29 พ.ย. 2020 เวลา 03:50 • ศิลปะ & ออกแบบ
ขึ้นชื่อว่า “นก” แต่บินไม่ได้ ตัวโตสูงใหญ่ วิ่งเร็วรองจากเสือชีตาร์ คุณสมบัตินี้จะเป็นนกชนิดไหนไม่ได้เลยนอกจาก “นกกระจอกเทศ” นั่นเอง
เราอาจจะคุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์หนังนกกระจอกเทศที่เป็นลายจุดสวยงามคล้าย Polka Dot แต่รู้หรือไม่ว่ายังมีหนังส่วนอื่นของนกกระจอกเทศที่ให้ความสวยงามไม่แพ้กัน
หลายคนอาจจะสงสัยว่า “แล้วทำไมถึงต้องใช้หนังนกกระจอกเทศด้วยล่ะ? มีข้อดียังไง?” เรามาหาคำตอบพร้อมๆ กันเลย
นกกระจอกเทศ เป็นนกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดถือกำเนิดอยู่บนโลกนี้มายาวนาน มีการค้นพบซากฟอสซิลอายุ 55-60 ล้านปีก่อน แต่จากหลักฐานการค้นพบก็ยังไม่แน่ชัดว่าบรรพบุรุษที่แท้จริงของนกกระจอกเทศเกิดขึ้นในยุคใด
นักวิวัฒนาการสมัยใหม่ได้หยิบยกรูปลักษณะที่พบ และตั้งไว้เป็นสองทฤษฎี คือ ทฤษฎีแรกในช่วงมหายุคซีโนโซอิก คือ ช่วง 65 ล้านปีก่อนจนถึงปัจจุบัน มีสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะคล้ายนกกระจอกเทศ คือ เป็นนกขนาดใหญ่บินไม่ได้
ส่วนทฤษฎีที่สองกล่าวว่าบรรพบุรุษของนกกระจอกเทศอยู่ในยุคเดียวกับไดโนเสาร์ คือ ในช่วงมหายุคมีโซโซอิกนั่นเอง และการวิจัยทางพันธุกรรมก็ยังสนับสนุนทฤษฎีนี้อีกด้วย
นอกจากนั้นนักวิทยาศาสตร์ก็ยังเชื่อว่าบรรพบุรุษของนกกระจอกเทศสูญพันธุ์ไปแล้ว และแต่เดิมนกกระจอกเทศเคยบินได้มาก่อน และมันบินไปทุกทวีปทั่วโลก
ทำไมนกกระจอกเทศถึงบินไม่ได้ ?
นกกระจอกเทศเป็นหนึ่งในสัตว์ตระกูล “Ratites” ซึ่งเป็นตระกูลของนกที่บินไม่ได้ สาเหตุที่นกในตระกูลนี้บินไม่ได้เนื่องจากมีโครงสร้างกระดูกที่ไม่เหมือนนกชนิดอื่น คือ กระดูกอกมีลักษณะแบนราบไม่เป็นสัน ทำให้ไม่มีสันในการยึดเกาะกับกล้ามเนื้อปีกซึ่งลักษณะเช่นนี้จะพบในนกที่บินได้ หรือนกที่เคยบินเท่านั้น ตระกูล Ratites ประกอบด้วยนกทั้งหมด 5 ชนิด เรียงลำดับตามขนาดจากตัวเล็กไปหาใหญ่ คือ
1. นกกีวี (Kiwi)
2. นกเรีย (Rhea)
3. นกแคสโซวารี (Cassowary)
4. นกอีมู (Emu)
5. นกกระจอกเทศ (Ostrich)
แม้นกกระจอกเทศจะเป็นนกที่บินไม่ได้ แต่ก็เป็นนกนักวิ่งที่วิ่งเร็วมากด้วยความเร็ว 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยทีเดียว มีเพียงเสือชีตาร์เท่านั้นที่วิ่งเร็วกว่ามันได้
2
นอกจากลำตัวที่ใหญ่แล้ว ขาขนาดใหญ่ที่แข็งแรง และกรงเล็บปลายนิ้วทั้ง 2 นิ้วของนกกระจอกเทศ ยังเป็นอาวุธที่ทรงพลังอย่างมหาศาล แม้แต่สิงโตก็ยังจบชีวิตลงได้
นกกระจอกเทศมีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา ชนเผ่าในแอฟริการู้จักใช้ประโยชน์ของมันมายาวนานแล้ว เพราะทุกส่วนในตัวนกกระจอกเทศล้วนนำมาใช้ประโยชน์ในการดำรงชีพได้ทั้งหมด เนื้อและไข่นำมาบริโภค, หนังนำไปทำเครื่องนุ่งห่มและของใช้ เปลือกไข่นำมาทำภาชนะ ส่วนขนนำไปทำเครื่องประดับ หรือเป็นส่วนประกอบของเครื่องนุ่งห่มก็ได้
