3 ธ.ค. 2020 เวลา 04:14 • นิยาย เรื่องสั้น
#เล่าเท่าที่จำได้ 6 - ไม่มีเวลา "ให้หัวใจสลาย"
หลายคนเคยสงสัย ว่าทั้งเรียนไปทำงานไป จนจบแล้วก็ทำงานจนแทบไม่มีเวลาพัก แล้วตอนนั้น "คบใคร" อยู่หรือเปล่า?? แล้วมีเวลาให้กันแค่ไหน??
ครับ ตอนนั้นมีแฟนที่คบกันตั้งแต่สมัยมหาลัย แฟนเป็นคนเรียนเก่งมาก แต่ออกจากเนิร์ตๆหน่อย น่ารักดี ตอนคบกันก็แฮปปี้ดี เหมือนมีน้องสาว และคนรักในเวลาเดียวกัน เนื่องด้วยแฟนเรียนเก่งและที่บ้านก็ไม่ได้มีปัญหาการเงินใดๆ เขาก็เรียนจบเร็วกว่า "ไมเคิล" ราวๆหนึ่งปี มันเป็นช่วงรอยต่อพอดีกับตอนช่วงที่ไมเคิลเริ่มทำงานเป็นไกด์และเรียนไปด้วย จะดีหน่อยตรงที่ว่า เขาได้ลงเรียนปริญญาโทต่อ ทำให้มีเจอกันในรั้วมหาลัยบ้างอาทิตย์ละวันสองวัน
พอไมเคิลเรียนจบแล้วเริ่มทำงานทั้งจิวเวลรี่ และท๊อปส์ โอกาสในการเจอกันก็น้อยลงพอควร แต่ก็พยายามจะเจอกันให้ได้ เพราะบ้านก็ไม่ได้ไกลกันมากนัก กล่าวคือไม่วันเสาร์ก็อาทิตย์ที่มีวันว่างประมาณครึ่งวัน เราก็จะนัดกันที่เซ็นฯลาดพร้าว กินข้าวกันนะ ดูหนังกันนะ แล้วแต่เวลาและรอบหนังที่สะดวก ตอนขากลับแฟนที่ตอนนั้นที่บ้านให้รถขับเพื่อไปเรียนโทแล้ว ก็จะขับมาส่งบ้าน เพราะไมเคิลไม่มีรถ แล้วอยากจะใช้เวลาร่วมกันให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทุกๆอย่างเหมือนจะดี มันต้องดีสิ มันต้องดี
วันดีคืนดี "แอ๊ป" ที่เป็นรุ่นน้องที่เรียนมัคคุกเทศก์ด้วยกัน โทรมาหา "เฮียไมค์สบายดีหรือเปล่า?? ทำงานหนักนะช่วงนี้ พอมีเวลาว่างเจอกันมั๊ย?" อ๋อพี่ไม่ค่อยว่างหรอก ช่วงนี้ยุ่งๆ รอไว้ว่างๆหน่อย งานโหลดน้อยกว่านี้หน่อยแล้วนัดกินเป็นแก๊งก์เน๊อะ....แต่แอ๊ปดูอ้ำอึ้ง ก่อนจะบอกว่า "เฮีย ช่วงนี้เฮียเจอกับแฟนบ่อยมั๊ย ได้เจอกันบ้างหรือเปล่า? เจอสิ นี่เพิ่งเจอกันมาเมื่อวันอาทิตย์นี้เอง ทำไมหรือ??.......เฮียยยยย แล้วเสียงของแอ๊ปก็แบบอึกๆเหมือนสั่นเครือ เฮียเราขอโทษ เราไม่อยากจะพูดอะไรแบบนี้ แต่เฮีย เราเห็นแฟนเฮียไปดูหนังกับผู้ชายแหล่ะ ....เฮ้ยเพื่อนปริญญาโทเขาหรือเปล่า อ้วนๆหน่อยป่ะ พี่รู้จักนะ มีคุยกันหลายคนแล้ว ฝากฝังกันด้วย ....แต่เฮียยย เขาจับมือกัน เขาดูเป็นอะไรมากกว่าแค่เพื่อนกันนะเฮีย.....ไม่มีอะไรหรอกแอ๊ป เชื่อสิ ไมเคิลตอบแอ๊ปไปเหมือนจะปลอบแอ๊ปว่าอย่าไปเข่้าใจผิด อย่าไปรู้สึกผิดที่ต้องมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง แต่ใน"หัวใจตอนนั้น" มันแบบสุดๆ แต่มันต้องฝืนนิ่งไว้ให้รุ่นน้องคนนี้รู้สึกแย่น้อยที่สุดที่ต้องมาเล่าให้ฟัง
