Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
วิเคราะห์บอลจริงจัง
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
15 ธ.ค. 2020 เวลา 11:03 • กีฬา
ตลอดการทำงานของเชราร์ อุลลิเยร์ นี่คือความผิดหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา ในวันนี้ที่ทราบข่าวอุลลิเยร์เสียชีวิต เราจะย้อนอดีตไปดูเรื่องราวสุดคลาสสิคเรื่องนี้พร้อมๆกัน
ช่วงชีวิตของเชราร์ อุลลิเยร์ อาจไม่ได้โทรฟี่เยอะแยะมากมาย เหมือนผู้จัดการทีมระดับโลกคนอื่น แต่ในภาพรวมก็ถือว่าโอเค
เขาพาปารีส แซงต์ แชร์กแมง ได้แชมป์ลีกเอิงครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ในยุคที่ยังไม่ได้ร่ำรวยล้นฟ้าขนาดนี้
เขาพาโอลิมปิก ลียง ได้แชมป์ลีกเอิง 2 สมัยซ้อน พร้อมมีสถิติยิงประตูสูงสุดทั้ง 2 ปี จนลียงยุคนั้นได้รับฉายา "ลียงลงเป็นยิง" จากแฟนบอลชาวไทย
เขาพาทีมชาติฝรั่งเศส คว้าแชมป์ยุโรปรุ่น U-19 ในปี 1996 โดยในทีมชุดนั้น อุลลิเยร์เป็นคนปลุกปั้น สามทหารเสือ เธียร์รี่ อองรี, ดาวิด เทรเซเกต์ และ นิโกลาส์ อเนลก้า ให้โด่งดังจนใครๆก็รู้จัก รวมถึงสองแนวรับชื่อดังวิลเลียม กัลลาส และ มิกาแอล ซิลแวสตร์ ก็อยู่่ในทีมชุดนี้ด้วย
1
เขาพาลิเวอร์พูลคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ ในซีซั่น 2000-01 เป็นคนให้โอกาสสตีเว่น เจอร์ราร์ด ลงสนามกับทีมชุดใหญ่ และเป็นคนพัฒนาไมเคิล โอเว่น จนได้รางวัลบัลลงดอร์
อุลลิเยร์ เป็นโค้ชยอดเยี่ยมแห่งปีของยูฟ่าในปี 2001 และ ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนของพรีเมียร์ลีกถึง 3 ครั้ง
ตลอดชีวิต 73 ปีของเขา มีความสำเร็จมากมายเกิดขึ้น และคนในวงการฟุตบอลล้วนยอมรับความสามารถของเขาจากใจจริง
อย่างไรก็ตาม สิ่งเดียวที่ติดค้างในใจของอุลลิเยร์มาตลอดคือ การไม่สามารถพาฝรั่งเศสไปเล่นรอบสุดท้ายฟุตบอลโลกได้สำเร็จ
นี่คือเหตุการณ์บันลือโลก และเป็นบทเรียนสำคัญที่สุดในอาชีพผู้จัดการทีมของเขาด้วย
ทีมชาติฝรั่งเศส ได้อันดับ 3 ในฟุตบอลโลก 1986 แต่ในยูโร 1988 พวกเขาตกรอบคัดเลือก สหพันธ์ฟุตบอล จึงปลดอองรี มิเชล ออกจากตำแหน่ง แล้วแต่งตั้ง มิเชล พลาตินี่ เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่
พลาตินี่ในฐานะผู้จัดการทีม มีผลงานน่าผิดหวัง เขาไม่สามารถพาฝรั่งเศสไปเล่นในฟุตบอลโลก 1990 รอบสุดท้ายได้ ขณะที่ในยูโร 1992 ก็ตกรอบแบ่งกลุ่ม นั่นทำให้สหพันธ์ฯ เปลี่ยนแปลงอีกรอบ โดยดันเอาเชราร์ อุลลิเยร์ ขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่
เชราร์ อุลลิเยร์ หลังจากแยกทางกับเปแอสเช ในปี 1988 เขาผันตัวมาทำงานให้ทีมชาติฝรั่งเศส โดยเป็นผู้ช่วยของพลาตินี่ ซึ่งพอพลาตินี่โดนปลด เขาก็เลยเสียบตำแหน่งแทนทันที
