6 ธ.ค. 2020 เวลา 16:10 • ท่องเที่ยว
เบรคเรื่องประวัติศาสตร์การเมือง เขียนเรื่องเมื่อผมไปญี่ปุ่น ตอนที่ 1
day 1
วันนี้หยุดเรื่องการเมืองไว้สักพัก ย้อนอดีตกับตัวเองนะครับ ผมได้มีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างประเทศที่ประทับใจ นั้นคือการได้ไปประเทศญี่ปุ่น การไปพักผ่อนต่างประเทศ ช่วงนั้นผมมีเรื่องเครียดเยอะครับ แล้วโชคดีช่วงนั่นผมได้มีโอกาสไปเที่ยว ผมไปทั้งหมด 15 วัน ข้อดีของการไปเที่ยวต่างประเทศที่ผมมองคือ เราได้พักอย่างเต็มที่ ไม่ต้องแคร์คนรอบข้างว่าเค้าจะมองเราอย่างไร แต่อยู่กับสภาพแวดล้อมที่เราไม่คุ้นเคยคนไม่รู้จัก อากาสใหม่ๆ มาเริ่มเล่าต่อเลยนะครับ วันแรกผมจำไม่ได้ว่าผมออกจากสนามบินสุวรรณภูมิกี่โมง แต่ผมจำได้ว่าผมลงที่สนามบินนาริตะ ประมาณ 5โมงเย็นกว่าๆ และใช้รอเพื่อนแม่ที่จะมารับที่สนามบินนาริตะ ก็เกือบหกโมง ผมนั่งรถเมล์จากสนามบินนาริตะถึงสถานีรถไฟโตเกียวที่จำได้ใช่เวลาประมาณชั่วโมงกว่า พอลงจากรถเมล์ฟ้าก็มืดๆ เหมือนเวลาจะเข้าหนึ่งทุ่ม รู้ว่าตัวเองเดินจนปวดขา ก็จะถึงห้องพัก น่าจะสักประมาณเกือบสองทุ่ม หิวมาไปกินราเม็งต่อต่อครับ เดินจากที่พักน่าจะสักกิโลนึงครับ ซึ่งยอมรับคุยญี่ปุ่นนี้เดินเก่งมาก เป็นบ้านเรานี้คงใช้บริการพี่วินในหลายเส้นทางครับ
มื้อแรกที่ผมกินที่ญี่ปุ่น
สิ่งที่ผมไม่ชอบและไม่กินแน่นอนที่เมืองไทยคือชาเขียวร้อน แต่พอไปเหยียบเมืองนี้มันเป็นสิ่งที่ผมต้องกินทุกครั้งที่เข้าร้านอาหาร เพราะมันพอทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นได้บ้าง กินเสร็จกลับบ้าน ผมก็เดินจากห้องพักไปเซ่เว่น ก็ช๊อกกับราคาแป๊ปซี่คับ ขวด 18 บาทบ้านเรา มันราคา 170 เยน(51 บาท) ซึ่งผมไปไม่ได้เอาเงินไปมากมาย เลยเล่นเบียร์กระป๋องละกัน 130 เยน ซื้อบุหรี่อีก 170 เยน ซึ่งราคาไม่ต่างจากเมืองไทยเท่าไหร่ กลับมานั่งหน้าห้องพักตอนนั่นก็สักประมาณ 8 องศา เย็นแค่ไหนก็คือผมไม่ได้ยกเบียร์กระดกแบบอักๆ ผมเจ็บไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นที่เมืองไทยเบียร์แปปเดียวมันก็ขมแล้ว แต่อยู่ที่นี้มันยังไงก็ไม่ขมเพราะอากาศมันเย็นคงพอๆกับอยู่ในตู้เย็น ผมกลับไปเซเว่นอีกรอบ ซื้อเบียร์อีกกระป๋องกิน กลับไปนอนจบวันที่ 1 ครับ
day2
วันนี้เป็นวันที่ผมไม่ได้ทำอะไรมากครับ ตื่นมาก็ไปเดินจ่ายตลาดทำอาหารกับแม่
สถาพตลาดในเมืิองมุซาชิซาไก
สภาพตลาดจะเป็นลักษณะผมจะเปรีบยเทียบยังไงดี เหมือนซุปเปอร์มาเก็ต บิ๊กซีเล็กประมาณนั้น แต่วางขายหลักๆจะเป็นผักผลไม้ แล้วก็พวกเครื่องปรุงอาหาร ทำให้ผมได้มีเบียร์ดื่มทุกวัน ที่นี่เจอของดีเบียร์ถูกกว่าเซเว่น รวม vat แล้วก็ประมาณ 90 กว่าเยน อยู่นี้กินแต่เบียร์กับสาเกครับ พูดตรงๆว่าทำใจซื้ิอแปปซี่ โค้ก ไม่ลงจริงไปครับ ผมกินเบียร์ถูกกว่า พอเสร็จเดินตลาดเสร็จ น่าจะนั่งรถไฟ jr ไป ikebukuro ไปดูพวกรองเท้า นาฬิกา ทีนั่นมีห้างทีืขายของ free tax ที่ต้องมี passport หลังจากอยู่หลายวันก็เลยรู้ว่า มีเกือบทุกที่ๆเป็นห้างใหญ่เราควรถามครับว่าลดได้รึเปล่าถ้ามี passport
รถไฟใช้เดินทางเป็นหลัก
ก่อนกลับเจอร้านแกงกะหรี่ แวะกิน
จากที่เดินทุกวัน ผมจะสังเกตราคาอาหาร ตามร้านปกติอย่างข้าวแกงกะหรี่จะเริ่มที่ 700 เยน น่าจะเป็นข้าวราดน้ำกะหรี่ไม่มีหมูและราคาเพิ่มขึ้นตามออฟชั่นต่างที่้เราจะเพิ่มครับ วันนี่ก็ไม่มีอะไรเที่ยวแค่นี้ แต่ตลกตัวเองกับตู้กดบุหรี่ งงกดไม่เป็นครับ
day3 ส่องสาวฮาราจูกุ
เป็นที่ๆพลาด ไม่ได้สำหรับคนชอบส่องสาวแนวเด็กๆต่องมาที่นี้ ผมขอให้นิยามส่องสาวญี่ปุ่นนี้ว่า "ชอบสาวใหญ่ให้ไปชินจูกุ แต่ถ้าชอบวัยรุ่นต้องฮาราจูกุ"
ลงจากรถไฟเจอสาวสายดีแอปแชะซะหน่อย
ถนนสายนี้มีความสุข
วันนี้ทำให้ผมเข้าถึงญี่ปุ่นครับ ถ้าหนุ่มแนะนำว่าพลาดไม่ได้ คุณจะมาถึงสาวญี่ปุ่นจริงๆ จะเจอแต่งตัวออกแนวคอสเพลย์ก็ที่นี้แหละครับ ถนนเส้นนี้เป็นส่วนที่รวมวัยรุ่นอยู่ที่นี้ ความงดงามแบบเด็กๆอยู่แถวนี้ แล้วก็ไปเดินเที่ยวต่อผมจะเรียกว่าศาลหรือวัดเก่าดี ที่นี้ผมเดินเข้าไปเหมือนย้อนยุคกลับไปในหนังซามูไร
อากาศดีครับ ได้โยนเหรียญโง่อธิษฐานเหมือนตอนดูการ์ตูนญี่ปุ่น ขอจบเท่านี้ก่อนครับขอไปดู รูปในโทรศัพท์เก่าที่ถ่ายไว้แล้วจะมาเขียนต่ออีกตอนหรือสองตอนครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา