Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Puncharas Trirojpattana
•
ติดตาม
1 ธ.ค. 2020 เวลา 18:51 • หนังสือ
เคล็ดลับที่ 13 สร้างจิตสำนึกเศรษฐี (คิดแบบยิวทำแบบญี่ปุ่น) EP.20
จิตสำนึกเศรษฐี
ข้อคิดดีดีของหนังสือ คิดแบบยิวทำแบบญี่ปุ่น (สร้างความมั่งคั่งและความสุขให้กับชีวิต ด้วยวิธีคิดที่ส่งต่อกันมาในหมู่เศรษฐีขาวยิว โดย ฮอนดุ เคน เขียน
เคล็ดลับที่ 13 สร้างจิตสำนึกเศรษฐี
- จิตสำนึกที่ทำให้ชีวิตมั่งคั่ง
- ยกระดับภาพลักษณ์ของตัวเอง
- ชีวิตต่างระดับเพราะจิตสำนึกที่แตกต่าง
- วิธียกระดับ”จิตสำนึกแห่งความมั่งคั่ง”
สร้างจิตสำนึกเศรษฐี
บทเรียนครั้งต่อมาที่คุณเกลเลอร์สอนผมเป็นเรื่องเกี่ยวกับ “จิตสำนึก” เขาหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีต แล้วเล่าให้ผมฟังด้วยท่าทางภาคภูมิใจนิดๆ
“ตอนที่เริ่มศึกษาเรื่องเงิน สิ่งสำคัญที่สุดที่ฉันค้นพบคือ คนบางคนสามารถดึงดูดเงินได้เหมือนแม่เหล็ก ฉันบอกเรื่องนี้ให้อาจารย์ของฉันฟัง เขาเลยสอนฉันเรื่องจิตสำนึกเศรษฐี”
“จิตสำนึกเศรษฐีเหรอครับ”
จิตสำนึกที่ทำให้ชีวิตมั่งคั่ง
“พูดง่ายๆก็คือ การมี ‘จิตสำนึกแห่งความมั่งคั่ง’ นั่นเอง เธอต้องคิดว่าโลกใบนี้เต็มไปด้วยความมั่งคั่ง และคนเราสามารถร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆได้ ถ้าใช้ชีวิตด้วยจิตสำนึกแบบนี้ เธอจะสามารถดึงดูดความมั่งคั่งเข้ามาหาตัวเองได้เรื่องนี้สำคัญมากนะ คนที่ประสบความสำเร็จที่ฉันเจอทุกคนล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พอเข้าใจแก่นแท้เรื่องจิตสำนึกเศรษฐี พวกเขาจึงค่อยๆประสบความสำเร็จ”
“หมายความว่าคนที่ประสบความสำเร็จจะคิดแบบนี้อยู่ตลอดเวลาเลยใช่ไหมครับ”
“ใช่ เธอต้องใช้ชีวิตด้วยจิตสำนึกแบบนี้ และต้องยกระดับภาพลักษณ์ของตัวเองในใจไปพร้อมๆกันด้วย”
ยกระดับภาพลักษณ์ของตัวเอง
“ภาพลักษณ์ของตัวเองนี่เป็นยังไงเหรอครับ” ผมถาม
“เมื่อเธอตั้งคำถามกับตัวเองว่า ‘เราคือใคร’ คำตอบที่เธอได้นั่นแหละคือภาพลักษณ์ของตัวเธอเอง ตัวอย่างเช่น ถ้าใครสักคนคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ยอดเยี่ยม แสดงว่าเขามีภาพลักษณ์ของตัวเองในใจว่า ‘เราเป็นคนที่ยอดเยี่ยม’ ชีวิตของเราจะเป็นยังไงก็ขึ้นอยู่กับภาพลักษณ์ของตัวเองในใจนี่แหละ คนที่มีความสุขจะมีภาพลักษณ์ในใจว่าตัวเองมีความสุข ส่วนคนที่เป็นทุกข์จะมีภาพลักษณ์ในใจว่าตัวเองเป็นทุกข์เรียกได้ว่ามันคือ ‘ภาพของตัวเอง’ ที่เราเป็นคนวาดเอาไว้ในใจนั่นล่ะ
“ยิ่งเธอวาดภาพของตัวเองในใจให้ดูดีมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งดึงดูดความสุข ความสำเร็จ และความมั่งคั่งเข้ามาได้มากเท่านั้น เธอบอกว่าที่ผ่านมาเคยได้เข้าพบคนที่ประสบความสำเร็จในอเมริกามาแล้วหลายคนใช่ไหม เธอคิดว่าทำไมพวกเขาถึงยอมให้เธอเข้าพบล่ะ”
“อาจเพราะเห็นว่าผมเป็นคนต่างชาติ และเป็นเด็กหนุ่มที่น่าสนใจละมั้งครับ หลายคนที่ผมเจอบอกกับผมแบบนี้”
“เธอเชื่อว่าตัวเองมีค่ามากพอที่พวกเขาจะอยากเจอใช่ไหม”
“ครับ ผมคิดอย่างนั้น”
“แต่คนส่วนใหญ่ไม่คิดแบบเธอหรอกนะ พวกเขาจะชอบคิดเองเออเองว่า คนที่ประสบความสำเร็จและงานยุ่งขนาดนั้นคงไม่ยอมให้คนอย่างตัวเองเข้าพบหรอก”
“แบบนี้นี่เอง”
“เธอควรหัดยกระดับภาพลักษณ์ของตัวเองในด้านอื่นๆด้วย อย่างด้านความรัก ถ้าเธอมีภาพลักษณ์ในใจว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยมและมีค่าพอให้ผู้หญิงหลงรักไม่นานเธอจะได้เจอกับผู้หญิงดีๆเอง”
“เรื่องนั้นเป็นด้านที่ผมไม่ค่อยถนัดสักเท่าไหร่น่ะครับ”
“งั้นพักเรื่องความรักเอาไว้ก่อน เราเปลี่ยนมาคุยเรื่องเงินกันดีไหม”
“ดีเลยครับ!”
“หลักการมันง่ายนิดเดียว นั่นคือ คนที่คิดว่าตัวเองสามารถรวยได้ก็จะยิ่งรวยขึ้นเรื่อยๆ ส่วนคนที่คิดว่าตัวเองไม่มีโชคเรื่องเงิน ชีวิตนี้ก็จะไม่มีทางรวย ต่อให้ถูกลอตเตอรี่หรือได้รับมรดก ไม่นานเงินนั้นก็จะหนีไปจากเขาอยู่ดี เพราะชีวิตคนเราจะเป็นไปตามภาพลักษณ์ที่ตัวเองสร้างขึ้นในใจ เอาแบบนี้ดีกว่า ในอนาคตเธออยากเป็นคนแบบไหนล่ะ ลองพูดถึงภาพลักษณ์ของตัวเองที่เธอวาดไว้ในใจให้ฉันฟังหน่อย”
“ผมอยากเป็นเจ้าของบริษัทหลายแห่ง มีครอบครัวที่ดี และได้ทำงานที่สร้างประโยชน์ให้กับผู้คนมากมายครับ”
“แล้วเธออยากทำให้มันเป็นจริงในอีกกี่ปีข้างหน้าล่ะ”
“อืม สัก 20 ปีข้างหน้ามั้งครับ”
“หมายความว่าตอนนั้นเธอจะอายุ 40 ปี แล้วทำไมเธอถึงทำให้มันเป็นจริงตอนอายุ 30 ปีไม่ได้ล่ะ”
“อาจเพราะผมยังไม่เคยพบใครที่ทำสำเร็จตอนอายุ 30 ปีละมั้งครับ ที่จริงคนที่ทำสำเร็จตอนอายุ 40 ปี ผมก็ยังไม่เคยเห็นเหมือนกัน เลยเดาเอาว่าตัวเองน่าจะทำสำเร็จตอนอายุ 40 ปีครับ”
“เธอก็แค่ไม่รู้จักพวกเขาเท่านั้นเอง รอบตัวฉันมีคนที่เป็นมหาเศรษฐีตั้งแต่อายุแค่ 30 ปีอยู่เยอะแยะ และหลังจากนี้ฉันคิดว่าคนที่เป็นเศรษฐีตั้งแต่อายุยังน้อยน่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เธอเองก็สามารถประสบความสำเร็จตอนอายุ 30 ปีได้แน่นอน”
“ถึงคุณจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ผมนึกภาพไม่ออกเลยครับ”
“การวาดภาพตัวเองในใจไม่มีอะไรเสียหายสักหน่อยลองหลับตาแล้วทำดูสิ”
“ไม่รู้สิครับ ผมรู้สึกว่าถ้าเราวาดภาพไว้ในใจล่วงหน้า แล้วจะเกิดเรื่องร้ายๆตามมา เลยไม่ค่อยอยากจะทำแบบนั้นเท่าไหร่”