จริงๆสัญญานมันมีมาให้สังเกตได้ซักพักแล้ว ปฎิกริยาตอบสนองที่มีต่อกันระหวางผมกับแฟนดูมี "กำแพงบางๆกั้นอยู่" ซักพัก เขาเคยเป็นคนที่ดูรักเรามากๆ ต้องตัวติด ต้องควงแขน ต้องทู่ซี้ไม่อยากให้เวลาในช่วงที่อยู่ด้วยกันหมด ขอต่อเวลาอยู่ด้วยกันหน่อยได้มั๊ย แบบนี้ตลอด แต่ระยะหลังๆมันไม่ใช่ อืมขับไปส่งนะ พอถึงบ้านไม่ลงมาคุยกัน ก็ขับกลับไปเลย แต่แบบว่า "เชื่อมั่นงัย" เขาเคยเจอเรื่องราวเลวร้ายจากคนเก่ามา จนเขากลัวเรื่องความรักไปนานจนมาเจอเรา เหมือนเราเป็นคนทำให้เขากลับมามีความกล้าที่จะรัก และมีความสุขได้อีก
ชั่งใจอยู่ซักพัก หยิบโทรศัพท์บ้านโทรหาเขา "ฮัลโหล ทำอะไรอยู่เหรอ?" อ๋อกำลังนั่งทบทวนบทเรียนอยู่นะ มีอะไรหรือเปล่า?? ........ไปดูหนังมาเหรอ? สนุกมั๊ย? ......ปลายสายเงียบไป......แล้วก็มีเสียงคล้ายสะอึกๆสั่นเครือกลับมาว่า "ตัวเอง เค้าขอโทษ" เท่านั้นแหล่ะ มันคือความจริง มันคือเรื่องจริงไม่ได้ฝันไป .....บอกได้มั๊ยเขาเป็นใคร? เป็นคนที่ไมเคิลรู้จักเหรอ? ไม่ไมค์ไม่รู้จักหรอก แต่เขาคือ "แฟนเก่า"
เหมือนถูกน้ำเย็นสาดใส่หน้าเต็มๆโดยไม่ทันตั้งตัว "แฟนเก่า"??? ไอ้เชี่ยนั่นที่เคยทิ้งเธอไป ไอ้เชี่ยนั่นที่ทำให้เธอเสียใจเป็นปีๆ คนนั้นนะเหรอ? ข้อความทั้งหมดนี้ อยู่ในใจนะไม่ได้พูดออกไป แต่มันรู้สึกแบบนี้จริงๆ ไมเคิลทำได้เพียงแค่พูดใส่หูโทรศัพท์ว่า "กลับไปคบกับเขาเหรอ?" เสียงตอบกลับปลายสายบอกว่า "อืม เขากลับมา เค้าก็ยังคิดถึงอยู่" คิดถึงอยู่????? เราคบกันสี่ปีนะ สี่ปีนะ ยังคิดถึงอยู่??? เสียงในหัวมันดังสนั่นอยู่อย่างนั้นแต่ไม่ได้พูดมันออกไป "สรุปอยากจะกลับไปคบกับเขาเหรอ?" ....ปลายสายเงียบไปซักแป๊บ แล้วตอบกลับมาว่า "อืม"....ไมเคิลได้แค่เงียบ พูดอะไรไม่ออก แล้วปลายสายก็พูดประโยคนึงที่ทำให้เสียใจยิ่งกว่าก็คือ "อยู่กับตะเองก็ดีนะ มีความสุข แต่ปัญหาคือ เค้าไม่ได้รักตะเองแล้ว"
"เค้าไม่ได้รักตะเองแล้ว" ห้าคำนี้ จบทุกอย่าง เป็นข้อสรุปง่ายๆที่ไม่ต้องตั้งคำถามต่อ
เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เพื่อนของแฟนเก่าทั่วทุกสารทิศต่างโทรหากันใหญ่ บอกไมค์สู้ๆนะ เราเชียร์นาย นายดีกว่าเห็นๆ อย่าไปยอมแพ้ เอาของเราคืนมาให้ได้ "สู้อะไรครับ??? เมื่อผู้หญิงบอกว่าหมดรักแล้ว มันไม่มีอะไรต้องสู้อีกต่อไปแล้ว" มันไม่ใช่เรื่องของความซื่อสัตย์ระหว่างกันหรอก อันนี้เข้าใจ ในเมื่อเวลาไม่ได้ สภาพแวดล้อมไม่ได้ คนที่ใช่กว่าก็ต้องเข้าวิน ไมเคิลไม่ใช่คนเข้าใจอะไรยากหรอก
