2 ธ.ค. 2020 เวลา 03:00 • กีฬา
" เมื่อมาราโดน่าใส่เสื้อสีขาว "
เดือนพฤษภาคม 1986 ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ จัดเกมพิเศษ เป็นเกมเกียรติยศให้กับ ออสซี่ อาร์ดิเลส มิดฟิลด์อาร์เจนไตน์ ผู้มีส่วนช่วยทีมประสบความสำเร็จ
1
สเปอร์ส เชิญ อินเตอร์ มิลาน มาโม่แข้งด้วย แต่ที่เซอร์ไพรส์ที่สุดคือ ดีเอโก้ มาราโดน่า เดินทางมาเตะเกมนี้ในนามของผู้เล่นสเปอร์ส เนื่องจากเขาสนิทกับ อาร์ดิเลส เป็นอย่างดี
ขณะนั้นอาร์เจนติน่า เพิ่งอุ่นเครื่องกับนอร์เวย์เสร็จ มาราโดน่า ก็บินตรงมาอังกฤษทันที
เป็นเกมที่สร้างความประทับใจให้กับแฟนบอลกว่า 30,000 คนในไวท์ ฮาร์ท เลน วันนั้นอย่างยิ่งทีได้เห็นนักเตะที่เก่งสุดในโลกต่อหน้า
"เอล ปิเบ" หรือ "The Kid" มาราโดน่า สถาปนาตัวเองเป็นยอดนักเตะเรียบร้อยแล้วด้วยวัย 26 ปีตอนนั้น ในฐานะนักเตะของนาโปลี
แดนกลางของสเปอร์ส ประกอบด้วย อาร์ดิเลส, คริส ว็อดเดิ้ล, เกล็นน์ ฮ็อดเดิ้ล และ มาราโดน่า นี่มันทีมในฝันชัดๆ
1
มาราโดน่า ไม่ได้เตรียมรองเท้าสตั๊ดมาด้วย เลยต้องหยิบยืมมาจาก ไคลฟ์ อัลเลน กองหน้าตราไก่ในเกมนั้น และเขาก็ใช้รองเท้าคู่นั้นสร้างความเพลิดเพลินในสนามให้แม้แต่นักเตะสเปอร์ส เองยังรู้สึกว่าเหมือนผู้ชม เหมือนแฟนบอล มากกว่าเป็นนักฟุตบอลที่ลงเล่นเกมดังกล่าว
สื่อพากันโยงให้มั่วเมื่อเห็นความสวยงามนี้ ถึงกับบอกว่า สเปอร์ส พร้อมทุบสถิติโลก ทุ่มเงิน 10 ล้านปอนด์ เพื่อคว้าตัว มาราโดน่า มาร่วมทีมจากนาโปลีอย่างเป็นทางการเลย
1
ในปี 1986 สถิติโลกการย้ายตัวก็เป็นของ มาราโดน่า นี่แหละ ที่ทำไว้ 1 ปีก่อนหน้านั้นเมื่อเขาย้ายจากบาร์เซโลน่าไปนาโปลี ด้วยมูลค่า 5 ล้านปอนด์
สุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรมากกว่าแค่การจับ 1 มาบวก 1 ให้กลายเป็น 3 ของสื่ออังกฤษ
หลายคนอาจจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า มาราโดน่า เคยเกือบมาเล่นในอังกฤษจริงๆ กับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 1978 ซึ่งหากเรามารับรู้เรื่องเหล่านี้ในภายหลังเราอาจหัวเราะเยาะ นึกภาพนักเตะอันดับ 1 ของโลก มาเล่นกับทีมอย่างดาบคู่แห่งเชฟฟิลด์
แต่มันเกือบเกิดขึ้นจริงๆ เกือบอย่างที่สุด
ต้องย้อนไปในปี 1978 ตอนช่วงต้นปี อังกฤษเพิ่งตกลงอนุญาตให้นักเตะต่างชาติมาค้าแข้งได้ หลังจากออกกฎเหมือนกับการ "แบน" เป็นเวลาหลายทศวรรษ
กลางปีนั้น อาร์เจนติน่า คว้าแชมป์โลกสมัยแรกมาครองได้สำเร็จ นักเตะหลายคนของพวกเขากลายเป็นเป้าหมายของทีมในยุโรป
เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ตอนนั้นเพิ่งได้แฮร์รี่ ฮัสลัม กุนซือผู้มีสายตาเฉียบแหลมมาคุมทีม
ฮัสลัม พร้อมด้วยนักข่าวจาก The Star และทีมงานของสโมสรได้เดินทางไปยังอาร์เจนติน่าทันที เพื่อเช็กฟอร์มนักเตะอาร์เจนไตน์ เขาได้เห็นแข้งฟ้าขาวฝีเท้าดีมากมาย แต่ที่เตะตาที่สุดคือหนุ่มน้อยวัยเพียง 17 ปีของ อาร์เจนติโนส จูเนียร์ส ที่ชื่อว่า ดีเอโก้ มาราโดน่า
มาราโดน่า เล่นในลีกอาร์เจนติน่ามา 2 ปีแล้ว ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักไปทั่ว เซซาร์ หลุยส์ เมน็อตติ ตัดสินใจไม่เรียกเขาติดทีมชุดฟุตบอลโลก 1978 ด้วยเห็นว่า ยังเด็กไปหน่อย ไว้รอโอกาสครั้งหน้าดีกว่า แต่ฝีเท้า ไม่มีใครเถียงได้เลยว่านี่คือยอดพรสวรรค์ที่ไม่มีใครทาบอีกแล้ว
ทีมงานของ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด เองก็ประทับใจทันที และได้ตกลงค่าตัวของ มาราโดน่า ไว้ได้แล้วด้วยที่ 150,000 ปอนด์ ซึ่งถือว่าไม่มากไม่น้อย โดยสถิติโลกตอนนั้นเป็นของ เปาโล รอสซี่ ย้ายไปยูเว่ ด้วยราคา 1,750,000 ปอนด์
ทุกอย่างตกลงกันได้เรียบร้อยแล้วทำไมมันไม่เกิดขึ้น ?
