6 ธ.ค. 2020 เวลา 13:45 • นิยาย เรื่องสั้น
[ เรื่องเล่าชมรมศิลป์ SPECIAL ]
4
EP.3 : House of Stairs Part lV - Endless Staircase
 
สวัสดีครับ…ผ่านไป 1 เดือน กับอีก 1 สัปดาห์ จากเรื่องราวครั้งก่อน แต่ในโลกเหนือจริงที่อาร์ตและซายน์หลุดเข้าไป เวลายังคงหยุดอยู่ที่เดิม ได้เวลากลับมาผจญภัยกับทั้งคู่กันต่อแล้ว...ขออภัยที่ให้รอนานนะครับ
ความเดิมตอนที่แล้ว : ตั้งแต่ที่ผมและซายน์เดินทางมาถึง House of Stairs ดูเหมือนหนทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยปริศนาและไม่มีอะไรที่เป็นเหมือนตาเห็น
การปรากฎตัวของนักเวทย์ผู้หยั่งรู้เผยให้เรารู้ว่าแท้จริงแล้วสถานที่แห่งนี้คือหนึ่งในสำนักของ เฮอร์มิส ทริสเมจิสตัส ปราชญ์ในตำนานผู้บันทึกความรู้แห่งจักรวาลในจารึกมรกต
หนทางเดียวที่จะออกจากที่นี่ได้ คือการไขพันธกิจแห่งศาสตร์ทั้งสาม และหนึ่งในสิ่งของที่นักเวทย์ให้เลือก อาจจะเป็นกุญแจสำคัญสู่ทางออก
"เราไม่สามารถบอกท่านได้ แต่สิ่งของเบื้องหน้านี้อาจจะเป็นประโยชน์กับการเดินทางของท่าน...หากเลือกถูกต้อง หนทางข้างหน้าก็จะเปิดออก"
 
สิ้นเสียงของนักเวทย์ วัตถุบนแท่นหินทั้งสี่อย่าง จอกน้ำ เหรียญ ดาบ และคทา ล้วนเปล่งประกายวาววับ ราวกับกำลังอวดอ้างตนให้เลือกหยิบ
 
"อาร์ต ซายน์ว่าเลือกดาบดีมั้ย ดูน่าจะมีประโยชน์ที่สุดนะ ข้างหน้าไม่รู้จะเจอกับอะไรบ้าง อย่างน้อยก็เอาไว้ป้องกันตัวได้ หรืออย่างน้อยก็เหรียญมั้ยเผื่อว่าจะต้องใช้แลกเปลี่ยนอะไร"
 
ซายน์กระซิบอยู่ข้างหลังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น หากคิดตามที่ซายน์บอก ก็ฟังดูเหมือนจะเป็นเหตุเป็นผลดี แต่สัญชาตญาณบอกกับผมอีกแบบ
 
"ซายน์...ซายน์เชื่ออาร์ตมั้ย"
ผมมองตรงเข้าไปในตาของเธอ ดวงตาคู่นั้นหลบวูบ ก่อนจะมีเสียงพึมพำเบา ๆ ที่แทบจะไม่ได้ยิน
 
"อือ"
 
คำตอบเพียงเท่านี้ที่ผมต้องการ ผมยิ้มกว้างก่อนจะพูดต่อ
"งั้นอาร์ตขอเป็นคนเลือกนะ..."
ผมเดินตรงไปที่แท่นหิน ซายน์เดินตามมาติด ๆ  เมื่อถึงแท่น ผมเอื้อมมือไปแตะคทา ที่ดูเผิน ๆ เหมือนไม้เท้ามอซอ
 
"พวกเราขอเลือกสิ่งนี้ครับ"
 
"จงเป็นไปตามความปรารถนาของท่าน"
 
สิ้นเสียงของนักเวทย์ วัตถุชิ้นอื่น ๆ ก็หายวับไป ทันทีที่ผมหยิบคทาขึ้นมา แท่นนั้นก็สั่นสะเทือนและลดตัวลงกลายเป็นพื้นดังเดิม
สีหน้าของซายน์ฉายแววตื่นตระหนกเล็กน้อย อะไรบางอย่างในสีหน้านั้นดลใจให้ผมพูดออกไปแบบไม่ทันคิด
 
"ถึงจะไม่มีดาบ แต่อาร์ตจะคอยปกป้องซายน์เอง ไม่ต้องห่วงนะ"
 
ผมยิ้มกว้างให้เธอ เพื่อกลบเกลื่อนความอายที่ผุดขึ้นมาในใจ ประโยคเชย ๆ แบบนี้มีแต่พระเอกในนิยายเท่านั้นแหละที่พูด
2
ตั้งแต่ตอนอยู่บนหลังนกซีเมิร์กนั่นแล้ว ดูเหมือนความรู้สึกจากช่วงเวลาเก่า ๆ ตอนที่เราเคยสนิทกันจะหลั่งไหลออกมาจากหีบที่ปิดผนึกไว้ในใจมานานแสนนาน
 
‘แบร่’ ลิ้นที่แลบออกมายาวยื่นของอีกฝ่ายด้วยอาการหมั่นไส้ เตะความคิดฟุ้งซ่านของผมออกไปไกลลิบ ความรู้สึกขำปนเอ็นดูผุดขึ้นมาแทน…นี่แหละซายน์ที่ผมรู้จัก จะผ่านไปกี่ปีเธอก็ยังเป็นซายน์คนเดิมที่ไม่เคยยอมอะไรง่าย ๆ
1
จู่ ๆ นักเวทย์ก็ยกแขนขึ้นชี้มายังด้านหลังของเรา พร้อมกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบ ๆ
 
“ประตูนั้น...ด้านหลังของพวกท่าน บานเดียวกับที่เดินเข้ามา ท่านจงเดินกลับไปทางเดิม”
 
“อะไรนะ ฿#’…*¥;¥&%฿;[;{:’…*¥:฿&…”
 
เสียงแหลมแสดงความไม่พอใจของเพื่อนร่วมทางเลือดร้อนดังขึ้น ผมที่สังเกตท่าทีของซายน์มาตั้งแต่แรก รีบเอื้อมแขนมาล็อคคอพร้อมปิดปากเธอไว้ไม่ให้หลุดคำพูดร้อน ๆ ออกมา นี่แหละนะ…นิสัยที่แก้ไม่หายตั้งแต่เด็กจนโต ซายน์ตัวจริงโมโหขึ้นมาเมื่อไร อารมณ์ขึ้นไวยิ่งกว่าไฟเออร์
 
“ขอบคุณท่านนักเวทย์มากครับ”
 
ผมรีบเอ่ยขอบคุณพร้อมค้อมศีรษะให้กับชายผู้หยั่งรู้ พร้อมกึ่งลากกึ่งเดินไปยังประตูพร้อมกับซายน์อย่างทุลักทุเล เพราะไม่แน่ใจว่าหากปล่อยมือเมื่อไรเธอจะหลุดอะไรออกมาบ้าง คราวนี้แหละที่เราอาจจะถูกสาปเข้าจริง ๆ
3
ก่อนที่เราจะไปถึงประตู แสงสีฟ้าก็สว่างวาบออกมาจากช่องเปิดนั้น ขาทั้งสองคู่ของเราชะงักพร้อม ๆ กับเสียงกังวานจากทิศทางที่นักเวทย์ยืนอยู่
 
“จงจำให้ดี…ดังที่ปรากฎในจารึกมรกต”
 
เราทั้งสองหันขวับกลับไปแต่พบว่าร่างของเขากำลังค่อย ๆ เลือนหายไปในแสงสีฟ้าที่ห่อหุ้มร่างและส่องประกายระยิบระยับ มือของผมละพันธนาการจากซายน์ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ แต่เธอเองก็คงตะลึงไม่แพ้กันจึงไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดรอดออกมา
 
“And as all things have been
and arose from one
by the mediation of one:
so all things have their birth
from this one thing by adaptation.
จุดกำเนิดของสรรพสิ่งนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว
ณ หนทางที่มาบรรจบ ท่านจะพบกับประตูที่พาไปสู่จุดหมายต่อไป ขอให้แสงสว่างแห่งท่านเฮอร์มีส ทริสเมจิสตัส จงสถิตอยู่กับท่าน”
 
ทันทีที่สิ้นเสียงของนักเวทย์ ร่างนั้นก็หายวับไปในอากาศ ประหนึ่งไม่เคยมีอยู่มาก่อน
1
เมื่อมองสำรวจรอบ ๆ ก็พบว่าแต่ความว่างเปล่า มีเพียงคทาที่ได้รับมาเป็นหลักฐานยืนยันเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นและจบลงตรงหน้า…นี่คงเป็นเพียงอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นที่รอเราอยู่ ผมนึกถึงคำพูดทิ้งท้ายของนักเวทย์ก่อนที่จากไป
 
