15 ธ.ค. 2020 เวลา 01:28 • นิยาย เรื่องสั้น
#เล่าเท่าที่จำได้ 17- ลูกค้าคือพระเจ้า
ก่อนที่จะได้มาทำงานบริการแบบที่ทำที่ท๊อปส์ ไมเคิลไม่เคยได้รับรู้ "หัวใจของการมีจิตใจบริการแบบไม่มีข้อแม้เลย" จนวันนึงที่เราได้มาทำงานที่ตรงนี้จริงๆ มันก็มีหลายเหตุการณ์เหลือเกินที่ทำให้เรารู้สึกได้ว่า "มนุษย์นี่มันคือแบบ ร้ายกาจอะไรเช่นนี้" ทำต่อคนที่ "ดูด้อยค่ากว่า ต้อยต่ำกว่า" ได้แบบนี้เลยรึ หรือเพียงเพราะ "วลีทีว่า ลูกค้าคือพระเจ้า" เป็นใบอนุญาตให้กระทำตามใจตัวเองได้แบบไร้ขีดจำกัด??
เคยมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นที่ท๊อปส์ ไมเคิลได้รับแจ้งจาก "แอลพี" หรือที่เรียกว่า "รักษาความปลอดภัย" ให้ช่วยมาคุยกับลูกค้าให้หน่อย...ไมเคิลจึงถามว่า "ล็อคไหนเหรอพี่?" อ๋อ ที่ห้องสอบสวนด้านหลัง ห่ะ?? ห้องสอบสวน?? เกิดอะไรขึ้น อ๋อลูกค้าต่างชาติ "ถูกจับได้ว่าขโมยของ" อ้าวเป็นงั้นไป.....
เดินที่เดินเข้าไปในห้อง เจอกับผู้หญิงต่างชาติวัยกลางคนหน่อย ตัวสั่นเทา มีความกลัวจนเห็นได้ชัด จึงได้ทำการสอบถามว่า เหตุใดจึงได้ขโมยของ?? เพราะดูจากท่าทางแล้วเป็นคนที่แต่งตัวดีและดูไม่ได้ขัดสนเงินทองจนต้องขโมยแต่อย่างใด....ผู้หญิงคนนี้ไม่ตอบอะไร พยายามจะทำแบบว่า "ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ" ซึ่งดูแล้ว ไม่น่าจะใช่ ก่อนที่ท้ายที่สุดคุณเธอจะยื่นเอกสารมาให้ดูว่า "เป็นภรรยาของ "รองท่านทูต" ประเทศหนึ่ง" งานนี้ตกใจสิ เฮ้ยคนระดับนี้ทำไมทำแบบนี้?... พยายามค่อยๆพูด ค่อยๆเค้นถามรายละเอียดก่อนที่จะคุยกับผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบในห้างว่า "เอางี้นะไมเคิล ให้เขาเซ็นเอกสารยอมรับผิดแล้วก็ปรับเงินตามราคาสินค้าไปปกติ ก็แล้วกัน " ตกลงตามนั้นจึงได้ยื่นเอกสารให้เขาเซ็นยอมรับผิดไป ก่อนปล่อยตัวกลับบ้าน....
เรื่องมันควรจะจบแค่นั้น....แต่กลายเป็นว่าวันรุ่งขึ้นมีเจ้าหน้าที่จากสถานทูตเข้ามา "เอาเรื่อง" ห่ะ?? ครับอ่านไม่ผิด เอาเรื่อง มีการโวยวายเกิดขึ้น จนผู้จัดการสาขาคนใหม่ตกลงใจ "จัดกระเช้าไปขอโทษ" ห่ะ?? เท่านั้นยังไม่พอยังกดดันให้เรียก "ไอ้คุณภาษาคนนั้นมีขอโทษด้วยตัวเอง" เฮ้ย ทำผิดอะไร??....ไมเคิลได้แต่บอกกับผู้จัดการสาขาคนนั้นว่า "พี่เราจะจัดกระเช้าทำไม เราไม่ได้ผิด เขาเข้ามาขโมยสินค้าในห้างเรา แล้วเราจับได้ ไม่ได้ปรับเขาหนักหนาสาหัสอย่างที่ควรจะทำด้วย ให้เขาจ่ายตามราคาปกติ ถ้าพี่ทำแบบนี้ ยอมเขาแบบนี้ ต่อไปมันเหมือนเป็นใบอนุญาตให้เขาเข้ามาขนของเราออกจากห้างฟรีๆ ได้เรื่อยๆ นะ" ผู้จัดการบอก "ไมเคิล อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่น่า อะไรที่ยอมๆก็ยอมๆไปเถอะ คนเขาระดับผู้ใหญ่นะ มีร้องเรียนขึ้นไปแล้วสาขาเราจะแย่" เฮ้ยไม่ได้พี่ ...สาขาเราจะแย่ได้อย่างไรในเมื่อเรากำลังปกป้องผลประโยชน์ของท๊อปส์อย่างเต็มที่ ....เท่านั้นยังไม่พอเจ้าหน้าที่สถานทูตยังจะให้ไมเคิลไปขอโทษให้ได้ ผมจึงตัดสินใจพูดกับเขาว่า "คือคนของคุณมาขโมยของในห้าง ผมก็ทำเต็มที่ในการช่วยเหลือ ไกล่เกลี่ยสุดๆแล้ว ผมทำผิดอะไร?? เอางี้ก็แล้วกันนะครับ ถ้ามันเป็นประเด็นใหญ่โตมาก งั้นเราทำให้มันใหญ่โตยิ่งขึ้นดีมั๊ย? เราไปหานักข่าวทีวีกัน แล้วให้สังคมตัดสินกันไปเลยว่า คนของคุณผิดหรือว่าห้างเราผิด?? คุณอยากให้เรื่องราวใหญ่โตขนาดนั้น หรือว่าจะให้มันจบๆกันไปแบบนี้? ตัวแทนสถานทูตดูโกรธเป็นอย่างมาก หัวฟัดหัวเหวี่ยงจากไป ....แต่หลังจากนั้นก็เงียบหายไปเลย ไม่มีเรื่องราวอะไรต่อ คงชั่งน้ำหนักดูแล้ว ไม่คุ้มกระมั้ง เรื่องราวก็จบไปแบบนี้ เขาอาจจะขุ่นมัว แต่ทางเราควรจะขุ่นมัวมากกว่ามั้ง?
นั่นไม่ใช่เหตุการณ์เดียวที่เกิดขึ้นตลอดหลายปีที่ไมเคิลทำงานอยู่ที่นี่...เกิดเหตุการณ์ผู้หญิงน่าจะรัสเซีย "เมา" แล้วโวยวายเรื่องของแถมก่อนห้างปิด ว่าสินค้าบางตัวนั้นจะต้องได้รับของแถม แต่ทำไมตัวเองไม่ได้ นี่มันโกงกันหนิ....คุณภาษาอย่างไมเคิลจึงต้องเข้าไปเจรจา โดยบอกว่า "สินค้าที่คุณซื้อ"ไม่ได้เป็นโปรโมชั่นของทาง "ยูนิลีเวอร์" เพราะงั้นจึงไม่เข้าองค์ประกอบ ลูกค้าชาวรัสเซียคนนั้น ด่ากลับ "ยูนิ เลฟเฟอรรรรรร์ ยู บัสเติร์ด" คือจะบอกว่าเราออกเสียงผิด ไม่ใช่ยูนิลีเวอร์ แต่ควรเป็นยูนิเลฟเฟอร์ แต่ตบท้ายด้วยการ ด่าว่า "ไอ้ลูกสำส่อน" ซะงั้น....ตอนนั้นในท๊อปส์จะมีดีเจคอยเปิดเพลง และเป็นดีใจที่พูดอังกฤษได้ด้วย ซึ่งก็คือ "ดีเจแอน" ตอนที่ดีเจแอนได้ยินเสียงโวยวาย จึงอาสาเข้ามาเจรจาให้ บอกว่าคุณพูดแบบนี้กับเจ้าหน้าที่ได้อย่างไร? เท่านั้ันแหล่ะ ลูกค้าหญิงชาวรัสเซียรายนี้ หันไปด่าดีเจแอนว่า "บิตช" ซึ่งดีเจแอนก็ตกใจ แล้วเริ่มที่จะมีเรื่องกัน...ลูกค้าเริ่มออกอาการใช้กำลังเดินเข้าไปกระชากมือของดีเจแอน ไปกันใหญ่แล้ว ไมเคิลเห็นดังนั้นเลยเดินเข้ามาคั่นตรงกลาง เพื่อให้ดีเจแอนออกพ้นจากตรงนั้น ลูกค้าก็หันมาด่าไมเคิลแทนอีกพักใหญ่ จนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเริ่มหัวเสียแล้ว มีถามไมเคิลว่า ห้างจะปิดแล้วล็อคจับเลยดีมั๊ย? เข้าข่ายป่วนนะ เฮ้ยพี่ทำไม่ได้นะ ลูกค้า ปล่อยแกโวยวายไปซักพัก ด่าผมซักหน่อย เดี๋ยวก็ไปเอง.....แล้ววันนั้นลูกค้าคนนี้ก็เดินเมาๆ ออกจากห้างไปในที่สุด ทิ้งความขุ่นมัวไว้แบบนั้นกับทุกฝ่าย
ลูกค้าคนเดิมคนนี้ ถ้า "ไม่เมา" ปกติจะเป็นคนน่ารัก พูดจาดี ไม่เคยมีปัญหาใดๆ แต่วันไหนพอแกเมา เหมือนกลายร่างเป็นคนละคน แล้ววันดีคืนดี ก่อนห้างปิด เจ๊แกก็เมาอีกแล้ว.....ครั้งนี้แรงกว่าทุกๆครั้ง เพราะครั้งนี้ โวยวายไม่พอ มีด่าทอไม่พอ เธอใช้กำลังด้วย กล่าวคือตอนนั้นเจ้าหน้าที่ช่วยแพ็คถุงไม่กล้าเข้าไป แกก็โวยวายหาคนช่วยแพ็ค ไมเคิลเลยบอกน้องๆว่า เดี๋ยวพี่จัดการเอง อาสาไปช่วยแพ็คถุงเอง สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ลูกค้าคนนั้น เจ๊คนเดิม หยิบขวดน้ำอัดลมพลาสติก เหวี่ยงกึ่งตบเข้าที่หน้าไมเคิลเต็มๆ โทษฐานที่ "ชักช้า" เหล่ารปภ.เห็นแบบนี้เริ่มขยับตัวเข้ามา เตรียมจะเอาเรื่อง...แคชเชียร์ตกใจ...ไมเคิลบอกไม่เป็นไร คิดเงินให้เขาต่อไป จะได้จบๆ แกจะได้ไปๆซะ....ก่อนจากแกถุยน้ำลายให้อีกหนึ่งที รับไปเต็มๆครบทุกโปรโมชั่นเลยไมเคิล แล้วเจ๊แกจะจากไป.....
แค้นใจส่วนแค้นใจ แต่ในฐานะผู้ให้บริการ ไมเคิลทำได้แค่อดทน....เกิดมาไม่เคยต้องเจออะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต จำได้ว่ากลับไปถึงบ้านได้เล่าให้พระเอกฟัง พระเอกโกรธมาก บอกทำไมทำกันขนาดนี้?? ไม่ยอม ดักตีแม่มเลยป่ะพี่เก้อ...เฮ้ยใจเย็น ไม่มีอะไรหรอก เรื่องจบไปแล้ว...คือเข้าใจแร่ะว่าพระเอกคงไม่ได้จะไปทำแบบนั้นจริงๆหรอก แต่คงจะโกรธแทนพี่ตัวเอง...
ประสบการณ์ตรงนี้ทำให้ไมเคิลตระหนักรู้ว่า "ลูกค้าคือพระเจ้านั้นเป็นอย่างไร" แล้วในทางกลับกันก็เข้าใจเจ้หน้าที่ผู้ให้บริการ และพนักงานในห้างต่างๆมากขึ้น จากที่เคยหงิดหงิดเวลาที่บริการช้าหรืออะไร พอได้มาทำตรงนี้ จึงเห็นใจ และทุกๆครั้งที่ เราไปซื้อของที่ไหน แล้วมีปัญหาเรื่องบริการ ไมเคิลจะใจเขาใจเรา...อะไรนิดอะไรหน่อยก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน
ทุกๆครั้งที่เพื่อนๆขุ่นมัวหรือขัดใจเรื่องบริการที่ไม่ได้ดั่งใจ ใจร่มๆนะครับ โปรดเห็นใจพนักงานห้างทุกๆคน เพราะชีวิตเราๆไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะกับการรับมือลูกค้าร้อยพ่อพันแม่ในแต่ละวัน.....ทุกๆคำพูดที่ร้ายแรงหรือจิกกัด ที่เราอาจจะคิดว่า แค่ระบายอารมณ์ไป บางครั้งมันฝังอยู่กับพวกเขาทั้งวัน นี่ยังไม่รวมถึงความน้อยเนื้อต่ำใจต่างๆอีก.... บ่อยครั้งที่ผมเห็นพนักงานหนีไปร้องไห้หลังห้าง
ยิ้มให้กับพวกเราบ้างเถอะครับ....
โฆษณา