1
อุลลิเยร์เซ็นสัญญากับสหพันธ์ฯ 2 ปี คือ 1992 และ 1993 ถ้าหากเขาฝรั่งเศสไปเล่นฟุตบอลโลก 1994 ที่สหรัฐอเมริกาได้ ก็จะได้รับการขยายสัญญาออกไป
ฝรั่งเศสอยู่ในกลุ่ม 6 ร่วมกับ สวีเดน, บัลแกเรีย, ออสเตรีย, ฟินแลนด์ และ อิสราเอล โดยทีมที่ได้คะแนนสูงสุดอันดับ 1 และ 2 จะได้ไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
อุลลิเยร์มีผลงานที่ยอดเยี่ยมมากๆ ผ่านไปแล้ว 8 เกม ฝรั่งเศสนำเป็นจ่าฝูงของกลุ่ม (ในยุคนั้นชนะ 1 นัดได้ 2 แต้ม)
1) ฝรั่งเศส - 13 แต้ม
2) สวีเดน - 12 แต้ม
3) บัลแกเรีย - 10 แต้ม
4) ออสเตรีย - 6 แต้ม (7 นัด)
5) ฟินแลนด์ - 3 แต้ม
4) อิสราเอล - 1 แต้ม (7 นัด)
1
ฝรั่งเศสเหลือ โปรแกรม 2 นัดสุดท้าย ได้เล่นในบ้านทั้ง 2 เกม เจอกับบ๊วยอิสราเอล ที่ยังไม่ชนะใครเลย และ เจอบัลแกเรีย ซึ่งแปลว่าขอแค่พวกเขาชนะอิสราเอล ก็จะเข้ารอบสบายๆ โดยไม่ต้องสนใจผลการแข่งขันของคู่อื่นด้วยซ้ำ
คือได้เล่น 2 นัดสุดท้ายในบ้านตัวเอง ไม่มีอะไรจะเป็นใจให้เข้ารอบมากกว่านี้อีกแล้ว
13 ตุลาคม 1993 ที่สนามพาร์ก เดอ แพรงซ์ ฝรั่งเศส เจออิสราเอล พวกเขาส่งผู้เล่นจัดหนัก มีทั้งมาร์กแซล เดอไซญี่, โลรองต์ บลองค์, เอ็มมานูแอล เปอตีต์, ดิดิเยร์ เดสช็องส์, ฌอง ปิแอร์-ปาแป็ง, เอริค คันโตน่า และ ดาวิด ชิโนล่าลงสนาม
2
ส่วนอิสราเอล ที่ยังไม่ชนะใครเลย มีตัวดังๆคนเดียว คือ รอนนี่ โรเซนธาล นักเตะของลิเวอร์พูล และ เอยัล เบอร์โควิช ที่ในเวลาต่อมาจะย้ายไปเวสต์แฮม ส่วนที่เหลือโนเนมหมด
ได้เล่นในบ้าน เจอทีมที่ไม่ชนะใครเลย คืออย่าว่าแต่เสมอเลย ฝรั่งเศสควรถล่มครึ่งโหล แล้วเข้ารอบไปแบบหมดห่วงด้วยซ้ำ
1
อุลลิเยร์ ทำทุกอย่างได้ดีหมด ฝรั่งเศสขึ้นนำ 2-1 จนถึงนาทีที่ 83 แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลก เมื่ออิสราเอลผีเข้ามาตีเสมอได้สำเร็จเป็น 2-2 จากการเสียสมาธิแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น
2
ฝรั่งเศสบุกหนักเพื่อยิงประตูชัยให้ได้ แต่ก็โดนอิสราเอลผีเข้าอีกรอบ โรเซนธาล กระชากเลี้ยงหลุดกองหลังฝรั่งเศสทั้งแผงก่อนครอสเข้ากลาง ให้โรเวน อตาร์ หัวหอกจากมัคคาบี้ ไฮฟา ยิงเข้าไป
2
สรุปฝรั่งเศสแพ้คาบ้านไปแบบเหลือเชื่อ 3-2 กับทีมบ๊วยที่ยังไม่เคยชนะใครเลยแม้แต่เกมเดียว
1
สถานการณ์อันผิดพลาดนี้ ทำให้ฝรั่งเศสต้องกดดัน แทนที่จะผ่านเข้ารอบไปเลย กลับไปปลุกผีบัลแกเรียให้ฟื้นขึ้นมาจากหลุม
หลังผ่านไป 9 นัด สถานการณ์ในตารางคะแนนเป็นแบบนี้
1
1) สวีเดน - 14 แต้ม
2) ฝรั่งเศส - 13 แต้ม
3) บัลแกเรีย - 12 แต้ม
4) ออสเตรีย - 7 แต้ม
5) อิสราเอล - 4 แต้ม