ข่าวคราวเรื่อง "ไมเคิลอกหัก" กระจายไวเหมือนโกหก อาจจะพราะหลายๆคนที่รู้เรื่องดันมาเป็นเพื่อนกับ "คุณภาษา" ที่เป็นเด็กเอแบคในท๊อปส์ด้วย ทำให้คุณภาษาหลายคนรู้
ไมเคิลตื่นมาตีห้าไปทำงานปกติที่จิวเวลรี่งานยุ่งมาก ยุ่งสุดๆไม่มีเวลาพักหายใจเลย มันอาจจะดีก็ได้กับการที่ยุ่งสุดๆแล้วไม่มีเวลาพักหายใจ มันทำให้เราไม่คิดอะไรเยอะ ไม่ย้อนเวลาไปฉากต่างๆที่เคยอยู่ร่วมกัน
จบงานที่จิวเวลรี่ มาเข้างานต่อที่ท๊อปส์ลูกค้าเยอะ วุ่นวายมาก ก็พยายามทำๆ คุยๆกับลูกค้า ไปช่วยออกบิลล์ออกใบกำกับภาษีที่เค้าน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ โฟนขายสินค้าเป็นภาษาอังกฤษ บลาๆ จนเพื่อนคุณภาษาอีกคนที่ยังอยู่ในกะ และเป็นเด็กเอแบคด้วยกัน ถามขึ้นว่า "ไมเคิล กูรู้มาว่าเมิงเพิ่งเลิกกับแฟน ไม่เห็นเมิงออกอาการเสียใจอะไรเลยอ่ะ ทำได้ยังไงฟร่ะ?" จึ๊กกกกกกกกกกกกกกกกกก เหมือนเอามีดปักอกเต็มๆข้อ แต่ก็เข้าใจคนถาม เพราะในอดีตคนถามก็เคยเป็นหนักมากับความรักที่พังทะลายไป เขาจึงงงว่าทำไมไมเคิลดูชิลๆ ไมเคิลทำได้แค่ตอบเขาไปว่า "รู้สึกสิ แต่เราไม่มีเวลาเสียใจว่ะ" ห่ะ?? ไม่มีเวลาเสียใจ แปลว่าอะไรฟร่ะ?? ไม่มีเวลาเสียใจเพราะเราไม่มีเวลาว่างให้คิดอะไร เราทำงานทั้งวันไม่มีเวลาหยุดหายใจ เราจึงไม่มีเวลาว่างให้ตัวเองเสียใจและร้องไห้ เราไม่มีเวลาว่างให้คิดอะไรทั้งนั้น เรามีหน้าที่อยู่ตรงหน้าให้ทำว่ะ เราเป็นที่พึ่งของคนทั้งบ้าน เราล้มไม่ได้ว่ะ ถ้าเราล้มแล้วใครมันจะลุกขึ้นมาทำแทนเราว่ะ? เพื่อนคนนั้นอึ้งๆไป ก่อนที่มันจะเดินมาจับไหล่ประมาณว่า "กูเข้าใจเมิงแล้ว"
การทำตัวให้ยุ่งทั้งวัน มันช่วยได้เยอะจริงๆ ให้เราไม่คิดถึงเรื่องเก่าๆ ไม่คิดถึงความเจ็บช้ำใจในการ "ถูกทิ้ง" ในขณะที่เหนื่อยสายตัวแทบขาดด้วยการทำหน้าที่เป็นคนดี เป็นลูกกตัญญู ทำสิ่งดีๆเพื่อครอบครัว แต่ปัญหาก็คือ
ตอนนั่งรถกลับบ้าน "จากปกติ ไมเคิลจะขึ้นรถแล้วหลับทันที เพื่อชิงเวลาพักผ่อน" แต่คราวนี้มันหลับไม่ได้ มันนอนไม่หลับ ภาพเก่าๆฉากเก่าๆทุกๆอย่างตลอดสี่ปีกว่าๆมันย้อนกลับมาเหมือนภาพหนังขาวดำในโรงภาพยนตร์ รอยยิ้มเสียงหัวเราะ มันย้อนพรึบๆๆๆๆๆ ยิ่งกว่าอินโทรของหนังค่ายมาร์เวล ผิดแต่ภาพต่างๆมันคือภาพรูปเราคู่กัน ที่ขาดวิ่นไปเรื่อยๆ แล้ววนเวียนอยู่แบบนั้น ขณะนั่งรถเมลกลับบ้าน ภาพคนลงจากรถแล้วมีแฟนรอคอยยืนยิ้มอยู่ตรงป้ายรถเมล แล้วเดินจับมือกันเข้าซอย เข้าเซเว่น เอ้ย ทำไมต้องมารักกันตรงนี้ให้กูเห็นด้วยฟร่ะ คนบนรถเมล์ที่เป็นแฟนกันนั่งคุยกันกระหนุงกระหนิง มันเหมือนเอามีดมาแทงเรารัวๆ ทำไมชั่วโมงกว่าๆบนรถเมลมันช่างยาวนานขนาดนี้??? แล้วคืนนี้ไมเคิลจะนอนหลับหรือไม่???? ไม่ได้นะ ไมเคิลต้องรีบนอนเพราะไมเคิลจะเหลือเวลานอนแค่ สี่ชั่วโมงเท่านั้นในแต่ละวัน ไม่งั้นไมเคิลจะล้ม ไมเคิลจะป่วยนะ ไมเคิลป่วยไม่ได้
