8 ธ.ค. 2020 เวลา 11:30 • ธุรกิจ
ความฉลาดทางด้านอารมณ์จะมีความสำคัญมากขึ้นกว่าทุกยุคที่ผ่านมา
2
ในการทำงาน ไม่ว่างานที่ทำอยู่หรือโปรเจกต์ของคุณจะประสบความสำเร็จขนาดไหน แต่องค์ประกอบสำคัญ ที่ขาดไปไม่ได้ในการส่งให้คุณไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือ ความฉลาดทางอารมณ์(Emotional Intelligence) เราทุกคนน่าจะเข้าใจกันอยู่แล้วว่าเป็นสิ่งสำคัญในการทำงานยุคปัจจุบัน ยิ่งถ้าหากเรามองภาพไปถึง วิธีคิดของการทำงานในอนาคต(Future of Work) ด้วยแล้ว บอกได้เลยว่าทักษะของ ความฉลาดทางอารมณ์ นั้นยิ่งมีความสำคัญ
11
ในงานเขียนชิ้นหนึ่งของ Ryan Jenkins ใน Entrepreneur.com ที่ชื่อว่า 5 Reasons Why Emotional Intelligence Is the Future of Work ได้พูดถึงประเด็นเรื่องของอารมณ์และความรู้สึกไว้ได้อย่างน่าสนใจว่า
4
ไม่ว่าจะสงคราม หรือสันติภาพ หรือแม้กระทั่งความสงบสุขที่อยู่ภายในก็มาจากเรื่องของอารมณ์ทั้งสิ้น แต่ถ้าว่ากันด้วยเหตุและผลแล้วการไม่เกิดสงครามเป็นเรื่องดีกับทุกฝ่าย แต่เมื่อมีเรื่องของศักดิ์ศรีเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว การยอมแพ้ก็กลายเป็นเรื่องของการเสียหน้า ความรู้สึกไม่อยากยอมแพ้ กลัวเสียศักดิ์ศรี กลัวเสียหน้า เหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของอารมณ์ด้วยกันทั้งสิ้น
1
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ความเหงา ความเครียด และปัญหาสุขภาพจิตเป็นประเด็นที่ใหญ่มากๆ แล้วคนที่มีปัญหาในเรื่องพวกนี้ก็มักจะส่งผลค่อนข้างชัดเจนต่อการทำงานเป็นทีม
2
“Ariatotle Initiative” โปรเจกต์วิจัยของ Google ได้ทำการสำรวจองค์กร และสรุปปัจจัยที่ทำให้ทีมงานสามารถทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ออกมาเป็น 3 ข้อ ดังต่อไปนี้
2
1) ทุกคนในทีมต้องเข้าใจถึง Social Connection Social Sensitivity คือ มีความเข้าใจว่าสิ่งที่ตัวเองพูด หรือทำไปนั้นกระทบกับอีกคนอื่นๆ ในทีมยังไง
4
2) มีบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ทุกคนในทีมสามารถพูดหรือมีความเท่าเทียมกันในการเสนอไอเดียได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกลงโทษหรือถูกตำหนิ
2
3) ทีมที่ดีต้องมี Psychological Safety (ความปลอดภัยทางจิตใจ) คือ คนในทีมต้องรู้สึกได้ว่าอยู่ในทีมนี้แล้วปลอดภัยมีคนคอยหนุนหลัง มีคนคอยให้กำลังใจ
9
สามข้อข้างต้นถือได้ว่าเป็นองค์ประกอบหลัก ที่สำคัญอย่างมากในทีมที่ประสบความสำเร็จ โดยงานวิจัยของ limeade institute ที่ตีเผยแพร่ในชื่อ The Science of Care ก็ได้ปล่อยข้อมูลที่สนับสนุนเรื่องนี้เช่นกัน โดยระบุว่า”พนักงานหรือทีมงานที่ได้อยู่ในองค์กรที่รู้สึกว่าองค์กรแคร์เขา มีโอกาสที่พนักงานคนนั้นจะแนะนำบริษัทให้กับเพื่อนที่คิดว่ามีความสามารถ มาทำงานมากขึ้นถึง 10 เท่า และมีโอกาสมากกว่า 9 เท่า ที่จะทำงานกับองค์กรนั้นนานกว่า 3 ปี เมื่อเทียบองค์กรอื่นๆ มีความอินในการงานมากกว่า 7 เท่า และมีโอกาส Burnout น้อยกว่าถึง 4 เท่า
5
ดังนั้น คำว่า Emotional Intelligence ในการทำงานหรือสร้างทีม ต้องมาจากตัวผู้นำก่อนเป็นอันดับแรก และต้องถูกนำมาทำให้เกิดขึ้นจนเป็นวัฒนธรรมองค์กร และนี่คือเหตุผล 5 ข้อที่จะบอกว่าทำไม “ความฉลาดทางด้านอารมณ์ถึงเป็นส่วนสำคัญของการทำงานในอนาคต”
1. Deep human Needs | เป็นความต้องการเชิงลึกของมนุษย์ :
3
เรื่องของ Deep Human Need ถ้าว่ากันตามทฤษฎีของ Abraham Maslow มนุษย์เรานั้นมีความต้องการพื้นฐาน สามอย่าง อันได้แก่ 1)Survival 2)Belong 3)Become คือ อยู่รอดกินอิ่มนอนหลับ ได้รับการยอมรับในกลุ่มในสังคม เรียนรู้เติบโตเพื่อเป็นคนที่ดีขึ้นในแบบของตัวเอง
9