6) ฟินแลนด์ - 3 แต้ม
1
โปรแกรมนัดที่ 10 นัดสุดท้าย ประกอบด้วย
ออสเตรีย vs สวีเดน
อิสราเอล vs ฟินแลนด์
ฝรั่งเศส vs บัลแกเรีย
1
สำหรับคู่สวีเดน ยังไงจะแพ้จะชนะ พวกเขาก็ผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลกแน่นอนแล้ว เพราะฝรั่งเศส กับบัลแกเรียจะตัดแต้มกันเองในนัดสุดท้าย
ดังนั้นโควต้าตั๋วบอลโลกใบสุดท้าย จึงอยู่ที่สนามพาร์ก เดอ แพรงซ์ ฝรั่งเศสถ้าชนะ หรือเสมอ ก็ได้ไปบอลโลกทันที ส่วนบัลแกเรีย ต้องบุกมาชนะให้ได้สถานเดียวเท่านั้น
1
สำหรับเชราร์ อุลลิเยร์ นี่คือเกมที่สำคัญที่สุดในชีวิต เขาต้องทำทุกอย่างเพื่อพาฝรั่งเศสไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายให้ได้
ในสมัยนั้น (1993) สนามกีฬาแห่งชาติสต๊าด เดอ ฟรองซ์ ยังไม่ถูกเปิดใช้งาน เวลาฝรั่งเศสจะลงเล่นเกมทีมชาติ จะใช้สนามพาร์ก เดอ แพรงซ์ ของปารีส แซงต์ แชร์กแมง เป็นสนามเหย้า
1
อย่างที่ทุกคนทราบกันดี ปารีส แซงต์ แชร์กแมง กับ โอลิมปิก มาร์กเซย เป็นสองสโมสรที่เป็นคู่ปรับกันอย่างรุนแรง ซึ่งบางทีมันก็แรงจนเหมารวมไปถึงทีมชาติด้วย
การเล่นที่พาร์ก เดอ แพรงซ์ ส่งผลให้ปริมาณคนดูที่เข้ามาชมเกมทีมชาติ เป็นชาวปารีสซะมาก และพวกเขาก็เป็นแฟนของสโมสรเปแอสเชนั่นแหละ
17 พฤศจิกายน 1993 เกมนัดสำคัญมาถึง ฝรั่งเศส รับมือบัลแกเรีย เกมนี้ผู้ชม 48,402 คน เข้ามาชมเต็มความจุของสนาม
เนื่องจากเล่นเพื่อเสมอก็เข้ารอบ ทำให้อุลลิเยร์ เลือกใช้แผน 1-3-4-2 เน้นความระมัดระวังเอาไว้ก่อน
นายทวารใช้แบร์กนาร์ ลามา มีโลรองต์ บลองค์ เป็นสวีปเปอร์ กองหลังสามคนมีเดอไซญี่, อแล็ง โรเช่ และเอ็มมานูแอล เปอตีต์
1
กองกลาง มีเดช็องส์,ฟรองค์ เซาซี่, เรย์โนลด์ เปดรอส และ ปอล เลอ กูเอน ขณะที่คู่หน้า อุลลิเยร์ใช้ เอริค คันโตน่า และ ฌอง-ปิแอร์ ปาแป็ง
การอัดเกมรับหนาแน่น แปลว่าเขาต้องถอดดาวิด ชิโนล่า เพลย์เมกเกอร์พรสวรรค์จากปารีส แซงต์ แชร์กแมงออกไปจากทีม เพื่อเน้นเกมรับไว้ก่อน
ก่อนถึงวันแข่งผู้เล่นทุกคนจะได้รู้ว่าใครเป็นตัวจริง ใครเป็นตัวสำรอง ซึ่งสำหรับชิโนล่าที่ได้เป็นตัวจริงมาตลอด เมื่อรู้ว่าต้องเป็นสำรองของแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างมาก และให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า เขาฟอร์มดีกว่า มั่นใจกว่า และควรได้เป็นตัวจริงมากกว่า ทั้งเอริค คันโตน่า และ ฌอง ปิแอร์-ปาแป็ง
คำพูดที่หลุดออกไปแบบนี้ ทำให้แฟนๆหลายรายก็รู้สึกเห็นด้วย เพราะในเกมกับอิสราเอลก่อนหน้านี้ ชิโนล่ายิง 1 จ่าย 1 ขณะที่คันโตน่า กับปาแป็งไม่ได้ทำอะไรเลย ดังนั้นไม่มีเหตุผลอะไรที่โค้ชจะดร็อปชิโนล่าแล้วให้สองคนนั้นเป็นตัวจริงแทน