เมื่อโลกวิวัฒนาการไปนกกระจอกเทศก็ได้กลายมาเป็นสัตว์เศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่ง ที่นิยมทำฟาร์มเลี้ยงกันทั่วโลก
นกกระจอกเทศในไทย
ประเทศไทยเริ่มเลี้ยงนกกระจอกเทศในเชิงเศรษฐกิจตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 โดยกรมปศุสัตว์ได้นำเข้านกกระจอกเทศแบบมีชีวิตมาทดลองเลี้ยง ต่อมาในปี พ.ศ. 2540 จึงนำเข้าเป็นไข่แบบมีเชื้อมาฟักในประเทศ การทดลองเลี้ยง และขยายพันธุ์ได้ผลดีจึงมีการสนับสนุนจากภาครัฐ และส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงนกกระจอกเทศเพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มมากขึ้น
นกกระจอกเทศที่นิยมเลี้ยงในเชิงเศรษฐกิจมี 3 สายพันธุ์ คือ
1. พันธุ์คอแดง (Red Neck) มีผิวสีชมพูเข้ม ตัวผู้มีผิวต้นขาและคอเป็นสีขาวครีม ตัวผู้มีขนสีดำ ขนปลายหางและปลายปีกสีขาว ตัวเมียมีขนสีน้ำตาลเทา นกกระจอกเทศพันธุ์คอแดงมีขนาดลำตัวใหญ่สูงประมาณ 2-2.5 เมตร น้ำหนัก 105-165 กิโลกรัม นิสัยค่อนข้างดุร้ายโดยเฉพาะตัวผู้ ให้ไข่น้อยแต่ให้เนื้อมาก
2. พันธุ์คอน้ำเงิน (Blue Neck) มีผิวสีฟ้าอมเทา ตัวผู้มีขนสีดำแซมขาว ตัวเมียมีขนสีเทาจางๆ หรือน้ำตาลเทา นกกระจอกเทศพันธุ์คอน้ำเงินตัวเล็กกว่าพันธุ์คอแดงเล็กน้อย ให้ไข่มากกว่าแต่ก็ให้เนื้อน้อยกว่าพันธุ์คอแดง
3. พันธุ์คอดำ (Black Neck) มีผิวสีเทาดำ ขนสั้นและสีขนเข้มกว่าพันธุ์อื่น ตัวขนาดใหญ่ปานกลาง มีนิสัยเชื่องมากที่สุดไม่ดุร้ายเลี้ยงง่าย ให้ไข่มากที่สุดกว่าทุกพันธุ์ คือ 80 ฟองต่อปี แต่ให้เนื้อน้อย เป็นพันธุ์ที่หนังมีคุณภาพดีที่สุดนิยมเลี้ยงมากที่สุด และมีราคาสูงมาก
การเลี้ยงนกกระจอกเทศในฟาร์มหากเป็นพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ จะเลี้ยงแบบแบ่งคอกตัวผู้ 1 ตัว ต่อตัวเมีย 1-3 ตัว ซึ่งเป็นไปตามลักษณะธรรมชาติของนกกระจอกเทศ หากเป็นนกกระจอกเทศรุ่นการเลี้ยงแบบเป็นฝูงเล็ก 15-20 ตัวต่อฝูงจะเหมาะสม และให้ผลผลิตที่ดีกว่า เนื่องจากไม่แย่งอาหารกันมากเกินไปแบบฝูงใหญ่นกกระจอกเทศอายุ 10-14 เดือน หรือน้ำหนัก 90-110 กิโลกรัมเป็นช่วงวัยที่ให้ผลผลิตได้ดีที่สุด โดยเฉพาะในส่วนของหนังจะให้คุณภาพดีที่สุดในช่วงนี้เพราะยังไม่มีรอยแผลมาก
หนังที่นิยมนำไปใช้มีอยู่ 3 ส่วน คือ
หนังส่วนหน้าแข้ง มีลักษณะเป็นเกล็ด
หนังส่วนต้นขา มีลักษณะเป็นพื้นเรียบเกลี้ยง
หนังส่วนหลัง มีลักษณะเป็นตุ่มรูขุมขนนูนขึ้นมา หนังส่วนนี้จะมีราคาแพงที่สุด ยิ่งถ้าตุ่มรูขุมขนนูนเด่นชัดเจน และสม่ำเสมอจะยิ่งมีราคาแพงมาก
ดีไซน์ความหรูหราที่พิเศษเฉพาะตัว