เรื่องราวๆต่างๆมันก็วนเวียนอยู่แบบนี้เป็นเดือนๆ ทำงานๆๆๆๆๆๆๆ เพื่อที่จะไม่ต้องมีเวลาคิดมาก คิดเยอะ ฟุ้งซ่าน แต่พอนั่งรถกลับบ้านแล้วภาพเก่าๆก็ย้อนกลับมาอีกพร้อมคำถามสารพัดว่า "แล้วกูจะเป็นคนดีไปเพื่ออะไรว่ะ?" คนดีได้รับการตอบแทนแบบนี้เหรอว่ะ?? แต่อีกนัยนึงก็ดึงสติกลับมาได้ว่า "ถ้าเราไม่ทำ แล้วใครมันจะทำ?? ใครมันจะยืนหยัดแทนเรา??"
วันดีคืนดี หม่าม้ารู้สึกผิดสังเกตุว่าทำไมวันหยุดที่ปกติออกไปหาแฟน ทุกวันนี้กลับนั่งอยู่บ้านเฉยๆ แล้วหม่าม้าก็ถามขึ้นมาว่า "วันนี้ไม่ออกไปหา...เหรอ?" ไม่ค่อยมีเวลาให้เขา ก็พยายามหาเวลาหน่อยสิ แบบนี้ไม่ดีนะ
ไมเคิลเงียบไป หม่าม้าเริ่มตะหงิดๆแล้วว่า "ไมเคิล เป็นอะไร เล่าให้หม่าม้าฟังสิ" ไมเคิลบอกว่า "เราเลิกกันแล้วหม่าม้า" เท่านั้นแหล่ะ "หม่าม้าบอกว่า เฮ้ยไมเคิลยูทำแบบนี้ไม่ได้นะ ยูจะเลิกกับคนนั้นคนนี้ง่ายๆแบบนี้ไม่ได้นะ ลูกสาวชาวบ้านเขา" ....หม่าม้า ไมเคิลไม่ได้อยากเลิก แต่เขาไม่อยากอยูกับไมเคิลแล้ว.......หม่าม้านิ่งไป ก่อนจะถามขึ้นมาว่า "เพราะไมเคิลต้องทำงานทั้งวันทุกวันจนไม่มีเวลาให้เขาแบบนี้หรือเปล่า ทำให้เขาเปลี่ยนไป?" ไม่รู้สิหม่าม้า น่าจะไม่เกี่ยวมั้ง ความรักบางครั้งมันก็เหมือนอาหารกระป๋องนะ มันมีวันหมดอายุ ในเมื่อเราไม่ใช่สิ่งที่เขาวาดฝันและวาดหวังอีกต่อไปแล้ว มันก็ต้องจบลงแบบนี้ ส่วนเรื่องผลสะท้อนระหว่างคนสู่คนอันนี้แล้วแต่ว่าใครทำใจได้เร็วกว่ากัน.......
หม่าม้าเดินเข้ามากอด พร้อมเสียงสะอึกเสียใจว่า "ไมเคิล หม่าม้าขอโทษ หม่าม้าขอโทษจริงๆ ที่ทำให้ไมเคิลต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ " ได้แต่บอกหม่าม้าว่า "ไม่หรอกหม่าม้า นี่ก็แค่อีกประตูนึงที่ต้องเดินผ่านไป ไมเคิลโอเค ไมเคิลไหวเสมอ" ปากก็บอกแบบนั้น "แต่หัวใจมันสลายไปนานแล้ว"
หลังจากวันนั้นผ่านไปราวๆครึ่งปี บังเอิญเจอกับ "เธอคนนั้น เธอไม่ได้เดินกับแฟนเก่าคนนั้นแล้ว แต่เธอกำลังเดินกับแฟนใหม่อีกคน" เธอดูตกใจที่เจอไมเคิล แต่ก็พยายามยิ้มให้ ไมเคิลก็ยิ้มให้ แล้วเราก็เดินผ่านกันไป และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่เจอเธอคนนั้นอีก ยี่สิบปีแล้วสินะ
โฆษณา