14 ธ.ค. 2020 เวลา 03:35 • ประวัติศาสตร์
12 เรื่องที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับซามูไร
ที่มาของภาพhttps://th.anngle.org/j-culture/history
1. กว่าจะเป็นซามูไรหนึ่งคน ต้องใช้ต้นทุนสูงมาก
 
ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลายเป็นซามูไรได้ เพราะต้องศึกษาศิลปะและศาสตร์หลายแขนง ไม่ใช่แค่การต่อสู้ฟันดาบเท่านั้น แต่ต้องรอบรู้ทั้งวิชายิงธนู วิชาหอก ขี่ม้า ในยุคคามาคุระจนถึงมุโรมาจิ จะต้องศึกษาตำราพุทธเซ็น ต้องมีความรู้ทางการทหาร ในยุคเอโดะก็ต้องอ่านตำราขงจื่อเพื่อใช้เป็นหลักปฏิบัติตน ซามูไรจึงไม่เหมือนนักรบทั่วไปที่มีแต่พละกำลังเท่านั้น ซามูไรหนึ่งคนสามารถสู้ศึกกับทหารทั่วไปได้มากกว่าสิบคน และยังรู้วิธีนำทัพออกศึกด้วย นั่นเท่ากับว่าต้องผ่านการฝึกฝนและร่ำเรียนมามากพอสมควร กว่าจะออกมาทำงานสร้างชื่อได้จริงๆ
 
2. จริงๆ แล้วซามูไรคือข้ารับใช้
 
ที่มาของซามูไร คือการเป็นผู้รับใช้ของไดเมียวซึ่งเป็นเจ้าที่ดิน จะมียศตำแหน่งหรือได้รางวัลจากการทำสงครามหรือเป็นคนสนิทใกล้ชิด ของที่ได้ก็เช่น ดาบหรือม้าบ้าง ถ้วยน้ำชาล้ำค่าบ้าง และที่ดินหรือปราสาทไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ในปกครอง แต่ก็ยังเป็นข้ารับใช้ของไดเมียวแคว้นนั้นๆ อยู่
 
3. ซามูไรเป็นมากกว่าทหาร
 
พลทหารเดินเท้าจะเกณฑ์มาจากชาวนาหรือประชาชนในเขตปกครอง หรือกระทั่งอาสามาขอเข้ากองทัพเองเพื่อหวังสร้างชื่อเสียง หรือกระทั่งแค่ให้มีข้าวกิน สำหรับซามูไรถือว่ามีบทบาทหน้าที่สูงกว่านั้น เพราะในยามสงบ ซามูไรจะต้องเป็นนักปกครองบ้านเมืองหรืออย่างน้อยก็ดินแดนของตนเองได้ แม้จะเป็นแค่ระดับหมู่บ้านก็ตาม ซามูไรยังต้องเชี่ยวชาญศิลปศาสตร์ชั้นสูงหลายอย่าง ทั้งพิธีชงชา แต่งบทกลอน ดูแลพิธีการให้เจ้านายได้ ไปจนถึงการจัดดอกไม้ ซึ่งทั้งหมดถือว่าเป็นศาสตร์ชั้นสูง
4. วิถีบูชิโดหลายอย่างที่เราเข้าใจกัน ที่จริงเพิ่งเกิดขึ้นในสมัยโตคุวางะ เมื่อศตวรรษที่ 16
 
จริงๆ แล้วคำว่า “บูชิโด” หมายถึง “วิถีของซามูไร” เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยคามาคุระ ในช่วงศตวรรษที่ 11 ซึ่งถือเป็นยุคเริ่มต้นความรุ่งเรืองของพวกซามูไรแล้ว เพียงแต่บูชิโดที่เกิดขึ้นในสมัยนั้นมาจนถึงสมัยมุโรมาจิ หรือยุคเซ็นโกคุในศตวรรษที่ 14-15 เป็นคนละแบบกับวิถีบูชิโดที่เราเข้าใจกันผ่านทางการนำเสนอในสื่อต่างๆ เพราะได้นำเอาแนวคิดจากขงจื่อมาผสมผสานเข้าไปมาก ทำให้บูชิโดไปผูกกับเรื่องความภักดีต่อเจ้านายยิ่งชีพด้วย แต่ซามูไรยุคก่อนหน้านั้นสามารถเปลี่ยนเจ้านายที่ตนสังกัดได้โดยไม่ได้เป็นความผิดร้ายแรงหรือโดนประณามเสมอไป ถ้าหากเพื่อปกป้องตระกูลของตนไว้ละก็
 
5. ซามูไรไม่ได้ฝึกอาวุธแต่ดาบ แต่ใช้ธนู หอก ปืนได้
 
ที่จริงซามูไรไม่ได้ฝึกฝนอาวุธแค่ดาบ แต่ต้องเชี่ยวชาญหอก ธนู และอาวุธอื่นๆ เมื่อปืนเริ่มเข้ามาในสมัยมุโรมาจิ ซามูไรก็เริ่มหันมาฝึกการยิงปืนด้วย เรียกว่าครบเครื่อง แต่พอเข้ายุคเอโดะซึ่งมีนโยบายปิดประเทศจากตะวันตก เหลือแค่ฮอลันดาเท่านั้น ซามูไรส่วนใหญ่ก็เลยไม่ค่อยได้มีโอกาสฝึกยิงปืนแล้ว
6. ดาบซามูไรไม่ได้มีจุดเริ่มจากญี่ปุ่น
 
ดาบซามูไรที่เรารู้จักกันในชื่อว่า “คาตานะ” ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งสุดยอดดาบดีที่สุดของโลก (ที่สูสีกันมากคือดาบดามัสกัสของพวกอาหรับ) ดาบคาตานะจึงเป็นเสมือนสัญลักษณ์ประจำตัวของพวกซามูไรที่โด่งดังในสื่อทุกรูปแบบทั่วโลก แต่เชื่อหรือไม่ว่า ต้นกำเนิดนั้นแท้จริงแล้วเป็นศาสตร์ที่นำเข้ามาจากประเทศจีน ซึ่งมีความแตกต่างไปจากดาบญี่ปุ่นในยุคโบราณที่ใช้ต่อกันมาถึงช่วงต้นของยุคคามาคุระ
 
เมื่อถึงสมัยมุโรมาจิ เกิดสงครามน้อยใหญ่ระหว่างแคว้น เหล่าซามูไรเริ่มสร้างขุมกำลังของตนเองมากขึ้น พัฒนาการด้านวิทยาการอาวุธจึงจำเป็นมาก ดาบคาตานะได้พัฒนาขึ้นมาในช่วงนี้ เล่ากันว่าดาบคาตานะเล่มแรกๆ เกิดขึ้นจากการพัฒนาดาบญี่ปุ่นแบบเดิมที่เคยเป็นสันตรงให้เป็นแนวโค้งมากขึ้น แล้วค่อยๆพัฒนาการตีดาบเรื่อยมาจนคาตานะมีความแข็งแกร่งทนทานที่สุด
 
7. มีซามูไรหญิง และมีเยอะด้วย
 
ผู้หญิงในสังคมศักดินาญี่ปุ่นมีบทบาทหน้าที่ชัดเจนคือการดูแลบ้านและสมาชิกครอบครัว แต่ในยุคสงคราม ผู้หญิงของตระกูลซามูไรก็มักมีบทบาทออกมาช่วยสามีหรือบิดาออกศึกแนวหน้าด้วย ที่สำคัญคือมีจำนวนเยอะกว่าที่คิด เรียกว่า “ออนนะ-บูเกอิชา” ในยุคเซ็นโกคุศตวรรษที่ 15-16 ซามูไรหญิงมีจำนวนเยอะมาก หรือในศตวรรษที่ 18 ในสงครามแคว้นไอสึ พวกผู้หญิงจำนวนไม่น้อยได้ออกมาช่วยสามีป้องกันบ้านเกิดของพวกเธอ
8. ซามูไรก็มีหลายระดับชั้น
 
ระดับชั้นของซามูไรมีการจัดแบ่งไว้ตามสังคมศักดินาญี่ปุ่น ซึ่งแต่ละยุคสมัยหรือในแต่ละเมืองก็จะมีรายละเอียดต่างกันไปบ้าง เช่นในสมัยมุโรมาจิหรือยุคเซ็นโกคุ การเลื่อนชั้นของซามูไรยังพอมีความยืดหยุ่นอยู่บ้าง เพราะเป็นยุคสงครามระหว่างแคว้น แต่ละหัวเมืองต้องการหาคนเก่ง แต่ในยุคเอโดะที่ภายในประเทศไม่มีสงคราม ตระกูลโตคุงาวะได้นำปรัชญาขงจื่อเข้ามาใช้ ทำให้มีการจัดแบ่งลำดับชั้นของสังคมชัดเจน ตัวอย่างเช่นซามูไรในเมืองโทสะจะแบ่งเป็นชั้นล่างและชั้นสูง
 
9. จะเป็นซามูไรโดยสมบูรณ์ต้องผ่านพิธีบรรลุนิติภาวะ
 
เมื่อลูกหลานในตระกูลซามูไรมีอายุได้ 15 ปี จะต้องเข้าพิธี “เก็มปุกุ” เป็นการยืนยันและแสดงสถานะของตนว่าเป็นผู้ใหญ่ แล้วจะได้รับชื่อใหม่ (ตัวอย่างเช่น ซากาโมโตะ เรียวมะ เมื่อเป็นผู้ใหญ่ก็เปลี่ยนมาใช้ชื่อ ซากาโมโตะ นาโอคาเงะ ซึ่งถือว่าเป็นชื่อทางการ) เท่ากับซามูไรหนุ่มพร้อมจะรับผิดชอบตนเองและตระกูล สามารถแต่งงานเพื่อผลิตทายาทต่อไปได้ ปัจจุบันพิธีนี้ยังมีอยู่
 
10. ในยุคสงคราม ซามูไรชายที่หลับนอนกันเอง เป็นเรื่องธรรมดา
 
ในหนังซามูไร เรามักเห็นคนใกล้ชิดพวกไดเมียวหรือซามูไรที่มีตำแหน่งสูงๆ จะมีเด็กหนุ่มหน้าตาดีเป็นคนติดตามอยู่ใกล้ชิด เรียกพวกนี้ว่า นันโชคุ การหลับนอนด้วยกันของพวกซามูไรจึงคล้ายกับพวกผู้นำชาวกรีกยุคโบราณ ซึ่งพวกนักรบยุคโบราณต้องออกรบแทบทุกวัน มีความเครียดสูง ไม่สะดวกที่จะพาผู้หญิงติดตามไปด้วย กลายเป็นว่าพวกขุนศึกจะมีเด็กหนุ่มหน้าตาดีเหล่านี้ไว้ปรนเปรอบนเตียง และทำหน้าที่เป็นองครักษ์ไปด้วย แล้วการได้ทำหน้าที่เช่นนี้ ถือว่าเป็นเกียรติและโอกาสก้าวหน้ามาก นอกจากนี้ยังมีประเพณีชุโด ซึ่งเป็นการผูกสัมพันธ์ระหว่างซามูไรผู้ใหญ่กับซามูไรหนุ่มหน้าอ่อนไร้ประสบการณ์ด้วย
 
11. คว้านท้องถือเป็นเกียรติยศสูงสุด
 
พิธี “เซ็ปปุกุ” หรือการคว้านท้อง ถือเป็นการแสดงความกล้าหาญและเกียรติยศขั้นสูงสุดเป็นครั้งสุดท้ายของซามูไรที่พ่ายแพ้ หรือในยุคสงครามกลางเมือง ซามูไรหลายคนยอมคว้านท้องเพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบ แลกเปลี่ยนกับความอยู่รอดของคนในปกครองทั้งเด็กและผู้หญิง ฝ่ายข้าศึกก็จะยอมรับในเกียรตินั้น แล้วไว้ชีวิตครอบครัวของอีกฝ่าย (แม้จะไม่ใช่ทุกครั้ง แต่ก็เป็นส่วนมาก) แล้วซามูไรทุกคนจะมีดาบสั้นที่เรียกว่า ทันโตะ สำหรับใช้คว้านท้องติดตัวไว้โดยเฉพาะ แล้วในบางครั้งจะมีผู้คอยทำหน้าที่ช่วยลงดาบให้ จะถือว่านี่เป็นการได้รับเกียรติจากผู้ตายอย่างสูงสุด
12. มีอนุภรรยาได้ แต่ต้องจัดการอย่างเป็นทางการ
 
การแต่งงานของซามูไรถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะคือการผลิตทายาทสืบตระกูล ซึ่งการจัดงานจะทำโดยซามูไรที่มีตำแหน่งสูงหรือเท่ากับเจ้าบ่าว แล้วหากอยากจะมีอนุภรรยา ก็สามารถทำได้ แต่มักต้องได้รับการตรวจสอบจากผู้ใหญ่ และมักแต่งงานกับตระกูลซามูไรด้วยกัน หรือจากตระกูลพ่อค้าก็ได้ การรับอนุภรรยาถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างเป็นทางการ
โฆษณา