8 ธ.ค. 2020 เวลา 03:49 • นิยาย เรื่องสั้น
#เล่าเท่าที่จำได้ 16 - พี่หญิงและคุณนันทิยา
การทำงานหลายๆที่สำหรับหลายๆคน อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ลำบากอะไรนัก แต่สำหรับไมเคิลอันนี้มันเรียกได้ว่า "ต้องใช้พลังงานของตัวเองอย่างเต็มที่จริงๆในทุกๆวัน" ก็อย่างที่เคยบอก ไมเคิลต้องตื่นเช้าตีห้า เพื่อนั่งรถเมล์ไปทำงานให้ทันเวลาเจ็ดโมงเช้า วันๆกองอยู่กับเอกสารภาษาต่างประเทศและการถอดเทป เพื่อที่จะเลิกงานเร็วตอนบ่ายสามเพื่อไปทำงานต่อที่ท๊อปส์ตอนห้าโมงเป็นล่ามแปลภาษายันสี่ทุ่ม นั่งรถเมลกลับบ้านอีกราวเกือบสองชั่วโมงกล่าวคือถึงบ้านเที่ยงคืน เพื่อที่จะรีบอาบน้ำนอนแล้วตื่นมาใหม่ตอนตีห้า ทำแบบนี้ทุกๆวัน โอเคงานใหม่นี้ไม่ต้องทำเสาร์อาทิตย์ เพราะงั้นการทำงานสองที่สำหรับไมเคิลจึงหยุดแค่เย็นวันศุกร์ แต่ในวันเสาร์หรืออาทิตย์ไมเคิลต้องมาทำงานท๊อปส์รอบเช้าอีก หากว่าเขาอนุญาตให้ทำเจ็ดวันเต็ม ไมเคิลก็คงทำเต็มเจ็ดวันเลย นี่เขาให้แค่หกวันเท่านั้นเลยทำได้แค่นั้น
สำหรับคนอื่นไมเคิลไม่รู้นะ เขาอาจจะทำได้อย่างสบายๆ หรืออาจจะเหนื่อยบ้าง แต่สำหรับไมเคิลแล้ว ไมเคิลมีโรคประจำตัวอย่างนึง ที่เป็นมาตั้งแต่เด็ก แล้วไปรักษาที่ไหนก็ไม่เคยหาย ตราบจนปัจจุบัน โรคนั้นคือโรคเวรโรคกรรมโดยแท้ เพราะมันคือ "ไมเกรน"
ไมเกรน เขียนเผินๆ อ่านไวๆ มันก็คล้ายไมเคิล เรามีกันและกันมาตลอดชีวิตอย่างแท้จริง บ่อยครั้งที่ไมเคิลอิจฉาคนที่เขาร่างกายเป็นปกติมาก คนไม่ค่อยปวดหัวอะไรแบบนั้น เพราะไมเกรนของไมเคิลนั้น ไม่สามารถ "คาดเดาอะไรได้เลย" จู่ๆมันก็มา จู่ๆมันก็ไป แต่อยากจะบอกว่า "กว่าจะไปนี่เล่นเอาแย่เลย บางครั้งปวดทั้งวันตั้งแต่เช้ายันสว่างของอีกวัน"
ถ้าสมัยเรียน สมัยที่ยังไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากขนาดนี้ พอเป็นที "ต้องรีบกลับบ้านนอน ต้องรีบพักผ่อน" แล้ววันรุ่งขึ้นก็จะหายเอง แต่เมื่อต้องรับผิดชอบทั้งเรียนทั้งทำงาน ไมเคิลก็ต้อง "อดทนให้มากๆ" ปวดก็ต้องทน ต้องทำงานไปทั้งๆที่ปวดมาก และปวดทั้งวัน แต่ตอนเรียนแล้วทำงานไปพร้อมกันนั้นไม่เท่าไหร่ ยามเมื่อต้อง "เข้าสู่ช่วงชีวิตทำงานเต็มรูปแบบ" แล้วทำสองที่แบบนี้ ไมเคิลไม่สามารถ "ป่วยและพักผ่อนให้หายได้" ต้อง "ฝืนและอดทนอย่างเต็มที่" หลายคนอาจจะบอกว่า "ก็กินยาไปสิ ยาแก้ปวด กินแล้วซักพักก็หาย" อยากจะบอกว่า ไม่เคยมียาแก้ปวดขนานไหนที่เอาไมเกรนของไมเคิลอยู่เลย" ไมเคิลทดลองกินมาทุกขนานแล้ว มันไม่เคยช่วยอะไร จน "เลิกคิดที่จะกิน เพราะกินเยอะจนกลัวว่า ตับไตเราจะพังซะก่อน"
บ่อยมากที่ปวดหัวมากๆตั้งแต่ตอนทำงานอ๊อฟฟิศ แล้ว จนมาทำงานที่ท๊อปส์ต่อก็ยังไม่มีวี่แววจะคลาย เลยตัดสินใจว่า "เอาฟร่ะ อัดยาแก้ปวดไปหนักๆเลย" ไม่งั้นยืนไม่ไหวแน่ แต่แทนที่มันจะหายปวด กลายเป็น "ไมเคิลเมายา" คือหัวก็ปวด แต่รู้สึกก่งก๊งอีก เมายา ประสาทสัมผัสทั้งร่างกายเบิกโพรง เรียกว่าแบบนี้ได้หรือเปล่า คือแสงเสิงในห้างระยิบระยับจนแสบตา หูเหอได้ยินเสียงดังเกินเบอร์จากสภาพแวดล้อมรอบข้างไปอีกขั้น คืออะเลิร์ตมาก เหนื่อยและเหงื่อออกเยอะ แต่ก็ต้องทนๆทำงานไปจนกว่าจะเลิกงานสี่ทุ่มแล้ว ไปหลับบนรถเมล์เอาหากว่าโชคดีได้ที่นั่ง ซึ่งบ่อยครั้งที่ไมเคิลโชคดี
ผมไม่รู้ว่าหรอกว่า ไอ้โรคเวรโรคกรรมนี้มันเกิดขึ้นมาจากอะไร หลายคนบอกเกิดจากความเครียด ให้เลิกเครียดสิฟร่ะ อ้าว ของแบบนี้มันเลิกกันได้ง่ายๆเหรอครับ?? บางคนมันเครียดแบบไม่รู้ตัวทั้งๆที่พยายามทำตัวเองไม่เครียด แล้วไม่รู้ต้นตอที่มาของมันด้วย รู้แต่ว่าเป็นมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว หาหมอ หาที่บำบัดรักษาที่ไหนก็ไม่เคยหายขาด ทุกๆวันตลอดเวลาหลายปีที่ทำงานสองที่ ไมเคิลนอนหลับตอนกลางคืนพร้อมด้วยภาวนาว่า "ขอให้ตื่นเช้าแล้วไม่ปวดหัวนะ เพราะไม่อยากเหนื่อยเป็นสองเท่าสามเท่าจากที่เหนื่อยอยู่แล้วกับการทำงาน" เพราะอาการปวดหัวแบบนี้
อาการทางร่างกายคือสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ ต้องอดทนและพยายามหาทางที่จะ "อยู่ร่วมกันให้ได้ ระหว่างไมเกรนและไมเคิล" แต่อาการทางใจก็เป็นอีกปัจจัยนึงที่สำคัญมากๆ ที่บางครั้งมันร้ายกาจยิ่งกว่าอาการปวดหัวที่เราประสบอยู่เสียอีก