“And as all things have been
and arose from one
by the mediation of one”
 
เสียงของซายน์ดังขึ้นราวกับอ่านใจผมได้
 
“So all things have their birth
from this one thing by adaptation”
 
ผมพูดต่อประโยคให้จบ
 
“อืม ถึงจำได้ก็ใช่ว่าจะเข้าใจอยู่ดี ประโยคนี้จะสื่อถึงอะไรนะอาร์ต มีแต่ปริศนาเต็มไปหมดเลย”
 
สีหน้าเหนื่อยหน่ายและคิ้วขมวดยู่ยี่ของซายน์ ทำเอาผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้
ไม่ผิดแน่ นี่คือข้อความในจารึกมรกตส่วนที่ต่อจากจุดเริ่มต้น As above, so below…สิ่งที่อยู่เบื้องล่างย่อมเหมือนสิ่งที่อยู่เบื้องบน และสิ่งที่อยู่เบื้องบนย่อมเหมือนสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง และสรรพสิ่งล้วนมีจุดกำเนิดเพียงหนึ่งเดียว
 
หรือสิ่งที่เราต้องตามหาจะเป็นสิ่งนั้น…นี่เราคงจะไม่ได้อยู่ในโลกของแฮรี่ พอตเตอร์แบบที่ซายน์เคยพูดหรอกนะ
1
แต่จะกังวลตอนนี้ก็ดูจะไม่มีประโยชน์ ทางเดียวที่จะรู้ได้คือเดินหน้าต่อไป
ผมยื่นมือให้เธอโดยสัญชาตญาณ
 
“ไปกันเถอะซายน์”
 
ร่างเล็กที่เคยดูขึงขังมุทะลุ ตอนนี้กลับดูนิ่งไปจนผมแปลกใจ
 
“เร็วสิ เราต้องเดินกลับไปในอุโมงค์อีกนะ”
 
ความคิดที่ว่าจะต้องกลับไปอยู่ในความมืดอีกครั้งทำให้ผมแอบใจแป้วเล็ก ๆ เหมือนกัน แต่อย่างน้อยการที่มีซายน์อยู่ด้วยก็ทำให้เรื่องทั้งหมดนี้ไม่แย่จนเกินไป
1
ทันทีที่เราก้าวเข้ามาก็ต้องหยุดชะงักด้วยความประหลาดใจ เพราะอีกด้านหนึ่งคือประตูทางออกที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่เกินห้าก้าว แม้ว่าเราจะกลับออกมาทางเดิมแต่ทางเดินภายในนั้นกลับดูต่างจากเดิมไปโดยสิ้นเชิง ราวกับตึกนี้มีชีวิตและสร้างแผนผังใหม่ด้วยตัวเอง
 
“นี่มันอะไรกันนี่”
 
ซายน์บ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงงงงวย รู้ตัวอีกทีผมก็พบว่าตัวเองยืนอยู่คนเดียวซะแล้ว มีเพียงหลังไว ๆ ของซายน์ที่กำลังเดินจ้ำอ้าวไปยังประตูฝั่งตรงข้าม ผมแอบขำพรืดในความใจร้อนสม่ำเสมอของสาวร่างเล็กคนนี้ก่อนจะรีบเดินตามเธอไป ซายน์พยักเพยิดส่งสัญญาณให้รู้ ว่าประตูไม่ได้ล็อก พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เจือความตื่นเต้น
 
“พร้อมมั้ย”
 
“อืม” ผมตอบรับเบา ๆ ถึงจะพร้อมหรือไม่พร้อม ใช่ว่าเธอคนนี้จะฟังซะเมื่อไรล่ะ
2
ประตูค่อย ๆ เปิดออกตามแรงผลักของซายน์ เธอตื่นเต้นเสียจนไม่รอให้ผมช่วยด้วยซ้ำ ซายน์ชะโงกหน้ามองออกไปแวบหนึ่งก่อนจะผลุบเข้ามาพูดกับผมด้วยแววตาตกใจ
 
“อาร์ต นี่มัน”
 
“มีคนเดินอยู่เยอะเลยใช่มั้ย”
 
“ใช่ รู้ได้ไง”
 