เรื่องของเรื่องก็คือ ขณะนั้นอาร์เจนติน่า ถูกปกครองโดยรัฐบาลทหาร และรัฐบาล ต้องการเงินเท่ากับที่จะจ่ายเป็นค่าตัวมาราโดน่า เพื่ออนุญาตให้ดาวรุ่งอันดับ 1 ของประเทศรายนี้ย้ายไปค้าแข้งในอังกฤษได้
จอห์น แกเร็ตต์ นักประวัตศาสตร์ของสโมสรเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด เล่ารายละเอียดเอาไว้
"เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาเลย ปัญหามันมาก็เพราะสิ่งต่างๆ มันดันไปเกี่ยวกับการเมืองแล้ว ซึ่งออกแนวต้องมีการติดสินบนใครบางคนเพื่อเซ็นนักเตะคนนี้ และมันเป็นเรื่องที่ ยูไนเต็ด (เชฟฟิลด์) ไม่ต้องการไปมีส่วนร่วมด้วย มันทำให้เหล่าผู้บริหารสโมสรรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ"
"ดังนั้นในที่สุด สโมสรเลยตัดสินใจเดินออกมาจากดีลนี้ แน่นอน เรื่องมันถูกพูดไปทำนองว่า การที่ยูไนเต็ดไม่ได้เซ็น มาราโดน่าเป็นเพราะติดปัญหาเรื่องค่าตัว"
"แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น แม้แต่ด้วยวัย 17 ปี เงินในตอนนั้นก็พร้อมแล้วและยูไนเต็ดพร้อมเสี่ยงด้วย แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นเรื่องราวที่เหลือเชื่อจริงๆ"
ตัวของ มาราโดน่า เองก็เคยยืนยันเรื่องนี้ บอกว่าเขาเกือบย้ายไปเล่นในอังกฤษจริงๆ โดยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร FourFourTwo เอาไว้เมื่อปี 2011
"มันไม่ใช่แค่มีข้อเสนอเข้ามาจริงๆ จังๆ เท่านั้นนะ การย้ายตัวมันเกือบเกิดขึ้นแล้วจริงๆ การ์ลอส เฟรน (มิดฟิลด์ร่วมทีมอาร์เจนติโนส จูเนียร์ส) กับผม"
"เราต่างก็เตรียมตัวเดินทาง ผมคิดว่าเราเตรียมตั๋วเครื่องบินไว้ด้วยซ้ำมั้ง ผมว่าสมัยนี้คุณคงตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ แต่ผมสาบาน เราตั้งใจจะย้ายไปจริงๆ"
"แต่แล้ว การย้ายตัวก็ล้มครืน และเราก็ไม่ได้ไป เชฟฟิลด์ กับอาร์เซน่อล ทั้งสองทีมพยายามจะเซ็นผม มันคงเป็นเรื่องดีที่ได้ไปเล่นในอังกฤษ"
ท้ายที่สุด แฮร์รี่ ฮัสลัม ไม่ได้ตัวมาราโดน่า แต่ก็ไม่ได้กลับมามือเปล่า เขาเซ็น อเล็กซ์ ซาเบย่า มาด้วย เขาก็คือ อเลฮานโดร ซาเบย่า ผู้ซึ่งภายหลังกลายเป็นเทรนเนอร์อาร์เจนติน่า ชุดรองแชมป์โลกปี 2014 นั่นเอง
ซาเบย่า เล่นอยู่กับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 2 ปี ก่อนย้ายไป ลีดส์ ยูไนเต็ด และจากนั้นกลับอาร์เจนติน่าไปเล่นกับเอสตูเดียนเตส
ตอนขากลับ ฮัสลัม ยังได้พูดคุยกับ คีธ เบอร์คินชอว์ กุนซือของ สเปอร์ส ตอนนั้นเกี่ยวกับนักเตะดีๆ ในอาร์เจนติน่า และเบอร์คินชอว์ เองก็ทำแบบเดียวกันคือบินไปเฟ้นหาของดีชุดแชมป์โลก