ทุกๆคนที่ติดตามอ่านมาจนถึงบทนี้ ย่อมเคยรับรู้ว่า ไมเคิลทำงานสองที่เพื่อให้ได้เงินทอง ช่วยที่บ้านส่วนใหญ่และช่วยค่าเทอมน้องชาย คือสองเรื่องนี้คือแทบจะทั้งหมดของรายได้ไมเคิล แน่นอนการเลื่อนตำแหน่ง และการได้ชั่วโมงทำงานที่ท๊อปส์มากขึ้น ทำให้เงินเดือนรวมสองที่มากขึ้น ดูแล้วทุกๆอย่างน่าจะลงตัวและสบายขึ้น แต่เปล่าเลย ปัญหาเศรษฐกิจของครอบครัวมันมี "คลื่นใต้น้ำมากกว่านั้น" ที่ผ่านๆมา คือ "มันไม่เคยพอ" แต่ครอบครัวไม่อยาก "ให้ไมเคิลต้องเป็นกังวลมากกว่านี้" แต่เมื่อถึงที่สุด เมื่อทุกๆอย่างมันตึงตัวอย่างถึงที่สุด ไมเคิลก็ได้รับรู้ว่า ค่าใช้จ่ายๆต่างๆนอกจากค่าเรียนพระเอกแล้ว มันยังมีอะไรอีกมากมาย และมีหนี้สินอีกก้อนใหญ่ที่ทุกๆเดือนที่บ้านจะต้องหาเงินจ่ายให้ได้ "เงินสี่หมื่นบาท" ที่ไมเคิลหาได้ มันไม่เพียงพอเสียแล้วที่จะทำให้ทั้งบ้านโอเค ความพยายามในการ "แบ่งสัดส่วนของรายได้เพื่อกอบกู้ทางบ้านของไมเคิลจึงต้องตึงขึ้นตามลำดับ" สองหมื่นห้าพันบาทคือรายได้ที่จะต้องช่วยที่บ้าน อีกหมื่นหนึ่งเก็บไว้เป็นค่าเทอมพระเอก(สะสมครบสามเดือนก็จะได้ค่าเทอมๆนึง) เท่ากับว่าทั้งเดือนไมเคิลจะเหลือใช้ห้าพันบาทหรือน้อยกว่านั้น
โอเคไม่กี่พันก็ไม่กี่พัน ไมเคิลโอเค ก็ทนๆหน่อย ใช้จ่ายอะไรก็ประหยัดขึ้น ถ้าอยากจะได้อะไรเพิ่มเติมสำหรับตัวเองก็สะสมเดือนละนิดละหน่อยหลายเดือนก็คงได้แหล่ะ ไม่เป็นไรหรอก
เมื่อความตึงมันมากขึ้นเรื่อยๆทุกๆเดือน บวกกับอาการปวดหัวที่ ชักมาถี่เรื่อยๆ แต่ปวดให้ตายก็หยุดไม่ได้ ให้มันรู้ไปสิว่าร่างกายมันจะแพ้ใจ ถ้าหลายคนรู้จักไมเคิล อาจจะมีแซวบ้างว่า "ทำไมชอบพกยาดม" ครับ ผมไม่ได้ติดยาดมเป็นคนแก่หรืออาแป่ะอะไรหรอก แต่"ความเย็นของยาดม เป็นอีกหนทางหนึ่งที่ช่วย ข่มอาการปวดหัวของไมเคิลได้ ปวดมากๆก็ใช้ความเย็นของมันเข้าไปข่ม ทำให้มีสติทำงานต่อไปได้ " และแล้ววันนึง "ทำนบก็แตก" เมื่อทุกๆอย่างมันตึงถึงที่สุด "ไมเคิลได้รับโทรศัพท์จากทางบ้านว่าจำเป็นต้องใช้เงินอีกจำนวนหนึ่งด่วนมากในวันนี้ และไม่มีทางอื่นที่จะแก้ไขได้อีกแล้ว " นั่นเท่ากับว่า "ไมเคิลจะต้องให้เงินที่มีอยู่กับตัวทั้งหมดไปจนหมด เพื่อไปกอบกู้สถานการณ์ ประเด็นคือ "ป่วยก็ป่วย ปวดหัวก็ปวดหัว แล้วไม่รู้จะหาทางออกให้ตัวเองอย่างไร เงินโอนไปหมด บัญชีเหลือศูนย์บาท" ในขณะที่ไมเคิลจะต้องอยู่ให้ได้อีกเต็มๆเดือน