“ปัญหาใหญ่ที่สุดของคนส่วนมากคือการไม่ยอมวาดภาพความปรารถนาในใจของตัวเองนี่แหละ ถ้าอยากประสบความสำเร็จ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการนึกภาพชีวิตที่ตัวเองปรารถนา แล้วกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกังวลและความหวาดหวั่นที่เกิดขึ้น คนส่วนใหญ่ละเลยขั้นตอนนี้ไป ชีวิตพวกเขาจึงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมสักที วันๆเอาแต่บ่นไม่พอใจแต่ก็ไม่กล้าลงมือทำอะไรสักอย่าง ฉันไม่อยากให้เธอกลายเป็นคนแบบนั้น เพราะคนอย่างเธอน่าจะไขปริศนาออกว่าเคล็ดลับของความสำเร็จคืออะไรและลงมือทำได้”
“ขอบคุณครับ แต่ผมไม่คิดว่าตัวเองมีอะไรดีขนาดนั้นนี่สิ”
“ไม่จริงหรอก ตอนนี้เธอมีความสามารถมากมายอยู่ในตัว เปรียบไปแล้วก็เหมือนขุมสมบัติที่ซุกซ่อนอยู่ที่ใดที่หนึ่งนั่นแหละ เพียงแต่เธอยังไม่รู้ตัวและไม่รู้วิธีปลดปล่อยความสามารถออกมาเท่านั้นเอง เธอลองมองไปทางสวนด้านนั้นสิ ตรงนั้นเป็นแปลงดอกไม้ที่ฉันหว่านเมล็ดเอาไว้ อีกไม่นานต้นอ่อนก็จะงอกขึ้นมา และออกดอกบานสะพรั่งเต็มแปลง
“แต่คนที่ไม่รู้ว่าฉันหว่านเมล็ดไว้จะเห็นว่าตรงนั้นเป็นแค่ที่ดินว่างเปล่า แล้วก็คงคาดไม่ถึงว่าอีกไม่นานจะมีดอกไม้บานเต็มไปหมด ความสามารถของเราก็เหมือนกัน บางทีเราก็ไม่รู้ตัวว่ามีมันอยู่ ฉันเปรียบเทียบให้ฟังแบบนี้เพราะตอนนี้เธอคงยังนึกภาพไม่ค่อยออก”
“ผมงงไปหมดเลยครับ สรุปก็คือ ในช่วงที่อายุยังน้อยเราจะยังมองไม่เห็นความสามารถของตัวเองใช่ไหมครับ”
“เธอเข้าใจแค่นั้นก่อนก็พอ ทีนี้ลองเขียนชีวิตที่เธอปรารถนาลงบนกระดาษดู”
ผมเขียนสิ่งที่ตัวเองปรารถนาลงไป ซึ่งได้แก่การเป็นเจ้าของบริษัทหลายแห่ง การได้ตระเวนบรรยายไปทั่วโลก เขียนหนังสือที่ติดอันดับขายดี จัดสัมมนา มีเพื่อนที่เป็นคนมีชื่อเสียง สร้างครอบครัวที่มีความสุข มีสถานะทางการเงินคล่องตัวในระดับที่ซื้ออะไรก็ได้ตามต้องการ มีเวลาอิสระเป็นของตัวเอง มีคนรับใช้ทำงานบ้านแทนในแต่ละวัน มีคนทำอาหารและคนขับรถส่วนตัว ผมลองเขียนไปทั้งหมดเท่าที่จะนึกออก
ผมยังเขียนข้อความลงบนกระดาษตามที่คุณเกลเลอร์บอกด้วยว่า จะพยายามทำให้สำเร็จตอนอายุไม่เกิน 30 ปี ไม่ใช่ตอนอายุ 40 ปี แม้ว่าผมจะยังเชื่อไม่ลงว่าเรื่องทั้งหมดที่เขียนจะเป็นจริงได้ตอนอายุไม่เกิน 30 ปีก็เถอะ
“เธอยังไม่ต้องคิดว่ามันจะกลายเป็นจริงทุกเรื่องก็ได้ เพราะสิ่งสำคัญคือการลงมือเขียนมันลงบนกระดาษ คนส่วนมากคิดว่าการทำแบบนี้เป็นเรื่องไร้สาระเลยไม่ค่อยยอมทำกัน”
ชีวิตต่างระดับเพราะจิตสำนึกที่แตกต่าง
“การจะเป็นเศรษฐีที่มีความสุขนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมีจิตสำนึกแห่งความมั่งคั่ง สมัยยังหนุ่ม ฉันสังเกตเห็นว่าคนเป็นเศรษฐีมีบางอย่างที่แตกต่างจากคนทั่วไป และพอลองสังเกตดูดีๆ ก็พบว่าพวกเขามีความเชื่อว่าชีวิตสามารถมั่งคั่งขึ้นได้ ไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจและสังคมในขณะนั้นจะเป็นยังไง พวกเขาก็ยังเชื่อว่าตัวเองสามารถร่ำรวยได้ จิตสำนึกแห่งความมั่งคั่งจะดึงดูดเงินเข้าหาพวกเขา ไม่ใช่เฉพาะเงินเท่านั้นนะ สิ่งดีๆทั้งหลายจะแห่แหนกันไปอยู่กับพวกเขาไม่ว่าจะเป็นโอกาส เส้นสาย หรือความสุขสบาย”
“นั่นคือผลของการมีจิตสำนึกแห่งความมั่งคั่งเหรอครับ”
“ใช่ ในทางตรงกันข้าม คนจนหรือคนที่ ‘มีชีวิตอยู่อย่างปากกัดตีนถีบ’ จะพยายามลดค่าใช้จ่ายลงให้เหลือน้อยที่สุด งกไปเสียทุกเรื่อง เวลาที่ควรจ่ายเงินก็อิดออดไม่ยอมจ่าย แต่เวลาที่ไม่จำเป็นต้องจ่ายกลับใช้เอาๆ ชีวิตของคนกลุ่มนี้จึงอยู่ห่างไกลจากความมั่งคั่ง เพราะพวกเขามีสิ่งที่เรียกว่าจิตสำนึกแห่งความยากจน ถ้ามีจิตสำนึกแห่งความยากจนละก็ ถึงจะพยายามมากแค่ไหน ก็ดึงดูดได้แต่ความยากจนเข้าหาตัวเท่านั้นแหละ”
“พอจะนึกภาพออกครับ สมัยยังเด็กผมเคยเห็นว่า คนที่มั่งคั่งจะมีบุคลิกแบบผู้มีอันจะกิน ส่วนคนที่มีสถานะทางการเงินไม่ค่อยดีจะมีรัศมีความยากจนแผ่ออกมาจากตัวเขาจริงๆ”
“เธอพูดได้น่าสนใจดีนะ ที่สำคัญคือเศรษฐีทุกคนจะเชื่อเรื่องนี้เหมือนกันหมด ในขณะที่คนจนไม่เชื่อ บรรดาเศรษฐีจึงทุ่มเทเต็มที่เพื่อรักษาจิตสำนึกแห่งความมั่งคั่งเอาไว้”
“ทำยังไงเราถึงจะมีจิตสำนึกแห่งความมั่งคั่งติดตัวตลอดไปได้ล่ะครับ”
วิธียกระดับ “จิตสำนึกแห่งความมั่งคั่ง”
“งั้นฉันจะสอน ‘วิธียกระดับจิตสำนึกแห่งความมั่งคั่ง’ ให้ก็แล้วกัน นั่นคือ เธอต้องใช้ชีวิตด้วยการคิดว่าตัวเองเป็นเศรษฐีตั้งแต่ช่วงที่ยังไม่รวย ฉันไม่ได้บอกให้เธอทำตัวเป็นเศรษฐีแล้วใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายนะ อันที่จริงถ้าเธอใช้ชีวิตด้วยจิตสำนึกแบบนี้ เธอจะไม่ยอมใช้เงินแบบเปล่าประโยชน์หรอก ลองนึกภาพตัวเองตอนที่เป็นเศรษฐีแล้วทำตัวเหมือนเศรษฐีดูสิ”
“ผมคิดไม่ออกเลยครับ”
“ง่ายจะตายไป ตัวอย่างเช่น เอาสลิปเอทีเอ็มมาเขียนเลขศูนย์ต่อท้ายตรงยอดเงินคงเหลืออีก 4 หลัก แล้วเชื่อว่าตัวเองเป็นเศรษฐีที่มีทรัพย์สิน 10 ล้านดอลลาร์ดู”
“หา” ขณะที่ผมกำลังงงงัน คุณเกลเลอร์ก็พูดแบบหยอกๆว่า
“เธอน่าจะมีเงินฝากอยู่สัก 1,000 ดอลลาร์ใช่ไหมล่ะ ลองเขียนเลขศูนย์ต่อท้ายอีก 4 หลักในสมุดบัญชีดูสิ ต้องเขียนด้วยลายมือตัวเองนะ ทำแล้วเธอจะรู้สึกอัศจรรย์ใจมากเชียวละ เพราะพริบตาเดียวเธอก็กลายเป็นเศรษฐีหนุ่มที่มีเงิน 10 ล้านดอลลาร์แล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า! เป็นไง ไอเดียเข้าท่าใช่ไหมล่ะ”
