ทุกคนต้องเคยได้ยินคำว่า Data-Driven marketing มาบ้างแหละ แต่รู้ไหมว่าจริง ๆ มันคืออะไรกันแน่ ❓
Data-Driven Marketing หรือ การตลาดขับเคลื่อนด้วยข้อมูล คือการนำข้อมูล (Data) ที่เรามีมาประยุกต์ใช้ในการทำการตลาด ซึ่งจะช่วยให้การวางแผนการตลาด ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ต่างจากการตลาดแบบทั่วไปที่ใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาหรือการคาดเดาของตนเองในการตัดสินใจ โดยการตลาดแบบ Data-Driven Marketing นี้สามารถนำมาใช้ได้กับทั้งการตลาดออนไลน์และออฟไลน์เลย 📈
แน่นอนว่าจุดประสงค์หลักในการใช้ Data-Driven Marketing คือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำการตลาด ไม่ว่าจะเป็น Awareness, Engagement, Conversion หรือแม้กระทั้งพวก ROI และ ROAS ผ่านการทำความเข้าใจลูกค้า ทั้งในเรื่องของ Persona และพฤติกรรม ด้วยการใช้ข้อมูลจริงที่เกิดจากลูกค้า ตั้งแต่ขั้นตอนแรกที่ผู้บริโภคเห็นสินค้าของเราจนไปถึงการปิดการขาย นอกจากนี้ยังช่วยในการวางระบบสานสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) หรือใช้ในการพัฒนาสินค้าของเราให้ดีขึ้น
มาถึงประโยชน์ของ Data-Driven Marketing กันบ้าง หลายคนอาจจะยังมองภาพไม่ออกว่า Data-Driven Marketing เนี่ยจะเข้ามาช่วยทำการตลาดยังไง Cloudero เลยสรุปประโยชน์มาให้คร่าว ๆ ด้วยกันถึง 6 ข้อ
1️⃣ ช่วยให้เข้าใจลูกค้ามากขึ้น
อย่างที่ได้พูดถึงในช่วงแรกว่า Data Driven Marketing ช่วยให้เราเข้าใจถึง Persona และพฤติกรรมของลูกค้า ผ่านข้อมูลว่าลูกค้าของเราคือใครบ้าง มีพฤติกรรมยังไงบ้าง ก่อนจะเข้ามาใช้บริการของเรา เขาเข้ามาจากช่องทางไหนบ้าง แพลตฟอร์มหรือเว็บไซต์ไหน ชอบคอนเทนต์ประเภทไหน สนใจอะไรบ้าง รวมไปถึงปัญหาที่เขาต้องการแก้ไข
2️⃣ ช่วยในการวางแผนการตลาด
พอเรารู้ว่าลูกค้าของเราเป็นยังไงแล้ว เราก็จะได้คำตอบว่าควรทำการตลาดออกมาในรูปแบบไหน ใช้แพลตฟอร์มหรือช่องทางไหนดี ถึงจะสามารถเข้าถึงลูกค้า ทำให้เราสามารถวางแผนใหม่หรือปรับปรุงแผนการตลาดเดิมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้
3️⃣ ช่วยในการใช้งบประมาณให้คุ้มค่า
จากข้อมูลที่เรามีทำให้เราสามารถคาดการณ์หรือประเมินผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจากแผนการตลาดที่วางไว้ได้ สามารถกำหนดงบประมาณที่จะใช้ได้ว่าต้องใช้ในช่องทางไหนบ้าง แต่ละช่องทางควรลงทุนเท่าไหร่เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ทางการตลาดที่ดีที่สุด
4️⃣ ช่วยในการทำการตลาดแบบรู้ใจ (Personalized marketing)
Personalized Marketing คือ กลยุทธ์สำคัญที่ทำให้ลูกค้าไม่หนีเราไปไหน ผ่านการนำเสนอสินค้า บริการหรือรวมไปถึงการสื่อสารที่ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคแต่ละคน เพื่อสร้างประสบการณ์ในการใช้งานที่ดีที่สุดหรือนำเสนอ ซึ่งจะทำไม่ได้เลยหากขาดการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล ตัวอย่าง Personalized Marketing ที่เราเห็นกันชัด ๆ เลยก็คือ Netflix ที่สามารถแนะนำซีรีย์หรือเพลงที่เหมาะสมกับเราได้ ผ่านประวัติการเข้าชมของเราที่แสดงให้เห็นว่าเราชอบหนังประเภทไหนและไม่ชอบแบบไหน ซึ่งการใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ พวกนี้แหละที่ทำให้ผู้ใช้หลายคนติดใจ
5️⃣ ช่วยในการทำ SEO และ SEM
ส่ิงสำคัญที่สุดในการทำ SEO (Search Engine Optimization) และ SEM (Search Engine Marketing) คือการเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่ลูกค้าของเราสนใจและมีการใช้จริง ซึ่งเราไม่สามารถคาดเดาได้แม่นยำเท่ากับการนำข้อมูลที่มีมาใช้วิเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นคีย์เวิร์ดของลูกค้าที่ได้จากการเก็บข้อมูล สิ่งที่ลูกค้ากำลังให้ความสนใจ จำนวนครั้งในการค้นหา หรือค่าใช้จ่ายในการใช้แต่ละคีย์เวิร์ด ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถนำไปวิเคราะห์เพื่อให้เราเลือกใช้คำได้ตรงที่สุด ซึ่งเครื่องมือหลัก ๆ ที่จะช่วยเราได้ก็คือ Google Trend และ Google Keyword Planner
6️⃣ ช่วยในการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า
ข้อมูลจากลูกค้าเก่าและคนที่กำลังสนใจสินค้าของเรา สามารถนำมาใช้ในการ Remarketing กระตุ้นให้กลุ่มลูกค้าเหล่านี้กลับมาใช้สินค้าซ้ำหรือกระตุ้นให้สนใจที่สินค้าของเราได้อีก
เป็นยังไงกันบ้างกับคอนเทนต์นี้ ถ้าชอบอย่าลืมกดไลก์กดแชร์กันด้วยนะคะ แล้วสำหรับคอนเทนต์ต่อไปเราจะลงลึกไปถึงการใช้ Data-Driven Marketing หากใครสนใจก็อย่าลืมกดไลก์เพจ Cloudero For Business ไว้ จะได้ไม่พลาดนะคะ ☺️
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