ไมเคิลจะอยู่อย่างไร??? จะเอาเงินที่ไหนไปทำงาน? จะเอาเงินที่ไหนกิน? คิดอะไรไม่ออก เดินทำหน้าที่คุณภาษาแบบเก็บอาการที่สุดแล้ว แต่มันไม่ไหวแล้ว เดินเข้าไปนั่งอยู่ในเค้าน์เตอร์ออกใบกำกับภาษี นั่งทรุดตัวอยู่ตรงนั้น หมดแรง น้ำตาเริ่มไหลลงมาแบบไม่รู้ตัว มันไปไม่ถูกแล้ว และแล้ว "ซุปฯหรือหัวหน้าแคชเชียร์" ที่ชื่อ "พี่หญิง" ก็เดินมาตรงนั้นพอดี "ฮันแน่ คุณภาษามาแอบอู้อะไรตรงนี้???" แล้วแกก็ตกใจ แกเห็นไมเคิลนั่งร้องไห้อยู่ "เฮ้ย ไมค์เป็นอะไร พูดกับพี่หญิงได้นะ ใครทำอะไรไมค์" ทุกๆอย่างที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง พรั่งงพรูไปหมด ไม่มีกั๊กไว้เลย พี่หญิงอึ้งไปแล้วพูดขึ้นมาว่า "พี่เข้าใจมาตลอดว่าไมค์ทำงานตรงนี้เพื่อแบบฆ่าเวลาหารายได้พิเศษ พี่ไม่เคยรู้เลยว่า ไมค์มีปัญหาชีวิตขนาดนี้ " พี่หญิงเดินมาตบไหล่แล้วบอก อดทนไว้นะ ทุกๆปัญหามันต้องมีทางออก แล้วพี่หญิงก็เดินไป เรื่องราวมันเหมือนจะไม่มีอะไร
วันรุ่งขึ้นเวลาเดิมไมเคิลก็มาทำงาน "คุณภาษา" ตามเดิม ยังคงนึกไม่ออกว่าจะเอายังไงดีกับชีวิตในหนึ่งเดือนจากนี้ จะให้ไปหยิบยืมใครก็ "ไม่อยากทำ" กำลังนึกอยู่ว่า "จะเอาสมบัติอะไรที่เป็นส่วนตัวขายออกไปได้บ้าง?" นึกหารายละเอียดทุกๆอย่างในบ้านว่าอะไรบ้างที่จะเป็นเงินได้ คิดไปขนาดนั้น "พี่หญิง" โฟนหา "ขอเชิญคุณภาษามาที่เค้านเตอร์ประชาสัมพันธ์" พอไปถึงพี่หญิงบอก มานั่งนี่ พี่ซื้อข้าวมาฝาก ทำงานเย็นถึงดึก มีอะไรรองท้องซักหน่อยจะทำให้ทำงานได้เต็มที่ขึ้นนะ ขอบคุณครับพี่หญิงขอบคุณมาก ในขณะที่"แอบกินข้าวหลังเค้าน์เตอร์" อยู่นั้น ผู้จัดการสาขาโทรมาที่เค้าน์เตอร์ บอกให้มาหาที่อ๊อฟฟิศหลังห้าง
ไมเคิลเครียดสิ ผู้จัดการสาขาเรียกพบ มันต้องมีอะไรที่เป็นปัญหาหรือร้องเรียนอะไรหรือเปล่า เอ๊ะไปทำอะไรไว้หว่า?? เดินเข้าห้องมา ผู้จัดการสาขาขอเรียกว่า "คุณนันทิยา" ถามว่า "คุณภาษาไมค์ ช่วงนี้เธอเป็นอะไรหรือเปล่า ดูเครียด ดูไม่ร่าเริงในการทำงานเหมือนเคย ถ้าเธอมีปัญหาอะไร เธอควรพูดออกมานะ เพราะพี่ไม่ชอบให้มาตรฐานการทำงานต่ำลงเพราะปัญหาส่วนตัวใดๆ" ไมเคิลก็อึ้งๆกันไป ได้แต่บอกว่า "อ๋อไม่มีอะไรครับ ช่วงนี้เหนื่อยนิดหน่อย ผมจะพยายามแก้ไขครับพี่" ตกลงเธอไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่มั๊ย? งั้นกลับไปทำงานได้ แล้วโฟนบ่อยๆหน่อย พักหลังเธอโฟนสนับสนุนการขายน้อยไปแล้ว โอเคครับผมขอโทษ ผมจะปรับปรุงตัวครับ วันนี้จะโฟนเยอะๆ
หลังจากคุยกับผู้จัดการสาขาเสร็จ ก็เดินกลับมาทำงานปกติ ผ่านไปอีกวันนึง วันรุ่งขึ้นเวลาเดิม ก็มาทำงานท๊อปส์ พยายามทำใจให้สบาย ทุกๆอย่างมันต้องมีทางออกสิ เพียงแต่คิดให้ออก ประเด็นคือตอนนี้ยังคิดไม่ออกนี่แหล่ะ พี่หญิงเดินมาหา บอกว่า "ทุกปัญหาคลี่คลายหรือยังไมค์?" อ๋อ ยังทรงๆครับ ยังนึกอะไรไม่ออก พี่หญิงจึงบอกว่า "ได้เช็คบัญชีหรือยังละ " ห่ะ?? เช็คบัญชี?? หมายถึงบัญชีธนาคารนะเหรอ? คืองง จึงเดินขึ้นไปชั้นบนไปกดเอทีเอ็ม "ปรากฎว่ามีเงินเข้าบัญชีจำนวนหนึ่ง ไม่ถือว่ามาก หลักพัน แต่ไอ้หลักพันนี่ คือแสงสว่างสำคัญที่ส่องทางให้ไมเคิลอยู่ได้จนถึงสิ้นเดือนนี้ได้เลย" วิ่งกลับลงมาถามพี่หญิงว่า "พี่ใครโอนเงินให้ผม??? " พี่หญิงบอกว่ามีอะไรก็ไปขอบคุณๆนันทิยานะ บัญชีไมค์เป็นบัญชีที่รับเงินเดือนของบริษัทถ้าใครจะรู้บัญชีนี้ก็ต้องคนจ่ายเงินเดือนในท๊อปส์ พี่พูดได้แค่นี้ พี่หญิงตบไหล่แล้วบอกว่า "บอกแล้วทุกๆปัญหาจะผ่านไปได้ ต่อจากนี้ก็ตั้งใจทำงานนะ"
น้ำตาแทบจะไหลออกมาตรงนั้น ผมไม่แน่ใจว่า "เงินตรงนี้เป็นของใครระหว่างพี่หญิงและคุณนันทิยา หรืออาจจะทั้งคู่" แต่แน่ใจอย่างหนึ่งคือพี่หญิงได้มีการคุยเรื่องนี้ให้ผู้จัดการสาขาฟัง และ ทั้งคู่ต่างมีความเอ็นดูและมีน้ำใจต่อไมเคิลอย่างมากอย่างที่ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่าจะได้รับ น้ำใจครั้งนี้ไมเคิลจะขอจดจำไปตลอดชีวิต และรู้สึกโชคดีจริงๆที่ในชีวิตหนึ่งได้รู้จักทั้งคุณนันทิยาและพี่หญิงคนนี้
จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ "เมื่อมีโอกาสที่จะช่วยคนที่หาทางออกไม่เจอ มองไปทางไหนก็มืดดำ ไร้แสงสว่าง หันไปทางไหนก็ไม่เจอใคร ไมเคิลถ้าสามารถช่วยได้ก็จะช่วยอย่างเต็มที่ เพราะครั้งหนึ่ง ไมเคิลเคยได้รับสิ่งนี้มาเช่นกัน ในวันที่ทุกอย่างดูมืดดำไปหมด"
ขอบคุณครับพี่หญิงคุณนันทิยา "you are my candle in the wind"
โฆษณา