สุดท้าย เบอร์คินชอว์ ก็เซ็นกับ ออสซี่ อาร์ดิเลสมิดฟิลด์ตัวกลางร่างเล็กมาได้สำเร็จ แต่เมื่อเซ็นกันแล้ว อาร์ดิเลส ก็บอกว่า ยังมีเพื่อนผมอีกคน เขาก็อยากไปเล่นในอังกฤษ
นักเตะคนนั้นก็คือ ริคาร์โด้ หรือ ริคกี้ วีย่า นั่นเอง ทั้ง 2 นักเตะชุดแชมป์โลก 1978 เลยถูก สเปอร์ส คว้ามาร่วมทีมพร้อมกันในตอนนั้นเอง
การเข้ามาของสองแข้งฟ้าขาวชุดแชมป์โลก และช่วยทีมประสบความสำเร็จ ได้แชมป์ เอฟเอ คัพ และยูฟ่า คัพ ทำให้สายตาที่ทีมอื่นๆ มองนักเตะต่างชาติเริ่มเปลี่ยนไป กลายเป็นประตูที่ทำให้ผู้เล่นจากต่างแดนยุคหลังได้ก้าวเข้ามาหากินในลีกอังกฤษจนทุกวันนี้
กลับมาที่เกมเกียรติยศของ อาร์ดิเลส ในปี 1986 แฟนบอลสเปอร์ส และอังกฤษ ตื่นเต้นและยินดีที่ได้เห็นมาราโดน่า ลงเล่นไม่นานวัน พวกเขาก็ต้องเจ็บใจและเจ็บช้ำ
เพราะเพียงไม่ถึงเดือนข้างหน้า อังกฤษ จะได้เจอกับอาร์เจนติน่า ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลกที่เม็กซิโก ซึ่ง มาราโดน่าก็ได้ใช้ "หัตถ์พระเจ้า" ของเขาเขี่ยอังกฤษตกรอบ ตอกย้ำความเป็นอริระหว่างสองชาติลงไปในแง่มุมของเกมลูกหนัง นับแต่นั้นมา
1
สำหรับสเปอร์ส จนกระทั่งได้ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ เข้ามาคุมทีม ซึ่งจะว่าไปก็เปรียบเหมือนทูตสันถวไมตรีที่ส่งมาจากอาร์เจนติน่า เพื่อเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างแฟนบอลอังกฤษพันธุ์แท้ของสเปอร์ส เข้ากับดินแดนฟ้าขาวอีกครั้ง
*********************************
อ่านบทความย้อนหลัง
" รากเหง้าฟุตบอลบาร์เซโลน่า " : เรารู้กันดีว่าฟุตบอลแบบฉบับบาร์เซโลน่ามีที่มาจากโททั่ลฟุตบอลของฮอลแลนด์ โยฮัน ครัยฟ์ คือคีย์แมนของประวัติศาสตร์สโมสร แต่หากขุดลึกลงไปอีก จะพบว่าคนลูกหนังชาวอังกฤษ กลับมีส่วนต่อแนวทางฟุตบอลของบาร์เซโลน่าอย่างแนบแน่น
" เอ็นโซ่ฮีโร่ของซิซู ": เอ็นโซ่ ฟรานเชสโคลี่ จอมทัพทีมชาติอุรุกวัย คือไอดอลตลอดกาลของ ซีเนดีน ซีดาน ทั้งคู่มีความเชื่อมโยงกันหลายอย่าง แม้กระทั่งโมเมนต์ที่ไม่น่าจดจำในเกมที่สำคัญที่สุด
" นัดสุดท้ายของเดเดแอร์ " : ประวัติศาสตร์ฉบับย่อในช่วงสุดท้ายของทีมชาติเยอรมันตะวันออกในช่วงที่กำแพงเบอร์ลินถูกทำลายและเยอรมันรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งแน่นอน ทีมฟุตบอลก็ถูกยุบรวมเช่นกัน
" เมื่อผู้รักษาประตูตัดสินชัยชนะ " : แสงไฟสาดส่องมาที่ผู้รักษาประตูทันทีที่การดวลจุดโทษมาถึง ในบางครั้ง พวกเขาก็ทำมากกว่าแค่การเซฟลูกยิงของคู่แข่งจากระยะ 12 หลา เพราะพวกเขาลุกขึ้นมาขอเป็นคนยิงเอง และนำชัยชนะมาให้กับทีม
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา