15 ธ.ค. 2020 เวลา 04:29 • นิยาย เรื่องสั้น
#เล่าเท่าที่จำได้ 22- "วันนี้ที่รอคอย"
คุณเคยวิ่งมาราธอนมั๊ย? สำหรับคนที่เริ่มหัดวิ่ง การที่จะวิ่งให้ได้ถึงสี่สิบกว่ากิโลเมตรได้นั้น เป็นฝันที่เลื่อนลอยชะมัด คือโหยยยยย วิ่งกันไปได้ยังไงฟร่ะ? กิโลเดียวก็แทบแย่แล้ว แต่ในความเป็นจริงก็คือ เมื่อคุณเริ่มวิ่งไปเรื่อยๆ สามกิโลเมตรแรกที่ถึงคุณดีใจ หลังจากนั้นคุณเริ่มใหม่วิ่งไปๆ จนวันนึงได้ห้ากิโลเมตร อีกสัปดาห์นึงคราวนี้วิ่งได้เจ็ดแล้ว อีกเดือนนึงวิ่งได้สิบแล้ว สองสามเดือนผ่านไป เฮ้ยวิ่งยี่สิบได้แล้ว ดีใจๆ เราเก่งขึ้น เราฟิตขึ้น เป้าหมายสี่สิบกว่ากิโลเมตรแม้จะดูยาก แต่ความมั่นใจเพิ่มขึ้น และมันคงไม่ใช่แค่ฝันอีกต่อไป
แต่ชีวิตจริงคนเรามันไม่ได้สะดวกราบลื่นตลอดทางแบบนั้น วันดีคืนดีไมเคิลออกไปวิ่งเพื่อที่ที่จะทำให้ได้สามสิบกิโลเมตร แต่แล้วก็มาเจอมอเตอร์ไซค์ชนจนบาดเจ็บเข้าโรงพยาบาล พักฟื้นไปนาน เป้าหมายสี่สิบกว่ากิโลเมตรจึงเลื่อนลอยไปอีกครั้ง และนับตั้งแต่วันนั้นแม้จะพยายามกลับมาให้ได้ ก็ไม่เคยวิ่งไปถึงซักที มีบางคราววิ่งไปสามสิบแล้ว เกิดบาดเจ็บที่เอ็นร้อยหวายอีก ต้องพักยาวอีก แล้วกว่าจะเรียกความฟิตกลับมาได้ ก็ผ่านไปอีกหลายเดือน เพื่อที่จะบาดเจ็บอีก วนๆซ้ำๆไปแบบนี้
มานั่งนึกว่า ชีวิตตัวเองมันไม่เคยได้อะไรมาโดยง่ายจริงๆแฮ่ะ แต่หากพยายามอย่างเต็มที่แม้ว่าจะเสียเวลา "มากกว่าคนอื่น" อีกซักหลายเท่าตัว ซักวันมันก็คงจะสำเร็จ เชื่อแบบนี้ เชื่อแบบโง่ๆแบบนี้แหล่ะ และไอ้ความเชื่อแบบนี้แหล่ะที่มันหล่อเลี้ยงให้เรามีพลังในการทำทุกๆอย่างในแบบของเราไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะโดน "แขว่ะ ว่า ตำหนิ โดยคนอื่นมาตลอดทาง" ก็ตาม
เป้าหมายหนึ่งที่สำคัญที่สุดของไมเคิลช่วงหนึ่งก็คือ "ทำทุกๆอย่าง ทีละนิดละน้อย" จะต้องพาพระเอกไปถึง "ปริญญา" ให้ได้ เราทำงานอย่างหนัก อดหลับอดนอน อดทนกับเรื่องราวมากมายสุดดราม่าที่เข้ามาในชีวิต เหมือนวิ่งมาราธอน แต่เป็นแบบ "ไมเคิล วิ่งไปเรื่อยๆ วันละนิดละหน่อยสะสม แต่เป็นการวิ่งถึงสี่ปีเต็ม" แล้ววันนี้ก็มาถึงจนได้
อย่างน้อยมันก็คือ "มาราธอนชีวิตที่ไมเคิลทำได้สำเร็จจริงๆ" แม้ว่า "มาราธอนที่เป็นกีฬาจริงๆ ไมเคิลจะยังทำมันไม่ได้ก็ตาม"
เช้าวันรับปริญญาที่ "ศูนย์สิริกิต" ไมเคิลแบกกล้องคู่ใจ "กล้องที่ใช้เงินที่เก็บสะสมนานมากกว่าจะได้มา" เป็นกล้องดิจิตัล เพื่อไปร่วมงานรับปริญญา "พระเอก" หมายมั่นปั้นมือว่า "ตอนงานตัวเอง เราไม่มีตากล้องช่วยถ่าย ไม่มีเงินจะจ้างใคร งานน้องตัวเองจะต้องไม่มีความน้อยเนื้อต่ำใจนี้" เราอาจจะไม่ใช่ตากล้องที่เก่งอะไร แต่ "ขยันถ่ายน่าจะพอทดแทนได้"
ในวันงานจริง "เอฟซี หรือ แฟนคลับ" พระเอกมาเยอะมาก มาให้กำลังใจและร่วมยินดีกันล้นหลาม แบบเฮ้ยทำไมเยอะแบบนี้ "พระเอกดูแฮปปี้ มีความสุข" แฟนคลับก็เช่นกัน แน่นอนวันนั้นไมเคิลก็มีความสุข และแน่นอนไม่มีใครรู้ว่า "รองเท้าหนังสีดำ" ที่พระเอกใส่ไปรับปริญญา มันคือคู่เดียวกันกับที่ "ไมเคิลใส่รับปริญญาเมื่อหลายปีก่อน" เราใส่รองเท้าคู่เดียวกัน มันตลกตรงพระเอกเท้ายาวกว่าเยอะ ก็ไม่รู้ว่ามันยัดเข้าไปได้ยังไงเหมือนกัน แต่มันให้อารมณ์ "รับไม้ต่อ สืบทอดเจตนารมณ์" อะไรแบบนั้นเลย รองเท้าคู่นี้มันก็สมบุกสมบันจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นต่อมาเหมือนกันแฮ่ะ จริงๆน่าจะเก็บไว้เป็นที่ระลึกเหมือนกันเน๊อะ ใส่กรอบไว้ แล้วเขียนกำกับว่า "ผ่านตรีนในวันรับปริญญาของสองพี่น้องสุวรรณเมธานนท์มาแล้ว" 5555
หม่าม้า ป่าป๊า พี่สาว พี่เขย ญาติๆใกล้ชิดที่มาได้ ต่างก็มีความสุขกันหมด ทุกๆคนต่างดีใจที่เห็น "พระเอกรับปริญญา" ที่สำคัญเขาไม่ได้รับปริญญาแบบเดียวดาย คือมีทั้งเพื่อนสนิท และเพื่อนสนิทคลับ มาร่วมยินดีกันอย่างคับคั่ง จำได้ว่า "พัด" ก็รับปริญญาวันเดียวกันกับพระเอกด้วยนะ น่าจะได้ถ่ายรูปคู่กันด้วย ยินดีด้วยนะพัด วันนั้นก็พูด แต่ไม่รู้พัดได้ยินหรือเปล่า วันนี้มายินดีด้วยอีกครั้ง
ในขณะที่ไมเคิลกำลังถ่ายรูปรัวๆ พระเอกก็บอกว่า "ไม่ต้องถ่ายเยอะก็ได้พี่เก้อ ซันนี่ว่าเรารอเซฟรูปที่แฟนคลับถ่ายดีกว่า นอกจากจะถ่ายกันดีๆแล้ว ยังได้หลายมุมด้วย แบบนี้ก็ดีเน๊อะ " เออจริงของพระเอกมัน แต่ละคน ถือกล้องมาหลายตัว แต่ละคนมืออาชีพทั้งนั้น เคยเห็นถ่ายรูปหลายๆงานแล้ว เจ๋งๆทั้งนั้น รอเซฟน่าจะได้รูปดีๆกว่าแฮ่ะ งานนี้ไมเคิลเลยแค่ถ่ายบรรยากาศโดยรวม แล้วฝากความหวังกับแฟนคลับเรื่องรูปมุมต่างๆของพระเอกเอาแทน แล้วก็ไม่ผิดหวัง แต่ละรูปที่เอามาลงในเว็บภายหลังคือสุดๆ มุมแต่ละมุมดีมากๆ ประทับใจ
งานวันรับปริญญาพระเอกจบลงไปอย่างน่าจดจำ แม้อากาศจะร้อนไปบ้าง แต่รอยยิ้มยังคงมีเปื้อนหน้าแทบทุกคนในบ้าน โดยเฉพาะหน้าของไมเคิลคนนี้
ความรู้สึกตอนนั้น มันเหมือนการวิ่งระยะยาว วิ่งยาวนาน วิ่งช้าๆ วิ่งเรื่อยๆ เหนื่อยก็เดิน หายเมื่อยก็วิ่งต่อ ผ่านเช้าสายบ่ายเย็น ค่ำ แล้วเช้าใหม่ วนๆไปแบบนี้ แล้วจู่ๆวันหนึ่ง "เส้นชัยก็ยืนอยู่ข้างหน้า แล้วเราก็วิ่งไปถึง" มันก็แบบนี้สินะ เราไม่ได้เป็นคนวิ่งเก่งอะไร แต่ถ้าวิ่งมันเรื่อยๆ มันก็ต้องถึงจนได้สินะ
มันเหมือนอารมณ์ "คนหัดเย็บผ้า" ตัดเย็บเสื้อตัวหนึ่งค่อยๆทำมันเบี้ยวบ้างก็แก้ เย็บไปเรื่อยๆ แต่งมันเรื่อยๆ จนมันเป็นรูปเป็นร่าง จนสุดท้ายเสื้อตัวนี้เสร็จ เสื้ออาจจะขี้เหร่ไปบ้าง แต่มันเป็นเสื้อที่ "เราไม่ได้จะใส่เอง" เรามอบเสื้อตัวนั้นให้คนที่ "เรารักที่สุดคนนึงใส่" คนใส่เขายิ้ม เขาแฮปปี้ ออร่าความมีความสุขของเขาช่วยเปร่งประกายให้เสื้อที่ "ขี้เหร่ตัวนั้น" ดูมีค่าขึ้นมา เราก็ไม่เสียดายกับเวลาที่เราได้พยายามทำมาตลอดแล้วละครับ
สี่ปีกว่าๆที่รอคอย มองย้อนกลับไปแล้ว "มันก็พริบตาเดียวจริงๆนะ" แต่เป็นพริบตาเดียวที่ทรงคุณค่าเหลือเกิน
และนั่นคือวันที่ตัดสินใจว่า "คงถึงเวลาแล้วที่เราจะร่ำลาเพื่อนๆที่ท๊อป มาร์เก็ตเพลส สีลมคอมเพล็กซ์" เช่นกัน "ร่ำลาความสุข ทุกข์ เพื่อน และความทรงจำดีๆ ความผูกพันทั้งหมดตลอดสี่ปีที่นั่น" ขอบคุณทุกๆกำลังใจและมิตรภาพที่ทำให้ไมเคิลคนนี้ยืนหยัดจนถึงวันนี้
ความสำเร็จนี้ ล้วนได้รับพลังทีละส่วนๆจากทุกๆคน ไม่ว่าจะ พี่หญิง พี่หนุ่ม คุณนันทิยา วี หน่อย รัตนา พี่รุ่ง หนึ่ง ก๊อตจิ จุ๋ม เอ๋ ตี๋อ้วน แอ๋ว ดีเจทราย แอน และอีกหลายๆคนที่เอ่ยถึงไม่หมด ถ้าไม่มีมิตรภาพจากพวกคุณทั้งหมด ไมเคิลคงไม่สามารถยืนหยัดได้ถึงวันนี้ ขอบคุณจริงๆ
โฆษณา