ผมนึกทวนภาพที่อยู่ในใจ แม้จะเคยเห็นภาพนี้มาหลายต่อหลายครั้งแล้วเพราะเป็นหนึ่งในผลงานที่เด่นที่สุดของเอชเชอร์ แต่ไม่มีครั้งไหนที่ภาพจะแจ่มชัดในความคิดเท่านี้ ในที่สุดผมก็จะได้เห็นของจริงที่ยิ่งกว่าจริง เพราะในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่อยู่ด้านนอกนั้นคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้…เว้นเสียแต่ในโลกนี้
 
“หึหึ ซายน์ลืมแล้วเหรอ ที่อาร์ตบอกไปก่อนหน้านี้ไงว่าสถานที่ต่อไปจะเป็นบันไดที่ทำให้ต้องเดินวนขึ้นลงอยู่แบบนั้นหาทางออกไม่ได้ ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่สุดในภาพ Ascending and Descending ของเอชเชอร์”
 
“อาร์ต ซายน์จำได้แน่นอนอยู่แล้วสิ แต่อาร์ตบอกว่ามีแค่บันไดนี่ แล้วคนมาจากไหนเต็มไปหมด”
 
“อาร์ตว่าซายน์เดินออกไปเถอะ พวกเขาไม่สนใจเราหรอก เชื่อสิ”
1
ในที่สุดซายน์ก็ตัดสินใจเปิดประตูอีกครั้งพร้อมก้าวออกไป ทันทีที่ผมผลุบตามเธอออกมา ประตูนั้นก็เหวี่ยงปิดและหายวับไปกับตา เหลือเพียงผนังปูนเปล่า ที่มีเราสองคนยืนงงอยู่ตรงหน้า สายตาละห้อยของซายน์ดูเหมือนเด็กที่ถูกริบขนมไปต่อหน้าต่อตา
 
“ซายน์คิดว่ายังไง”
 
ผมลองถามหยั่งเชิง นับตั้งแต่วินาทีแรกที่เราก้าวเท้าเข้ามาในโลกแปลก ๆ นี้ สิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้เลยคือ ไม่มีอะไรเป็นเหมือนที่ตาเห็น
 
“ซายน์ว่าทางออกจากที่นี่คงไม่ใช่ประตูนี้หรอก มันธรรมดาเกินไป”
 
น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวของซายน์ คือสิ่งเดียวที่ผมคาดว่าจะได้ยิน และผมก็คิดไม่ผิด
 
เรามองสำรวจบริเวณรอบ ๆ จากจุดที่ยืนอยู่นี้คือชั้นบนสุดของอาคาร เบื้องหน้าคือบันไดที่เรียงตัวมาชนกันเป็นสี่เหลี่ยม ทุก ๆ ขั้นมีระยะความสูงที่เท่ากันแต่กลับมาบรรจบกันได้โดยไม่ได้สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่อย่างใด
 
จะว่าไปแล้ว มันคือการวนอยู่ที่เดิมไม่รู้จบ
และที่อยู่บนบันไดนั้นคือเหล่าชายในชุดนักบวช เช่นเดียวกับชายปริศนาสองหัว และนักเวทย์ก่อนหน้านี้ ฝีเท้าทุกคู่ก้าวเดินเป็นจังหวะเดียวกัน แบ่งเป็นสองแถวสวนทางกันโดยไม่มีหยุดพัก ฝั่งหนึ่งเดินขึ้น อีกฝั่งเดินลง วนเวียนไม่มีสิ้นสุด
1
เสียงของบทอาขยานที่แผ่ว ๆ มาในอุโมงค์ที่เราได้ยินก่อนหน้านี้ คือเสียงสะท้อนของนักบวชเหล่านี้นี่เอง และเช่นเดียวกับที่ผมคิด ไม่มีใครสักคนที่สนใจสิ่งอื่นรอบตัว รวมถึงคนแปลกหน้าอย่างผมและซายน์
 
ซายน์พึมพำกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า
 
“เป็นไปได้ยังไงอาร์ต เดินสวนกันคนละทางแท้ ๆ แต่ทั้งสองแถวก็ยังเดินวนไปมา บนบันไดเดียวกันเนี่ยนะ?”
 