ในพาร์ทของ Belong (การได้รับการยอมรับ และรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่ง) ถือว่ามีความสำคัญอย่างมากกับองค์กรยุคปัจจุบัน การออกแบบองค์กรให้คนรู้สึกว่าอยู่ที่นี่แล้วมีความเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ
7
2. Technology will enhance humanity | ในยุคเทคโนโลยีเราต้องการความเป็นมนุษย์มากขึ้น :
1
การพัฒนาของเทคโนโลยีนั้นเรียกได้ว่าเป็นไปตามกฏของมัวร์ (Moore's Law) และจะทบขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ยิ่งเทคโนโลยีมีการพัฒนามากขึ้นเท่าไหร่ ความเป็นมนุษย์ก็ควรที่จะต้องถูกใส่เข้าไปมากขึ้นเท่านั้น เช่น ในเรื่องของการแพทย์แม้ว่าในวันข้างหน้า AI อาจจะวินิจฉัยโรคเก่งกว่าคุณหมอ แต่เมื่อต้องแจ้งข่าวเกี่ยวกับอาการไม่ว่าจะทางร้าย หรือดียังไงคุณหมอก็สื่อสารได้ดีกว่า มีความเป็นมนุษย์มากกว่า
7
ทำให้ในอนาคตคุณหมอที่เก่งที่สุดอาจจะไม่ใช่หมอที่วินิจฉัยเก่งที่สุด แต่เป็นคุณหมอที่เข้าใจคนไข้มากที่สุด
9
3. Work and life blending | งานและชีวิตจะถูกรวมเข้าด้วยกัน :
1
อย่างช่วงโควิทหลายบริษัท ให้พนักงานทำงานจากที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ ทำให้หลายคนก็น่าจะรู้สึกแล้วว่าชีวิตกับงานจะเริ่มถูกผสมถูกรวมเข้าด้วยกันมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ ในวันข้างหน้า ซึ่งเรื่องนี้ความฉลาดทางด้านอารมณ์มีผลอย่างมาก
4
สมมุติว่าเรากำลังเศร้า เครียด ไม่ว่าจะเรื่องอะไร แล้วเกิดต้องเข้าออฟฟิศ เชื่อว่าเกือบทุกคนไม่สามารถสวิตซ์อารมณ์ให้ดีขึ้นได้ในทันที ดังนั้น อารมณ์มันจึงตามไปกับเราในทุกที่ แต่กลับกันคนที่มีความ ฉลาดทางด้านอารมณ์ แม้ว่าจะไม่สามารถสวิตซ์อารมณ์ได้ในทันที แต่ก็จะไม่ส่งพลังลบให้กับคนอื่นๆ (แน่นอนว่าเรื่องนี้ส่งผลต่อการทำงานของทีมโดยภาพรวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้)
2
4. Evolving employer-employee relationship | ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับพนักงาน :
1
ในอดีตเราทำงานตอกบัตรรับเงินค่าจ้างแล้วกลับบ้าน แต่ทุกวันนี้มันไม่ใช่แบบนั้นอีกต่อไปแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่าง Employer (ผู้จ้าง-บริษัทผู้ว่าจ้าง) กับ Employee (พนักงาน) มันถูกขยายออกไปมากกว่าแต่ก่อน ด้วยความที่ทุกวันนี้บริษัทหรือองค์กรเป็นที่ที่คนส่วนใหญ่ใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุด ความรู้สึกจึงไม่ใช่เป็นการทำงานตอกบัตรอีกต่อไป มันมีความรู้สึกของความเป็นมนุษย์ด้วยกันทั้งคู่ องค์กรที่สามารถบริหารจัดการความสัมพันธ์ในเรื่องนี้ได้ จะทำให้องค์กรมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น
5
5. Generation Z demands it | คนยุคใหม่ต้องการมัน
หลายบริษัทกำลังพยายามทุกวิธีทางเพื่อปรับตัวให้เข้ากับความต้องการทางด้าน Emotional ของคนทำงานใน Gen Z มากขึ้น (ช่วงอายุ 18-25 ปี) เพราะคนกลุ่มนี้จะกลายมาเป็นคนทำงานหลักในอนาคต ซึ่งจากข้อมูลของ The National Institute of Mental Health พบว่าคน Gen Z มีโอกาสมีปัญหาเรื่องสุขภาพจิตมากกกว่ากลุ่มอื่น โดย 73% ของการสำรวจพบว่าคน Gen Z มีความรู้สึกเหงาในบางครั้ง หรือตลอดเวลา และตามรายงานของ The Center for Generational Kinetics' 2020 ก็พบว่า คน Gen Z ต้องการหัวหน้าหรือเจ้านายที่มีความ empathetic มากขึ้น (ความเห็นอก-เห็นใจ)
4
ฉะนั้นถ้าเกิดว่าองค์กรต้องการที่จะทำงานร่วมกับ Gen Z ให้ดีและมีประสิทธิภาพ องค์กรต้องเข้าใจถึงเรื่องสภาวะจิต สภาพแวดล้อมที่ทำงาน และเรื่องของ Emotional Interlligence เพราะฉะนั้นการ Design Work (การออกแบบเรื่องการทำงาน)ในอนาคตมันจะต้องถูกเปลี่ยนใหม่หมดทุกอย่าง และไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป…
3
โฆษณา