4 ธ.ค. 2020 เวลา 23:16 • ไลฟ์สไตล์
เพิ่งกลับจากสระบุรีเมื่อครึ่งชั่วโมงนี่เองครับ
หะแรก ว่าจะเล่าเรื่องบางอย่างให้ฟัง ผมกำลังจะมีสะใภ้ กับไอ้ลูกชาย ที่ยังไม่ยอมโต
คนเป็นพ่อ เป็นแม่ คงรู้นะครับ แม้ลูกจะโตจนมีผัว มีเมีย แต่ ในความรู้สึกของพ่อ ของแม่ เขาก็ยังเป็นลูก ยังห่วงหา อาทร และเป็นลูกตุ้มที่หนักมหาศาล ถ่วงจิตใจพ่อแม่ ตลอดเวลา เพราะ ความรัก และห่วงใย ที่ไม่มีวันหมดสิ้น
ผมว่า ไม่ว่าใครต่อใคร ผู้ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า หรือต่ำต้อยเพียงต้นกระเพรา โหระพา อย่างผม อย่างคุณ..เรื่องรักลูก ไม้มีใครเหนือกว่าใครหรอกครับ
ไอ้ที่ทุ่มเท ทั้งชีวิต จิตใจ และพละกำลังที่โรยรา อ่อนแรง ตามสังขาร แม้ แก่ชรา ก็เพียงหวังให้ลูก ได้มีชีวิตที่ดี ดำรงค์ตนอยู่ในสังคมกับชาวบ้านอย่างกลมกลืน ไม่ได้หวังจะมาให้ดูแล ปรนนิบัติ ยามเฒ่าชะแร แก่ชรา แม้แต่น้อย
ประเภทว่า มึงช่วยตัวเองและครอบครัวให้ได้เหอะ ไมต้องมาดูแลช่วยเหลืออะไรกับ พ่อ แม่ หรอก นอกจากมีบำเหน็จบำนาญที่หลวงให้ประทังชีวิตแล้ว กูยังเหลือบำเหน็จตกทอดให้มึง หลายกระตังส์อีกด้วย
เอาเหอะ..ลูกใครก็ลูกมัน อย่าเอามาเปรียบเทียบกัน ลูกกูดี ลูกมึงแย่...คนละผัว คนละเมีย ก็คนละลูกอยู่แล้ว ..
ไอ้อ๋อย เพื่อนผม ทนายเพื่อชีวิต ผู้ล่วงลับ ฝากลูกสาวสองคนให้ผมดูแล แม้จะไม่เกเรเกตุง ถึงขั้นเรียนไม่จบ แต่เพื่อนอีกคนที่เสวนากันประจำ ชอบอวดผลการเรียน และความดีของลูกเวลากินเหล้า
3 ปีทีแล้ว ก่อนไอ้อ๋อยเสียชีวิต ผมห้ามทัพเกือบไม่ทัน เมื่อไอ้คนมีลูกดี บอก...มึงต้องอย่างโน้น ต้องอย่างนี้
ไอ้อ๋อย..ในอารมณ์ไหนไม่รู้บอก..ถ้าอย่างนั้น ลูกมึงดี พันธุ์มึงดี มึงเอาเมียมึง มาลองผสมพันธุ์กับกูสักที...เผื่อกูจะมีลูกดี ๆ อย่างมึงบ้าง
เท่านั้นแหละครับ...วงเหล้าเดือดจนทะลุร้อยองศา ดีว่า..คู่กรณีเป็นเพื่อนพ้องที่ไว้ใจ ถึงขั้นริบกระเป๋าตังส์เก็บ ถ้าอีกฝ่ายเมาจนโอเวอร์ ไม่อย่างนั้น คงเป็นข่าวหน้าหนึ่งไปแล้ว
แต่..ทีอยากเล่าสู่กันฟังวันนี้ ก็เรื่อง กุ้งหอย ปูปลา ครับ
บ้านริมน้ำลพบุรี ที่บางปะหันของครอบครัวผม อยู่ตรงทางสามแยกของสายน้ำ แม่น้ำลพบุรี มาจากทางเหนือจากอำเภอมหาราช
ห่างจากหน้าบ้านผมสัก 100 เมตร แม่น้ำลพบุรี ก็จะบรรจบกับคลอง เกาะเลี่ง ที่แยกมาจากแม่น้ำป่าสัก ก่อนจะหักข้อศอกขวา รวมกันลอดผ่านสะพานถนนสายเอเชีย ไปรวมกันกับแม่น้ำป่าสัก ที่ตลาดหัวรอ ในเมืองอยุธยา
สังเกตง่าย..ถ้าคุณผ่านถนนสายเอเชีย สะพานที่แม่น้ำลพบุรีลอดผ่านสายเอเชีย หน้าบ้านผม มีโรงแรมชื่อ เกาะพงษ์เพชร มองเห็นแต่ไกล
20 ปี ที่แล้ว ที่นี่ คือแหล่งปลาและ กุ้ง นา ๆ ชนิด อุดมสมบูรณ์จน ผู้คนเรียกแถบนี้ว่า หัวหาด เพราะเรือปลา จะมาขึ้นที่นี่
พรานเป็ด พรานกุ้ง แม้กระทั่ง การทิ้งโป๊ะ ริมตลิ่งแล้วใช้ข่ายล้อม แถบนี้ ขึ้นชื่อที่สุด ไล่ตั้งแต่ บ้านแพรก มหาราช จนถึงสามแยกแม่น้ำ อย่างที่ผมว่า
ปลากดตัวเขื่องสีเหลืองปนน้ำเงิน กระแหทองและตะเพียนสีเงินมันเต็มท้อง ปลาเบี้ยว ปลาเนื้ออ่อน และกุ้งแม่น้ำที่อวดก้ามโต ๆ เวลาจับ หรือแม้กระทั่งปลาลายเสือโคร่ง ที่ว่ายน้ำอวดลายตามริมตลิ่ง
แต่วันนี้..ผมนั่งสังเกตที่ชานริมน้ำ ดูสายน้ำเต็มตลี่ง หลังลอยกระทงแค่ 2 วัน ก่อนกลับอ่างทอง ผมไม่เจอ แม้กระทั่งปลาซิว ที่ผุดริมตลิ่ง
เรือหาปลาที่วิ่งทวนน้ำ ขึ้นไปทางมหาราช บ้านแพรก ที่เคยพลุกพล่าน ผมเห็นแค่ลำเดียว เกือบชั่วโมง ที่นั่งอยู่ชานริมน้ำ หน้าบ้าน
ปลาพื้นเมือง กำลังจะสูญพันธุ์...ขณะผืนนาบนที่ราบลุ่มภาคกลางหลายหมื่นไร่ ถูกสารเคมี ยาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมี แทรกซึมอยู่กับดินทุกเม็ด
บ้านญาติผู้ใหญ่ของที่บ้านผม อยู่ตอนบนของคลองเกาะเลี่ง ที่มีขนาดพอ ๆ กับแม่น้ำ คลองนี้ แยกมาจากแม่น้ำป่าสัก ก่อนข้ามมาบรรจบกับแม่น้ำลพบุรี ที่หน้าบ้านผม มีประตูน้ำขนาดใหญ่ ระดับใกล้เขื่อนขนาดเล็ก ที่ถนนพาดผ่าน น้ำจะเต็มคลองตลอดปี
เมื่อก่อน คลองเกาะเลี่ง มีปลาอุดมสมบูรณ์ ปลาสวายแม่น้ำขนาด 10 กิโลกรัมหรือแม้แต่ปลาเทโพ ปลากดเหลือง กดคัง ปลาสร้อย ปลาซ่า หาง่าย พรานเป็ด พรานข่าย วางขายกันริมทางเดิน
สัปดาห์ที่แล้ว..ผมข้ามไปบอกงานแต่งลูกชาย กับญาติ ๆ บอกเขาให้หาปลา ซื้อปลาให้บ้าง..
พี่สาวญาติผู้พี่ของที่บ้าน ชี้ให้ดูน้ำในลำคลอง เกาะเลี่ง บอก...หอยเชอรี่ ยังอยู่ไม่ได้เลย
น้ำในคลองเกาะเลี่งเป็นสีดำ ดำแบบเงียบสนิท ไม่มีระลอกคลื่นจากการผุดว่ายของปลาให้ได้เห็นเลยครับ
ปลายเดือนที่แล้ว ทีผมกลับไปท่องอีสานบ้านเกิด น้อง ๆ ผม มีปลาดุกนา ปลาหมอ กบและหอยโข่ง มาเผา และทำ “ป่น” แกล้มผักสด ตามแบบอีสาน เกือบทุกมื้อ
ทุก ๆ เช้า ทุกบ้าน จะออกไป “ยามหลุม “ ได้ปลาดุกตัวงาม ๆ กำลังมัน บางเจ้า ไป”ยามลี่” หรือลี ที่เปิดช่องให้น้ำไหลผ่านแล้วใช้ถุงข่ายดักตรงปลายให้ปลาเข้า กลับมาแบ่งปันกันไม่เคยขาด เหลือทำปลาแดก ไว้กินอีกทุกวัน
ไอ้จ่อย น้องผมคนหนึ่ง ที่เคยเล่าให้ฟัง พูดแบบติดตลกในวงเหล้าว่า เมื่อวาน มันลื่นคันนา จนหำกระแทกดินต้องไปให้หมอคลำ
อีกคนบอก ไอ้บ้า หน้านี้ไม่มีฝน คันนาจะลื่นได้ยังไง
ไอ้ตัวแสบบอก..ใครบอกมึง ว่ากูลื่นดิน กูเหยียบไส้เดือนลื่นโว้ย...ปีนี้ ไส้เดือนเยอะชิบหายเลย
ชาวนาที่อีสานบ้านผม...ทุกวันนี้ ลดการใช้สารเคมีลงมากเลยครับ ไม่ใช้ยาฆ่าหญ้า หันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์
ที่สำคัญ..ไม่ฉีดยาฆ่าแมลง หากไม่จำเป็น ไส้เดือน หนึ่งในตัวบ่งชี้คุณภาพดิน เยอะขนาด ไอ้จ่อย ลื่นล้ม มากหรือน้อย คิดดูเถอะ
ในน้ำจึงมี หอย ปู ปลา ค่อนข้างสมบูรณ์..เสียดาย ผมกลับมา ก่อนที่จะได้กิน “ปลาข่อน” ก้อยปลาซิวกับมดแดง แกล้มตำบักหุ่ง อาหารโปรด
ราคาข้าวกำลังเป็นปัญหา... พี่น้องผม ที่อีสาน แม้จะได้รับผลกระทบ แต่ก็ไม่ลำบาก ถึงขนาด ต้องขนข้าวเปลือก ไปเป็นค่าหน่วยกิต แทนเงิน อย่างที่ ด้อกเตอร์สมองควายและนักเคลื่อนไหวโหนกระแสออกมาเสนอ
ผมว่า ไอ้ทีมีปัญหาน่ะ ส่วนหนึ่ง มาจากการลงทุนด้วยสารเคมี ที่ไร้ขีดจำกัด ทารุณกรรมแผ่นดิน จนไม่มีเวลาพักผ่อน
วันก่อน ผมผ่านไปโรงเรียนเก่า ที่ทำสัญญาให้กลับไปทำงานบางอย่างอีก 10 เดือน หลังจากย้ายออกมาตั้งแต่ปี 2534
พี่น้องชาวนาภาคกลาง กำลังไถกลบตอซังข้าว ที่เพี่งเก็บเกี่ยวเสร็จ เพื่อปลูกข้าวครั้งที่ 2 และจะมีครั้งที่ 3 อีก 4 เดือนข้างหน้า
ค่าน้ำมัน ค่าหว่าน ค่ายา ค่าปุ๋ย ค่าเกี่ยว ค่าฉีดพ่นยา ค่าขนส่ง กับราคาข้าวปัจจุบัน มันขาดทุน ตั้งแต่คิดจะทำแล้ว
ที่ตามมา...กุ้งหอย ปู ปลา อาหาหลักของชาวนา ถูกสารเคมี ทำลายจนไม่มีให้เห็น ต้องซื้อมาม่ากับชาเขียวและกระทิงแดง คาราบาวแดง กินแก้เพลียกันแล้ว
ไม่ขาดทุนวันนี้ แล้วจะขาดทุนเมื่อไหร่ล่ะครับพี่น้อง.....
พรุ่งนี้ ผมจะไปวัด กราบหลวงพี่ที่เคารพนับถือ ไม่ได้ไปทำบุญกฐินหรือผ้าป่ามหากุศล 20-30 ล้าน อย่างที่บางวัดและลูกศิษย์ออกมาคุยอวดกัน
ผมจะไปกราบนิมนต์ให้หลวงพี่ งดเทศน์เรื่องขึ้นสวรรค์ ลงนรกสักวัน...แต่จะกราบนิมนต์ให้เทศน์เรื่อง การงดสารเคมีในผืนนาสักเดือนครับ
เรื่องนี้...ถึงขั้นต้องพึ่งพระแล้วล่ะ...
โฆษณา