4 ธ.ค. 2020 เวลา 08:57 • ปรัชญา
☀️​"อัคคัญญสูตร" ปฐมบทของโลกและมนุษย์​ในพระ​ไตรปิฏก☀️
.
พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมที่ว่าด้วยจุดกำเนิด​โลก​และธรรมชาติ​ความจริง​ของชีวิต​นี้แก่สามเณร 2​ รูป คือ วาเสฏฐะและภารทวาชะเพื่อ​อธิบาย​เหตุแห่ง​ความเชื่อในเรื่องวรรณะต่างๆ​ พร้อมทั้ง​พระองค์​จึง​ทรงเล่าประวัติ​ความเป็นมา​ของโลกมนุษย์
.
ที่มา​: พระไตรปิฎก​เล่ม​11, สุตตันตปิฎก​ เล่ม 3, ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค (มหาจุฬาฯ)​
1.ก่อนการเกิดของโลก . -หลังจากจักรวาลว่างเปล่ามายาวนาน -ต่อมามีฝนตกลงมาในจักรวาลที่มีแต่อากาศ -ฝนตกอย่างต่อเนื่องทำให้น้ำฝนท่วมท้องจักรวาล . 2.กำเนิดภพภูมิต่างๆและแผ่นดินโลก . -น้ำลดลงมาทำให้เกิดที่ตั้งของภพต่างๆตั้งแต่พรหมชั้นต่างๆ ถึงสวรรค์ชั้นที่ 1 -น้ำลดถึงพื้นดินและนิ่งจึงเป็นตะกอนของธาตุหยาบสีเหลืองหวานหอมเรียก"ง้วนดิน" ต่อมาคือแผ่นดินในโลก . 3.กำเนิดพืชต้นแรก . ต้นไม้ชนิดแรกคือ"ต้นบัว"เป็นไม้ยืนต้น บังเกิดขึ้นทุกครั้งที่โลกกำเนิดขึ้น หลังจากที่ถูกทำลายไป การเกิดขึ้นของดอกบัวนี้จะออกดอกไม่เท่ากัน จำนวนดอกบัวนี้เป็นสิ่งบอกว่ามีพระพุทธเจ้ามาบังเกิดหรือไม่? บังเกิดขึ้นกี่พระองค์? ในกัปนั้น บัวนี้มีชื่อว่า"บัวพยากรณ์" . 4.มนุษย์ยุคแรกของโลก . พรหมที่หมดบุญ(สิ้นอายุ)จากอาภัสสราพรหม(ทุติยฌาน)จุติลงมาเป็นมนุษย์ การเกิดเป็นมนุษย์ยุคแรกเป็นการเกิดไม่อาศัยพ่อแม่ เกิดแล้วโตเต็มวัยทันที (โอปปาติกะ)มนุษย์ยุคนี้รูปร่างเหมือนพรหม, ไม่มีเพศ, มีแสงสว่างและรัศมี,เหาะได้, มีปีติเป็นอาหาร ไม่ต้องกินอาหารหยาบภายนอกร่างกาย . 5.อาหารเมนูแรกของโลก . มนุษย์คนหนึ่งเห็นดินมีสีสวยกลิ่นหอมก็ลองชิม รสก็แผ่ซ่านทั่วกายมนุษย์อื่นเห็นก็ชิมบ้าง ทำให้รัศมีและแสงในตัวหาย ผิวพรรณเศร้าหมองผิวจึงต่างกันขึ้นอยู่กับกรรมเก่าที่เคยทำมาในอดีตชาติและกิเลสขณะนั้น เมื่อเห็นความต่างกัน ทำให้ยึดมั่นถือตัว จึงเหาะไม่ได้บาปกรรมนี้ ง้วนดินได้ กลายเป็นกะบิดินแต่อร่อยและหอม ยิ่งมนุษย์ถูกกิเลสครอบงำเท่าไร กลายเป็นเครือดินและเป็นข้าวสาลี . 6.เกิดดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์, ดวงดาว, วันเดือนปีฤดูกาลต่างๆ . -เมื่อถูกความมืดปกคลุมมนุษย์จึงตกใจดวงอาทิตย์ก็เกิดขึ้นทำให้มีแสงสว่าง -จากนั้นดวงจันทร์และดวงดาวต่างๆ ก็เกิดขึ้น -ทำให้มีกลางวันกลางคืน,วันเดือนปีและฤดูกาลต่างๆ . 7.เพศชาย-หญิงเกิดขึ้น ก่อเป็นบ้านเรือนขึ้นและการปกครองครั้งแรก . เกิดอวัยวะวะต่าง ๆ เช่น อวัยวะขับถ่ายและมีการล่วงเกินทางเพศ, เกิดความละอายจนมีการสร้างบ้าน -มนุษย์เริ่มเกิดจากมารดาแทนเกิดแบบโอปปาติกะ -ตั้งหมู่บ้าน, มีการกักตุนสะสมอาหารและขโมยทำให้ขาดแคลน จึงเกิดการแบ่งที่ทำนาทำไร่ -เริ่มเลือกหัวหน้ามาเป็นผู้ดูแลคนและที่นาเรียกว่ากษัตริย์(ผู้ดูแลการเกษตร) . 8.กำเนิดวรรณะต่างๆ . หลังจากเกิดวรรณะกษัตริย์แล้ว ต่อมาก็มีวรรณะพราหมณ์, แพศย์, ศูทรก็เกิดขึ้นตามลำดับ ซึ่งแต่ละวรรณะเกิดมาตามกลไกของธรรมชาติโลกและชีวิต . 9.กำเนิดบรรพชิตหรือสมณะ . เมื่อวรรณะทั้ง 4 บังเกิดขึ้นแล้ว มนุษย์ต่างเห็นข้อบกพร่องของกันและกันจึงมีบางส่วนของแต่ละวรรณะเกิดแรงบันดาลใจออกบวชเป็นบรรพชิตเพื่อแสวงหาธรรมะสู่ความสมบูรณ์ของมนุษย์ในโลกนั่นเอง . 10.วรรณะใดทำชั่วก็ไปทุคติหรืออบายภูมิได้ทั้งสิ้น . วรรณะทั้งหลาย หากเป็นมิจฉาทิฏฐิ (เห็นผิด) ย่อมสร้างบาปกรรมซึ่งจะพาไปอบายหลังละโลก กษัตริย์, พราหมณ์, แพศย์, ศูทร, สมณะประพฤติกาย,วาจา, ใจทุจริต เป็นมิจฉาทิฐิ ด้วยทำบาปกรรมจากอำนาจมิจฉาทิฐิเป็นเหตุให้ไปอบาย, ทุคติ, วินิบาต, นรก ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นวรรณะใด . 11.วรรณะใดทำบุญสร้างกุศล ก็ไปสุคติโลกสวรรค์ได้ทั้งสิ้น . วรรณะทั้งหลาย หากเป็นสัมมาทิฏฐิ (เห็นถูก) ย่อมสร้างบุญกุศลซึ่งจะพาไปสุคติหลังละโลก กษัตริย์, พราหมณ์, แพศย์, ศูทร, สมณะ ประพฤติกาย,วาจา, ใจสุจริต เป็นสัมมาฉาทิฐิ ด้วยการทำบุญจากอำนาจสัมมาทิฐิเป็น เหตุให้ไปสุคติโลกสวรรค์ ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นวรรณะใด . 12.ทุกชนชั้นวรรณะล้วนแต่อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมนี้ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นวรรณะใดก็หลีกเลี่ยงกฎแห่งกรรมไม่ได้ . วรรณะทั้งหลาย หากประพฤติกาย, วาจา, ใจทุจริตและสุจริตเป็นมิจฉาทิฏฐิและสัมมาทิฏฐิ บาปกรรมและบุญกุศลย่อมจะพาไปทุคติและสุคติภูมิหลังละโลกแล้วย่อมมีทุกข์มีสุขสลับไปตามแรงบุญแรงกรรม แม้เป็นกษัตริย์, พราหมณ์, แพศย์, ศูทร, สมณะประพฤติกาย, วาจา, ใจทุจริต หรือสุจริตต้องอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมนี้ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นวรรณะใด . 13.ทุกคนทุกวรรณะ หากปฏิบัติถูกหลักวิชชาย่อมบรรลุนิพพาน . วรรณะทั้งหลายที่ฝึกกาย, วาจา, ใจ เจริญโพธิปักขิยธรรมทั้ง 7 ย่อมปรินิพพานในปัจจุบันนี้ วรรณะทั้งสี่นี้ วรรณะใดบวชเป็นภิกษุสิ้นกิเลสอาสวะแล้ว กิจที่ควรทำ เสร็จแล้ว หลุดพ้นแล้ว วรรณะนั้นเป็นผู้เลิศกว่าคนทั้งหลายโดยธรรมแท้จริง . 14.พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ผู้มีวิชชาและจรณะ เป็นยอดและประเสริฐที่สุด . -พระอรหันต์นับเป็นยอดแห่งวรรณะเพราะธรรมเหล่านั้นเป็นสิ่งประเสริฐสุด ในมนุษย์ ทั้งปัจจุบันและอนาคต -ในหมู่ชนที่ถือตระกูลเป็นใหญ่ กษัตริย์จัดว่าประเสริฐที่สุด ส่วนผู้พร้อมด้วยวิชชาและจรณะจัดเป็นผู้ประเสริฐในหมู่เทวดาและมนุษย์ .
🔅15 สิ่งที่เรียนรู้จาก  "อัคคัญญสูตร"🔅 . 1.มนุษย์ทั้งหลายพร้อมสรรพสัตว์และทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้น, ตั้งอยู่ และแตกดับทั้งหมด 2.เราอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราว, เรา, บุคคลรอบข้างและทรัพย์สินสิ่งของที่มีอยู่ล้วนเป็นของชั่วคราว 3.จิตใจของมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายจะสูงส่งหรือตกต่ำล้วนแล้วแต่เป็นตัวแปรกำหนดความเป็นไปของโลกและสิ่งแวดล้อมร่วมกัน 4.เราและสรรพสัตว์ทั้งหลายต่างเวียนว่ายตายเกิดมานับภพนับชาติไม่ถ้วน และยังต้องเกิดขึ้นอีก ตราบใดที่ยังไม่ได้หมดกิเลส 5.โลกที่เรากำลังอาศัยอยู่นี้เป็น 1 ใน 31 ภูมิ ซึ่งเปรียบเสมือนคุกที่ขังสรรพสัตว์ทั้งหลายไว้ จะออกจากที่คุมขังได้ต้องสร้างบารมีจนหมดกิเลส และไปพระนิพพาน 6.จำนวนจักรวาลมีนับไม่ถ้วน  เรียกว่า แสนโกฏิจักรวาลอนันตจักรวาล ทุกจักรวาลล้วนต้องสูญสลายไม่มีสิ่งใดคงทนถาวร 7.เหตุที่มนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนแตกต่างกันในแต่ละภพชาติิล้วนมาจากสิ่งที่ทำไว้ (กรรม)ในอดีต 8.พระพุทธเจ้าพระองค์เทศนาพระสูตรนี้เพราะว่าประสงค์สร้างความเข้าใจถูกต้องเรื่องทัศนคติเกี่ยวกับโลกและชีวิตให้สามเณรและชาวโลก 9.พระพุทธเจ้าทรงไปรู้ไปเห็นการเกิดการดับของโลกและจักรวาลด้วยการเจริญสมาธิภาวนา(ญาณทัศนะของพระพุทธองค์) 10.พระพุทธเจ้าทรงไม่บังคับให้ใครเชื่อคำสอนของพระองค์ แต่ทุกคนควรพิจารณาข้อมูลก่อนตัดสินใจเชื่ิอและดีที่สุดคือควรพิสูจน์ให้เห็นด้วยการปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง 11. พระพุทธองค์ทรงเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์พราหมณ์แพศย์และศูทร ล้วนไม่แตกต่างกัน มีความเท่าเทียมกันของมนุษย์เช่นเดียวกัน 12.เมื่อมนุษย์กระทำสิ่งใดก็ย่อมได้รับผลการกระทำนั้น ไม่ว่ากษัตริย์, พราหมณ์, แพศย์และศูทร เรียกว่าอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม 13.มนุษย์ไม่ว่าวรรณะใด เมื่อประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริตแล้วตายไปย่อมไปเกิดในทุคติเหมือนกัน แต่หากมนุษย์ประพฤติกายสุจริต วจีสุจริตและมโนสุจริตแล้ว ตายไปย่อมเกิดในสุคติเช่นเดียวกัน 14.มนุษย์ยุคต้นกัปมาจากอาภัสสราพรหม เป็นแบบโอปปาติกะ (เกิดมาแล้วโตทันที) เหาะเหินได้ มีปีติเป็นอาหาร มีอายุขัยยืนยาวนาน ไม่มีอวัยวะ หลังจากเกิดตัณหาความอยากรู้อยากเห็น ทำให้ต่อมามนุษย์ค่อยๆมีอวัยวะในร่างกาย, มีอายุสั้นลง, ต้องขับถ่ายและต้องเกิดในท้องมารดา 15.อัคคัญญสูตรเป็น 1 ในพระสูตรที่สำคัญโดดเด่นพระสูตรหนึ่งที่มีองค์ความรู้ของโลกและชีวิตที่มนุษย์ทุกคนต้องรู้เพราะได้แสดงจุดยืน, อุดมการณ์, หลักการและเหตุผลของพระพุทธศาสนาไว้ชัดเจน . โดยเฉพาะหลักใหญ่ใจความเรื่องกฎแห่งกรรม กฎแห่งเหตุและผล ซึ่งคือความเท่าเทียมกันของมนุษย์ในการรับผลกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากใครขวนขวายแสวงหาหนทางสร้างบุญกุศลสร้างบารมีอย่างถูกต้องตามหลักวิชชาย่อมบรรลุผลในการปฏิบัติธรรมจนถึงพระนิพพานอย่างแน่นอน. .
โพธิปักขิยธรรม หรือ โพธิปักขิยธรรม 37 เป็นธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ คือ เกื้อกูลแก่การตรัสรู้ เกื้อหนุนแก่อริยมรรค มี 37 ประการ(7หมวดธรรม)คือ
สติปัฏฐาน 4
สัมมัปปธาน 4
อิทธิบาท 4
อินทรีย์ 5
พละ 5
โพชฌงค์ 7
มรรคมีองค์ 8
"ภิกษุทั้งหลาย ก็โพธิปักขิยธรรมเป็นไฉน? คือ สัทธินทรีย์ เป็นโพธิปักขิยธรรมย่อมเป็นไปเพื่อความตรัสรู้ วิริยินทรีย์ ... สตินทรีย์ ... สมาธินทรีย์ ...ปัญญินทรีย์ เป็นโพธิปักขิยธรรม ย่อมเป็นไปเพื่อความตรัสรู้."
"ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสัตว์ดิรัจฉานทุกจำพวก สีหมฤคราช โลกกล่าวว่า เป็นยอดของสัตว์เหล่านั้น เพราะมีกำลัง มีฝีเท้า มีความกล้า ฉันใด บรรดาโพธิปักขิยธรรม ทุกอย่าง ปัญญินทรีย์ เรากล่าวว่า เป็นยอดแห่งโพธิปักขิยธรรมเหล่านั้น เพราะเป็นไปเพื่อความตรัสรู้ ฉันนั้นเหมือนกัน."
ส่วนที่ตรัสถึงโพธิปักขิยธรรม 37 ประการโดยตรง เช่น
"ภิกษุเป็นผู้มีธรรมงามอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบด้วย ความเพียรในการเจริญโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการเนืองๆ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีธรรมงามอย่างนี้แล ภิกษุเป็นผู้มีศีลงาม มีธรรมงาม ด้วยประการดังนี้[1] ฯ"
โพธิปักขิยธรรม เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สามัคคีธรรม มี 37 ประการคือ
สติปัฏฐาน ฐานเป็นที่กำหนดของสติ
การตั้งสติกำหนดพิจารณากาย (กายานุปัสสนา)
การตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนา(เวทนานุปัสสนา)
การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต (จิตตานุปัสสนา)
การตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรม (ธรรมานุปัสสนา)
สัมมัปปธาน หลักในการรักษากุศลธรรมไม่ให้เสื่อม
การเพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้นในตน (สังวรปธาน)
การเพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว (ปหานปธาน)
การเพียรสร้างกุศลให้เกิดขึ้นในตน (ภาวนาปธาน)
การเพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ให้เสื่อมไป (อนุรักขปธาน)
อิทธิบาท เป้าหมายของความเจริญ
ความชอบใจทำ พอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น (ฉันทะ)
ความแข็งใจทำ เพียรหมั่นประกอบในสิ่งนั้น (วิริยะ)
ความตั้งใจทำ เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้น ไม่ทอดทิ้งธุระ (จิตตะ)
ความเข้าใจทำ การใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองหาเหตุผลในสิ่งนั้น (วิมังสา)
อินทรีย์
ให้เกิดความเชื่อ (ศรัทธา)
ให้เกิดความเพียร (วิริยะ)
ให้เกิดความระลึกได้ (สติ)
ให้เกิดความตั้งมั่น (สมาธิ)
ให้เกิดความรอบรู้ (ปัญญา)
พละ กำลัง
ความเชื่อ (ศรัทธา)
ความเพียร (วิริยะ)
ความระลึกได้ (สติ)
ความตั้งมั่น (สมาธิ)
ความรอบรู้ (ปัญญา)
โพชฌงค์ องค์แห่งการตรัสรู้
มีความระลึกได้ (สติ)
มีความพิจารณาในธรรม (ธัมมวิจยะ)
มีความเพียร (วิริยะ)
มีความอิ่มใจ (ปีติ)
มีความสงบสบายใจ (ปัสสัทธิ)
มีความตั้งมั่น (สมาธิ)
มีความวางเฉย (อุเบกขา)
มรรค หนทางดับทุกข์
เห็นชอบ คือ เห็นอริยสัจ (สัมมาทิฏฐิ)
ดำริชอบ คือ ดำริละเว้นในอกุศลวิตก (สัมมาสังกัปปะ)
เจรจาชอบ คือ เว้นจากวจีทุจริต (สัมมาวาจา)
ทำการงานชอบ คือเว้นจากกายทุจริต (สัมมากัมมันตะ)
ทำอาชีพชอบ คือ เว้นจาก การเลี้ยงชีพในทางที่ผิด (สัมมาอาชีวะ)
เพียรชอบ คือ สัมมัปปธาน (สัมมาวายามะ)
ระลึกชอบ คือ ระลึกในสติปัฏฐาน 4 (สัมมาสติ)
ตั้งใจมั่นชอบ คือ เจริญฌานทั้ง 4 และวิปัสสนา (สัมมาสมาธิ)
โฆษณา