชิ้นถึง 11 ชิ้น แต่คุณไม่ทราบมาก่อนเลย
และคำตอบที่ผมอยากจะบอกคุณก็คือ
เมื่อหมอดูทายว่าดวงคุณจะตก หรือดวงไม่ดี
คุณจะคอยจ้องมองหาแต่ว่ามีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับคุณบ้าง จนคุณมองไม่เห็นสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นเลย
แม้ว่าสิ่งดีๆจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งกว่าสิ่งที่ไม่ดีในช่วงนั้นก็ตาม
ความจริงแล้วชีวิตเรานี้
ทุกคนต่างเจอเรื่องดีเรื่องร้าย ขึ้นๆลงๆอยู่ตลอดเวลาเสมอ
เพียงแต่คุณเชื่อหมอดู และไปเพ่งมองรอดูแต่สิ่งที่ไม่ดีเท่านั้นเอง
และก็บอกว่า หมอดูแม่นจริงๆ ดวงช่วงนั้นไม่ดีจริงๆด้วย
หรือยกตัวอย่างบางคน มีความเชื่อที่รุนแรง ประกอบด้วยความกลัวที่รุนแรง ความวิตกที่รุนแรงมากๆ
คลื่นไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากอารมณ์พวกนี้ที่มีกำลังสูง จึงไปดูดความซวย หรือสิ่งไม่ดีมาสู่ชีวิตคุณจริงๆ
สมกับเครื่องดูดที่เกิดจากความคิดความเชื่อที่ไม่ดี
และทั้งหมดที่ผมพิมพ์ตั้งแต่ต้นจนถึงบรรทัดนี้
ผมอยากจะบอกทุกคนว่า
ความลับทั้งหมดอยู่ที่ “จิต” ล้วนๆ
ทุกอย่างเป็นไปด้วยจิตทั้งสิ้น
จิตของมนุษย์นี่เองที่มีกำลังมหาศาล ที่จะดึงดูด หรือบันดาลให้เกิดอะไรขึ้นก็ได้เกินกว่าที่คุณจะประเมินความสามารถของจิตได้
มิใช่เพราะทันตธาตุปลอม หรือคำของหมอดูที่เป็นเหตุใหญ่
และทั้งหมดนี้
เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้ทุกคนควรจะตระหนักกลับมาเรียนรู้ “จิตของตน” และฝึกฝนให้จิตของตนมีกำลัง โดยเฉพาะกำลังในด้านดี ด้านสว่าง ซึ่งจะดลบันดาลให้ชีวิตของคุณเป็นสุขได้อย่างแท้จริง เมื่อคุณสามารถเข้าใจและใช้พลังมากมายมหาศาลที่ฝังอยู่ในจิตของคุณได้อย่างถูกต้อง
เคยได้ยินประโยคนี้มั้ย?
“ทุกอย่างอยู่ที่ใจทั้งนั้น”
มันเป็นเช่นนั้นจริงๆนะ
นิพพานก็อยู่ในจิตนี้
ปัญญาก็อยู่ในจิตนี้
เทวดา เปรต อสูรกาย มาร พรหม
ก็อยู่ในจิตนี้ทั้งสิ้น
ป้อง
☘️
สนใจสั่งซื้อคอร์สอาบน้ำหัวใจ all problems ของผม
สอบถามรายละเอียดต่างๆได้ที่นี่
อาบน้ำหัวใจ all problems
- 8
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