“นั่นมันปลอมแปลงตัวเลขไม่ใช่เหรอครับ” ผมพูดอย่างอ่อนใจ บางทีก็ดูไม่ออกเลยว่าคุณเกลเลอร์กำลังพูดจริงหรือล้อเล่นกันแน่
“มันเป็นแค่เกมน่ะ คิดซะว่ากำลังเล่นเกมเศรษฐีก็ได้ ไม่เห็นเป็นไรเลย เราไม่ได้เอามันไปฉ้อโกงธนาคารซะหน่อย แค่เอาไว้ดูเองสนุกๆ
“งั้นฉันขอลองถามแบบนี้ดูบ้าง ถ้าสมมิติว่าในอนาคตเธอมีทรัพย์สิน 1 พันล้านเยน เธอจะเก็บทรัพย์สินทั้งหมดเป็นเงินสดไว้ที่บ้านหรือเปล่า”
“ไม่ครับ คงจะเอาไปฝากธนาคารมากกว่า”
“ถ้างั้นพอฝากเงิน 1 พันล้านเยนไว้ที่ธนาคารแล้ว เธอก็แทบไม่มีเงินสดติดตัวเลยน่ะสิ”
“ก็คงอย่างนั้นครับ”
“งั้นก็หมายความว่าจำนวนเงินที่อยู่นกระเป๋าสตางค์ของเธอตอนนี้กับในอีก 10 ปีข้างหน้าก็คงไม่ต่างกันมากสินะ”
“อืม ก็อาจจะใช่ครับ”
ผมไม่ค่อยเข้าใจว่าคุณเกลเลอร์อยากจะสื่ออะไรกันแน่
“แสดงว่าตัวเธอตอนนี้กับตัวเธอที่เป็นเศรษฐีในอนาคตก็แทบไม่ได้ต่างกันเลยน่ะสิ”
“ใช่ครับ ยกเว้นแค่จำนวนเลขศูนย์ในบัญชีธนาคารเท่านั้นล่ะ” ผมตอบแบบประชดประชันเล็กน้อย
“นั่นแหละ! เธอเข้าใจดีแล้วนี่! ฉันถึงได้ให้เติมเลขศูนย์ลงไปไงล่ะ!”
“…”
“ในอนาคตเธอต้องได้เป็นเศรษฐีแน่นอน นั่นหมายความว่าเธอต้องมีเงินถึง 1 พันล้านเยนแน่ๆ เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าจะมีเงินก้อนนั้นเมื่อไหร่เท่านั้นเอง เธอลองคิดอย่างนี้ดูก็ได้ ตอนนี้เธอมีทรัพย์สินอยู่แล้ว 1 พันล้านเยน เธอเลยนำมันไปฝากประจำ 20 ปีเต็มเพราะได้ดอกเบี้ยสูงมาก แต่จะถอนเงินออกมาใช้ไม่ได้จนกว่าจะครบกำหนด เท่ากับว่าเธอไม่สามารถใช้เงินก้อนนั้นได้ แต่มันก็ยังเป็นทรัพย์สินของเธอเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เงื่อนไขเดียวในการถอนเงินก้อนนี้คือต้องสั่งสมความรู้แล้วนำไปสร้างธุรกิจขึ้นมา
“ระหว่างรอคอยให้ครบกำหนด 20 ปี ก็ใช้ความสามารถที่มีแล้วสนุกกับมันให้เต็มที่ โอเคไหม คุณอภิมหาเศรษฐีพันล้านแห่งญี่ปุ่น นับจากวันนี้ไปจงใช้ชีวิตทุกวันด้วยความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเศรษฐีเรียบร้อยแล้วซะนะ แค่ไม่มีเงินสดติดตัวไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก ถ้าทำได้อย่างนี้แล้วจิตสำนึกแห่งความมั่งคั่งจะหยั่งรากลึกลงในจิตใต้สำนึกของเธอย่างแน่นอน เอาน่ะ ลองทำดู ไม่มีอะไรเสียหายสักหน่อย”
“…”
ผมรู้สึกเหมือนกำลังหลงกลการต้มตุ๋นรูปแบบใหม่ แต่ภายหลังพอได้ลองลงมือทำตามดู ผมก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นเศรษฐีแล้วจริงๆ
บันทึก
1
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย