1.ก่อนการเกิดของโลก
.
-หลังจากจักรวาลว่างเปล่ามายาวนาน 
-ต่อมามีฝนตกลงมาในจักรวาลที่มีแต่อากาศ
-ฝนตกอย่างต่อเนื่องทำให้น้ำฝนท่วมท้องจักรวาล
.
2.กำเนิดภพภูมิต่างๆและแผ่นดินโลก
.
-น้ำลดลงมาทำให้เกิดที่ตั้งของภพต่างๆตั้งแต่พรหมชั้นต่างๆ ถึงสวรรค์ชั้นที่ 1
-น้ำลดถึงพื้นดินและนิ่งจึงเป็นตะกอนของธาตุหยาบสีเหลืองหวานหอมเรียก"ง้วนดิน" ต่อมาคือแผ่นดินในโลก
.
3.กำเนิดพืชต้นแรก
.
ต้นไม้ชนิดแรกคือ"ต้นบัว"เป็นไม้ยืนต้น บังเกิดขึ้นทุกครั้งที่โลกกำเนิดขึ้น หลังจากที่ถูกทำลายไป การเกิดขึ้นของดอกบัวนี้จะออกดอกไม่เท่ากัน 
จำนวนดอกบัวนี้เป็นสิ่งบอกว่ามีพระพุทธเจ้ามาบังเกิดหรือไม่? บังเกิดขึ้นกี่พระองค์? ในกัปนั้น บัวนี้มีชื่อว่า"บัวพยากรณ์" 
.
4.มนุษย์ยุคแรกของโลก
.
พรหมที่หมดบุญ(สิ้นอายุ)จากอาภัสสราพรหม(ทุติยฌาน)จุติลงมาเป็นมนุษย์ การเกิดเป็นมนุษย์ยุคแรกเป็นการเกิดไม่อาศัยพ่อแม่ เกิดแล้วโตเต็มวัยทันที (โอปปาติกะ)มนุษย์ยุคนี้รูปร่างเหมือนพรหม, ไม่มีเพศ, มีแสงสว่างและรัศมี,เหาะได้, มีปีติเป็นอาหาร ไม่ต้องกินอาหารหยาบภายนอกร่างกาย
.
5.อาหารเมนูแรกของโลก
.
มนุษย์คนหนึ่งเห็นดินมีสีสวยกลิ่นหอมก็ลองชิม รสก็แผ่ซ่านทั่วกายมนุษย์อื่นเห็นก็ชิมบ้าง ทำให้รัศมีและแสงในตัวหาย ผิวพรรณเศร้าหมองผิวจึงต่างกันขึ้นอยู่กับกรรมเก่าที่เคยทำมาในอดีตชาติและกิเลสขณะนั้น เมื่อเห็นความต่างกัน ทำให้ยึดมั่นถือตัว จึงเหาะไม่ได้บาปกรรมนี้ ง้วนดินได้
กลายเป็นกะบิดินแต่อร่อยและหอม ยิ่งมนุษย์ถูกกิเลสครอบงำเท่าไร กลายเป็นเครือดินและเป็นข้าวสาลี
.
6.เกิดดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์, ดวงดาว, วันเดือนปีฤดูกาลต่างๆ
.
-เมื่อถูกความมืดปกคลุมมนุษย์จึงตกใจดวงอาทิตย์ก็เกิดขึ้นทำให้มีแสงสว่าง
-จากนั้นดวงจันทร์และดวงดาวต่างๆ ก็เกิดขึ้น 
-ทำให้มีกลางวันกลางคืน,วันเดือนปีและฤดูกาลต่างๆ
.
7.เพศชาย-หญิงเกิดขึ้น ก่อเป็นบ้านเรือนขึ้นและการปกครองครั้งแรก
.
เกิดอวัยวะวะต่าง ๆ เช่น อวัยวะขับถ่ายและมีการล่วงเกินทางเพศ, เกิดความละอายจนมีการสร้างบ้าน
-มนุษย์เริ่มเกิดจากมารดาแทนเกิดแบบโอปปาติกะ
-ตั้งหมู่บ้าน, มีการกักตุนสะสมอาหารและขโมยทำให้ขาดแคลน จึงเกิดการแบ่งที่ทำนาทำไร่ 
-เริ่มเลือกหัวหน้ามาเป็นผู้ดูแลคนและที่นาเรียกว่ากษัตริย์(ผู้ดูแลการเกษตร)
.
8.กำเนิดวรรณะต่างๆ
.
หลังจากเกิดวรรณะกษัตริย์แล้ว ต่อมาก็มีวรรณะพราหมณ์, แพศย์, ศูทรก็เกิดขึ้นตามลำดับ ซึ่งแต่ละวรรณะเกิดมาตามกลไกของธรรมชาติโลกและชีวิต
.
9.กำเนิดบรรพชิตหรือสมณะ
.
เมื่อวรรณะทั้ง 4 บังเกิดขึ้นแล้ว มนุษย์ต่างเห็นข้อบกพร่องของกันและกันจึงมีบางส่วนของแต่ละวรรณะเกิดแรงบันดาลใจออกบวชเป็นบรรพชิตเพื่อแสวงหาธรรมะสู่ความสมบูรณ์ของมนุษย์ในโลกนั่นเอง
.
10.วรรณะใดทำชั่วก็ไปทุคติหรืออบายภูมิได้ทั้งสิ้น
.
วรรณะทั้งหลาย หากเป็นมิจฉาทิฏฐิ (เห็นผิด) ย่อมสร้างบาปกรรมซึ่งจะพาไปอบายหลังละโลก กษัตริย์, พราหมณ์, แพศย์, ศูทร, สมณะประพฤติกาย,วาจา, ใจทุจริต เป็นมิจฉาทิฐิ ด้วยทำบาปกรรมจากอำนาจมิจฉาทิฐิเป็นเหตุให้ไปอบาย, ทุคติ, วินิบาต, นรก ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นวรรณะใด
.
11.วรรณะใดทำบุญสร้างกุศล ก็ไปสุคติโลกสวรรค์ได้ทั้งสิ้น
.
วรรณะทั้งหลาย หากเป็นสัมมาทิฏฐิ (เห็นถูก) ย่อมสร้างบุญกุศลซึ่งจะพาไปสุคติหลังละโลก กษัตริย์, พราหมณ์, แพศย์, ศูทร, สมณะ ประพฤติกาย,วาจา, ใจสุจริต เป็นสัมมาฉาทิฐิ ด้วยการทำบุญจากอำนาจสัมมาทิฐิเป็น
เหตุให้ไปสุคติโลกสวรรค์ ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นวรรณะใด
.
12.ทุกชนชั้นวรรณะล้วนแต่อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมนี้ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นวรรณะใดก็หลีกเลี่ยงกฎแห่งกรรมไม่ได้
.
วรรณะทั้งหลาย หากประพฤติกาย, วาจา, ใจทุจริตและสุจริตเป็นมิจฉาทิฏฐิและสัมมาทิฏฐิ บาปกรรมและบุญกุศลย่อมจะพาไปทุคติและสุคติภูมิหลังละโลกแล้วย่อมมีทุกข์มีสุขสลับไปตามแรงบุญแรงกรรม
แม้เป็นกษัตริย์, พราหมณ์, แพศย์, ศูทร, สมณะประพฤติกาย, วาจา, ใจทุจริต หรือสุจริตต้องอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมนี้ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นวรรณะใด
.
13.ทุกคนทุกวรรณะ หากปฏิบัติถูกหลักวิชชาย่อมบรรลุนิพพาน
.
 วรรณะทั้งหลายที่ฝึกกาย, วาจา, ใจ เจริญโพธิปักขิยธรรมทั้ง 7 ย่อมปรินิพพานในปัจจุบันนี้ วรรณะทั้งสี่นี้ วรรณะใดบวชเป็นภิกษุสิ้นกิเลสอาสวะแล้ว กิจที่ควรทำ เสร็จแล้ว หลุดพ้นแล้ว วรรณะนั้นเป็นผู้เลิศกว่าคนทั้งหลายโดยธรรมแท้จริง
.
14.พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ผู้มีวิชชาและจรณะ
เป็นยอดและประเสริฐที่สุด
.
-พระอรหันต์นับเป็นยอดแห่งวรรณะเพราะธรรมเหล่านั้นเป็นสิ่งประเสริฐสุด ในมนุษย์ ทั้งปัจจุบันและอนาคต
-ในหมู่ชนที่ถือตระกูลเป็นใหญ่ กษัตริย์จัดว่าประเสริฐที่สุด ส่วนผู้พร้อมด้วยวิชชาและจรณะจัดเป็นผู้ประเสริฐในหมู่เทวดาและมนุษย์
.