“ซายน์ลองมองขั้นบันไดดี ๆ สิ”
ผมเล่าให้เธอฟังถึงสิ่งที่เคยเอ่ยไปก่อนหน้านี้เรื่องบันไดเพนโรส ซึ่งเป็นอันเดียวกับที่ปรากฎในหนังเรื่อง inception ทันที่ที่เอ่ยชื่อของท่านเซอร์ โรเจอร์ เพนโรส นักคณิตศาสตร์รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ดวงตาของซายน์ก็ดูมีประกายขึ้นมา
 
“…ไม่นึกว่าจะมาอยู่ใน House of Stairs ของเอชเชอร์ด้วยนะเนี่ย”
 
ผมอมยิ้มในความสนใจของสาวนักวิทย์ คงมีเพียงผลงานศิลปะที่สร้างตามหลักของคณิตศาสตร์ที่ดึงดูดใจเธอได้กระมัง
 
“อันที่จริงผลงานของโรเจอร์ เพนโรส เป็นไอเดียสำคัญในการสร้างภาพนี้ของเอชเชอร์นะ หรือจะพูดให้ถูกคือต่างคนต่าง inspire ซึ่งกันและกัน”
 
ดวงตาวาบวับของซายน์ที่ตั้งใจฟังกว่าทุกที เป็นสัญญาณให้ผมเล่าต่อ
“จุดเริ่มต้นนี้เกิดขึ้นในปี 1954 ตอนนั้นโรเจอร์ เพนโรส ซึ่งเป็นนักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้เดินทางไปร่วมงานประชุมวิชาการด้านคณิตศาสตร์ระดับนานาชาติที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ในช่วงเวลาที่อยู่ที่นั่น เขาได้ไปเยี่ยมชมงานนิทรรศการเดี่ยวของเอชเชอร์ที่ Stedelijk Museum ซึ่งจัดแสดงอยู่ในตอนนั้น
 
งานของเอชเชอร์สร้างความประทับใจให้กับเพนโรสมากเสียจนเขาเริ่มวาดภาพลวงตาทั้งสองมิติ และสามมิติของ ‘วัตถุที่เป็นไปไม่ได้’ ขึ้นมาด้วยตัวเอง ร่วมกับไลโอเนลพ่อของเขาผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุศาสตร์และคณิตศาสตร์ จนตีพิมพ์ในวารสารทางวิทยาศาสตร์ด้านจิตเวชวิทยา หนึ่งในนั้นคือภาพบันไดที่ขึ้นและลงโดยไม่สิ้นสุด”
1
“ซึ่งก็คือบันไดบนตึกนี้ใช่ไหมอาร์ต”
ซายน์เอ่ยขึ้นขณะที่จ้องมองไปยังภาพที่กำลังเกิดขึ้นจริงเบื้องหน้า
 
“ใช่แล้วล่ะซายน์ เหตุการณ์ต่อจากนั้นคือ มีใครสักคนส่งวารสารนี้ให้กับเอชเชอร์ คราวนี้เป็นตาของเอชเชอร์ที่เป็นฝ่ายประทับใจกับบันไดเพนโรสมาก จนเกิดไอเดียการสร้างภาพ Ascending and Descending นี้ขึ้นมาในช่วงปลายปี 1959
และในปีถัดมา จดหมายฉบับหนึ่งก็ถูกส่งไปถึงเพนโรสด้วยข้อความขอบคุณ พร้อมภาพพิมพ์ที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว”
ซายน์ที่นั่งฟังเงียบ ๆ มาตลอด ดูมีสีหน้าครุ่นคิดอย่างบอกไม่ถูก และเมื่อเธอเอ่ยปากขึ้นมาก็เป็นคำถามที่ผมไม่คาดคิด
 
“แล้วเราจะทำยังไงกันต่อดีอาร์ต ต้องไปเดินกับพวกเขามั้ย”
[ To be continued ]
สวัสดีครับทุกคน 💙
 
มาถึงตอนที่ 3.4 ของซีรีส์ชมรมศิลป์นอกเวลา ตอนพิเศษ ที่เขียนร่วมกันกับเรื่องเล่าชมรมวิทย์นอกเวลากันแล้วนะครับ ยังมีภารกิจที่รออาร์ตและซายน์อยู่ข้างหน้า โปรดติดตามและเอาใจช่วยกันต่อไปนะครับ
สำหรับตอนนี้ขอเชิญให้อ่านเรื่องราวอีกมุมหนึ่งของตัวละคร ‘ซายน์’ ได้ที่เพจ EveryGreen หรือคลิกที่ลิงค์ข้างล่างนี้ได้เลยครับ :) 👇
โฆษณา