12 ธ.ค. 2020 เวลา 05:50 • หุ้น & เศรษฐกิจ
#หุ้น6ประเภทของปีเตอร์ลินช์
ถ้าเราคัดหุ้นเป็น เราจะสามารถทำกำไรบนตลาดหุ้นได้ง่ายขึ้น เราสามารถรู้เหตุในการขึ้นของราคาหุ้นได้
การคัดหุ้นมีหลายแบบ แต่แบบที่ได้รับความนิยมมาก เป็นการคัดหุ้นสไตลล์ของปีเตอร์ ลินช์
ปีเตอร์ ลินช์ทำงานที่กองทุน Fidelity ตั้งแต่ปี 1977 ถึง 1990
โดยที่เขาสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นได้ถึง 29.2 % ต่อปีเป็นระยะเวลา 13 ปีติดต่อกัน และชนะดัชนี S&P500 11 ครั้งใน 13 ปี
ถ้าเราลงทุน 1 ล้านบาทกับลินช์ในวันแรก เราจะได้เงินลงทุนกลับมาเท่ากับ 28 ล้านบาทในอีก 13 ปีต่อมา...
รู้จักปีเตอร์ ลินช์แล้ว มาดูว่า ปีเตอร์ ลินช์แบ่งหุ้นยังไง...
ปีเตอร์ ลินซ์ มีหลักการลงทุนโดยแบ่งหุ้นเป็น 6 ประเภท ดังนี้
1. #หุ้นโตช้า
- เป็นหุ้นขนาดใหญ่ ธุรกิจเติบโตช้า รายได้คงที่หรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
- ราคาหุ้น ไม่ได้มีการเปลี่ยนเเปลงสูง
- ข้อดีของหุ้นกลุ่มนี้คือจ่ายเงินปันผลสูง 5-10%
- เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่ได้หวังส่วนต่างของราคา หรือรับความเสี่ยงได้ไม่สูงมาก
- หุ้นโตช้าในตลาดหุ้นไทย เช่น
ADVANC ให้บริการมือถือ
TTW ผลิตและจำหน่ายน้ำประปา
RATCH ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า
- หุ้นโตช้า ส่วนใหญ่จะมีความแข็งแกร่งทางธุรกิจ ไม่ผันผวนไปตามภาวะเศรษฐกิจ สินค้าและบริการ เป็นปัจจัย 4 ที่ทุกคนต้องใช้และบริโภค
2. #หุ้นแข็งแกร่ง
- หุ้นขนาดใหญ่ พื้นฐานแข็งแกร่ง ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี
- มีกำไรเติบโตสม่ำเสมอระดับ 10%
- กิจการที่เป็นที่รู้จักและยอมรับในสายตาของคนทั่วไป
- เป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงไม่สูงมาก
- ช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการลงทุนในหุ้นแข็งแกร่งคือจังหวะที่ตลาดหุ้น panic ลงมา
- หุ้นแข็งแกร่งในตลาดหุ้นไทย เช่น
CPALL ค้าปลีก 7-11
CPN ห้างเซ็นทรัล
HMPRO ค้าปลีกขายอุปกรณ์ไฟฟ้า อุปกรณ์ตกแต่งและซ่อมแซมบ้าน
- หุ้นแข็งแกร่งได้รับผลกระทบบ้างจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ธุรกิจมีความแข็งแกร่ง ใช้เวลาไม่นานก็จะปรับตัวกลับมาได้
3. #หุ้นโตเร็ว
- หุ้นพื้นฐานดี มีศักยภาพในการเติบโตปีละ 15-20% เป็นอย่างต่ำ
 
- ราคาหุ้นให้ผลตอบแทนมากกว่า 100%
- การเติบโตของบริษัทมาจากยอดขายและกำไรเป็นหลัก ไม่ได้มาจากการกำไรที่ไม่ได้เกิดจากธุรกิจที่แท้จริง
- ตัวอย่างกำไรพิเศษ เช่น กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน กำไรจากขายสินทรัพย์
- ข้อดีหากหุ้นมีศักยภาพในการเติบโตสูง ราคาก็จะขึ้นไปเรื่อย ๆ
- ความเสี่ยง ถ้าการเติบถดถอย ราคาหุ้นจะปรับตัวลงแรง ดังนั้นต้องหมั่นตรวจสอบงบการเงินของหุ้นเติบโตนั้น ๆ
- การเติบโต สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่น CPALL ในอดีตเป็นหุ้นเติบโต ปัจจุบันเป็นหุ้นแข็งแกร่ง
- ตัวอย่างหุ้นเติบโตในตลาดหุ้นไทย เช่น
JMT ธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ
DELTA ธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าอิเลคทรอนิคส์
COM7 ธุรกิจขายสินค้าอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ iphone Samsung Huawei
- หากตรวจสอบงบการเงิน จะพบว่า หุ้นเติบโตมากกว่า 20% เป็นหุ้นที่ปีนี้ให้ผลตอบแทนสูง ถือเป็นหุ้นที่ดีที่นักลงทุนควรมีติดพอร์ต
- JMT ต้นปี 10 บาท ขึ้นมาสูงสุดแถว 38 บาท DELTA ขึ้นจาก 30 บาทมา 400 บาท COM7 ขึ้นจาก 12 มา 40 บาท
4. #หุ้นวัฎจักร
- เป็นหุ้นกลุ่มที่มีการเติบโตขึ้นลงตามสินค้าของบริษัท
- ส่วนใหญ่มักเป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมัน ปิโตรเคมี ถ่านหิน สินค้าโภคภัณฑ์ สินค้าเกษตร อสังหาริมทรัพย์
- ช่วงที่ราคาสินค้าขึ้น บริษัทก็จะมีรายได้และกำไรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
- หากจับรอบของสินค้า Commodity ถูก จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี แต่ในทำนองตรงกันข้ามถ้าผิดรอบและไม่มีความเข้าใจในอุตสาหกรรมนั้น ก็มีโอกาสจะขาดทุนสูงมาก
- หุ้นวัฎจักรในตลาดหุ้นไทย เช่น PTT BANPU IVL PTTGC PSL KSL PS STA
ช่วงท้ายปีนี้หุ้นวัฎจักรปรับตัวโดดเด่นหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น BANPU IVL PTTGC
5. #หุ้นฟื้นตัว
- หุ้นฟื้นตัวหรือหุ้น Turnaround เป็นหุ้นที่ประสบปัญหาขาดทุน แล้วมีปัจจัยบวก ทำให้หุ้นกลับมากำไรได้
- ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ถ้าหากธุรกิจ turn around จริง
- ปัจจัยที่จะทำให้หุ้นกลับมากำไร เช่น การปรับโครงสร้างทางการเงินของบริษัท อุตสาหกรรมฟื้นตัว การได้รับปัจจัยบวกจากเหตุการณ์บางอย่าง การเปลี่ยนธุรกิจ
- ความเสี่ยงของหุ้นประเภทนี้ คือ บ่อยครั้งหุ้นไม่ได้ Turn around จริง ๆ
- หุ้น Turnaround ในตลาดหุ้นไทย เช่น
AS ได้รับประโยชน์จากสถานการณ์โควิด การ work from home ทำให้คนเล่นเกมส์มากขึ้น
STARK เข้าไป Back door หุ้น SPORT แล้วเปลี่ยนธุรกิจ จากสื่อเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้า
- หุ้น Turn around ถ้าทำการบ้านมาดี แล้วธุรกิจ Turn around จริง ผลตอบแทนสูงมาก AS จากราคา 1.5 บาท ขึ้นมา 6.5 บาท STARK ขึ้นจาก 0.8 บาท ไป 3.2 บาท
6. #หุ้นทรัพย์สินมาก
- หุ้นทรัพย์สินมาก หรือ หุ้น Asset Play ทรัพย์สินส่วนใหญ่ จะเป็นอสังหาริมทรัพย์ หรือหุ้นที่บริษัทนั้นถือ
- หุ้นทรัพย์สินมาก ที่ให้ผลตอบแทนสูง จะเป็นการปลดล้อคสินทรัพย์ มีการนำบริษัทลูกเข้าตลาดหุ้น
- หุ้นทรัพย์สินมาก ในตลาดหุ้นไทย เช่น
STA ที่มี STGT เป็นบริษัทลูก STA ต้นปีเทรดแถว 12 บาท ขึ้นไปทำราคาสูงสุดบริเวณ 35 บาท
SCC ที่มี SCGP เป็นบริษัทลูก หลักจาก SCGP เข้าตลาด SCC ขึ้นมาจาก 330 บาทเป็น 400 บาท
หวังว่าบทความหุ้น 6ประเภทของปีเตอร์ลินช์ จะทำให้ทุกคนแบ่งแยกหุ้นเป็น และสามารถนำไปใช้ในการลงทุนได้เป็นอย่างดี
ถ้าชอบช่วยพิมพ์ใน comment ว่า “ชอบ” ให้แอดมินหน่อยครับ
ถ้ากด #Share จะทำให้บทความนี้อยู่บนหน้า Feed ของตัวเองสามารถทบทวนได้ตลอด รวมถึงเพื่อนที่มาเห็นอ่านก็จะได้รับความรู้ไปด้วย...
#STOCKJIBJIB
โฆษณา