นกกระจอกเทศเป็นสัตว์ปีกขนาดใหญ่ที่นิยมเลี้ยงเพื่อเป็นอุตสาหกรรมมากขึ้น เพราะทุกส่วนของตัวนกกระจอกเทศมีประโยชน์ทั้งหมด รวมถึงไข่ก็ยังนำเปลือกมาทำเครื่องประดับที่ผสมผสานอัญมณีสร้างความพิเศษเฉพาะผลงานได้อีก
ส่วนของผิวตัวนกกระจอกเทศจะให้ลักษณะรูปแบบเน้นที่รูขุมขนสร้างความสม่ำเสมอ เป็นผืนหนังที่กว้าง เหมาะสมในการทำผลิตภัณฑ์ทั้งสายหนังนาฬิกา กระเป๋า รวมไปถึงการหุ้มเฟอร์นิเจอร์ได้ อุตสาหกรรมการใช้หนังของสัตว์ที่มีปีกจึงมีเพียงชนิดเดียวที่ใช้ได้เหมาะสมที่สุด คือ นกกระจอกเทศ
MANO Strap เราคัดสรรหนังนกกระจอกเทศสำหรับนำมาทำสายนาฬิกา โดยเลือกใช้หนังขาส่วนหน้าแข้งนกกระจอกเทศเท่านั้น ซึ่งเป็นหนังส่วนที่น้อยที่สุดในตัวนกกระจอกเทศ และนกกระจอกเทศขึ้นชื่อว่าเป็นนกที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก ดังนั้นผิวหนังส่วนขา หรือหน้าแข้งนกกระจอกเทศจะมีไฟเบอร์ที่แข็งแรง ยืดหยุ่น ตรึงตัวได้ดี ทนทาน ลวดลายสวยงามไม่ซ้ำกัน ลักษณะพิเศษนี้ทำให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการความพิเศษเฉพาะตัว ให้ความหรูหราได้ดีเมื่อฟอกสี และทำผิวให้มีความมันวาว
หนังนกกระจอกเทศ มีความยืดหยุ่นทนทานต่อแรงกระแทกสูง ผิวมีความนุ่มแต่ก็คงทนต่อการฉีกขาด ใช้ได้ดีทั้งในที่อากาศร้อน และอากาศหนาว เป็นหนังที่มีคุณภาพดีกว่า และราคาสูงมากกว่าหนังจระเข้
MANO Strap เราสามารถออกแบบหนังนกกระจอกเทศให้กับสายนาฬิกาได้ทุกรุ่น ทุกแบรนด์ สายหนังทุกชิ้นเป็นงาน Custom-made ที่ตัดขึ้นใหม่โดยวัดขนาดจากข้อมือของคุณเพื่อให้พอดีกับคุณเท่านั้น ออกแบบโดย “Lek Mano” นักออกแบบ นักสะสม ผู้มีประสบการณ์เกี่ยวกับนาฬิกาในทุกมิติมากกว่า 20 ปี และตัดเย็บอย่างประณีตโดยช่างฝีมือคนไทย
เรามีหนังนกกระจอกเทศมากสีสันหลายเฉดสีที่ให้ความรู้สึกหรูหรา สุขุม และสดใส
คุณสามารถเลือกแมทช์สีให้เข้ากับบุคลิก และไลฟ์สไตล์ของคุณ หรือแมทช์เข้ากับของรักส่วนตัว เช่น กระเป๋า, รองเท้า หรือรถยนต์ที่ใช้เป็นประจำก็ได้
หากคุณต้องการความหรูหรา หรือกำลังเบื่อสายนาฬิกาแบบเดิมๆ ลองเปลี่ยนสไตล์สายนาฬิกาเป็นสายหนังนกกระจอกเทศกับ “MANO Strap” เพื่อค้นพบความหรูหราที่แตกต่างไม่เหมือนใครด้วยตัวคุณเอง และคุณยังมีส่วนร่วมในการออกแบบได้อีกด้วย
บอกสไตล์ที่คุณชอบและความต้องการเปลี่ยนสายหนังของคุณกับเราผ่านช่องทางนี้
- เลือกสายหนังที่คุณชอบได้ที่ IG: mano_strap
- ปรึกษาเรื่องสายหนังที่เหมาะสมกับคุณได้ที่ LINE: @mano
- นัดหมายเพื่อนำนาฬิกาเข้ารับบริการได้ที่ MANO Gallery
ที่ตั้ง: MANO Gallery ห้องเลขที่ 180-181 ชั้นที่ 1
River City Bangkok เจริญกรุง 24 (ท่าเรือสี่พระยา)
เปิด: 10.00-19.00 น. โทร. 095-480-9489
โฆษณา