ทั้งคันโตน่า และปาแป็ง เป็นอดีตนักเตะของโอลิมปิก มาร์กเซยทั้งคู่ ยิ่งเป็นชนวนสำคัญ ทำให้แฟนบอลในสนามวันนั้น "โห่" ใส่คันโตน่าและปาแป็ง แทนที่จะให้กำลังใจกันในสนาม
คือ ณ จุดนั้น แฟนเปแอสเชเกลียดแค้นมาร์กเซย จนแยกแยะไม่ได้ว่าในทีมชาติก็ควรจะเป็นกรณียกเว้น บรรยากาศในสนามพาร์ก เดอ แพร็งซ์ในวันนั้น จึงเต็มไปด้วยเสียงโห่ใส่นักเตะทีมตัวเองอย่างอื้ออึง
"การที่เขาบอกว่าตัวเองควรได้ลงแทนคันโตน่า หรือปาแป็ง มันคือความผิดพลาด มันทำให้บรรยากาศในสนามกลายเป็นอีกรูปแบบไปเลย" อุลลิเยร์เล่า
ตอนแรกอุลลิเยร์จะตัดชิโนล่าทิ้งไปจากทีมเลย ไม่ใส่ไว้ในตัวสำรองด้วย แต่เอเม่ ฌักเกต์ ผู้ช่วยผู้จัดการทีมเบรกไว้ เพราะถ้าทำแบบนั้นก่อนศึกใหญ่ มันจะเห็นชัดเจนว่าทีมขาดเสถียรภาพ ไม่เป็้นประโยชน์กับทีม
2
อุลลิเยร์เลยตัดใจ ใส่ชิโนล่าในรายชื่อตัวสำรองด้วย โดยลิสต์สำรอง 5 คนของฝรั่งเศสประกอบไปด้วย บิเซนเต้ ลิซาราซูม, แวงซ็องต์ กวาแร็ง, ยูริ จอร์เกฟฟ์, ดาวิด ชิโนล่า และ นายทวารสำรองบรูโน่ มาร์ตินี่
1
เกมเริ่มต้นขึ้น ฝรั่งเศสก็เล่นเกมรับอย่างอดทน ไม่รีบร้อนบุก นาทีที่ 32 ฌอง ปิแอร์-ปาแป็ง โหม่งชงให้เอริค คันโตน่า วิ่งมาวอลเลย์เต็มๆ ด้วยเท้าขวา เข้าประตูไปอย่างดุดันสุดๆ ให้ฝรั่งเศสนำ 1-0
สองคนที่โดนแฟนบอลปารีสโห่ใส่ กลับมีคอมบิเนชั่นช่วยกันให้ฝรั่งเศสออกนำซะอย่างนั้น
พอยิงได้ คันโตน่า วิ่งขึ้นไปยืนบนป้ายโฆษณา แล้วชูมือสองข้าง เหมือนจะเป็นการบอกกองเชียร์ว่า จะโห่กันอีกนานไหม ก่อนที่จะวิ่งไปกอดปาแป็ง คนที่แอสซิสต์สุดสวยในลูกนี้
2
แต่ฝรั่งเศส ไม่ยอมรวบรวมสมาธิกลับมาให้เร็ว นาทีที่ 37 บัลแกเรียได้เตะมุม เอมิล คอสสตาดินอฟ เทกตัวโหม่งเข้าประตูไปเลย ตีเสมอเป็น 1-1
1
จากที่จะสบายๆ เกมต้องกลับมากดดันอีกแล้ว
ครึ่งแรกจบ 1-1 เข้าสู่ครึ่งหลัง แฟนบอลส่งเสียงโห่ และกดดันโค้ชให้เอาดาวิด ชิโนล่าลงสนามเสียที ซึ่งอุลลิเยร์ก็หวังว่า ทักษะการครองบอลที่ยอดเยี่ยมของชิโนล่า น่าจะช่วยดึงเวลาได้ดี จึงส่งชิโนล่าลงแทน ฌอง ปิแอร์-ปาแป็ง ในนาทีที่ 69
ฝรั่งเศสเล่นเกมรับเต็มตัว นาที 80 อุลลิเยร์เปลี่ยนอีกคน เอาแวงซ็องต์ กวาแร็ง ในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลางใส่เพิ่มเข้ามาอีกคน แล้วถอดตัวรุก ฟรองค์ เซาซี่ออก
นักเตะคนอื่นเล่นเกมรับหมด ข้างหน้าห้อยแค่ คันโตน่า กับชิโนล่าเอาไว้ คืออุลลิเยร์รู้ดีว่าทีเด็ดของบัลแกเรีย คือเซ็ตพีซ กับลูกโต้กลับเร็ว ดังนั้นถ้าครองบอลไปเรื่อยๆ เล่น Possession Game ไม่ปล่อยให้บัลแกเรียได้โต้ เกมก็จบ เพราะบัลแกเรีย Build-Up เจาะไม่ได้อยู่แล้ว
เป้าหมายของเขาคือการไปบอลโลก มันไม่ใช่เวลาต้องมาเล่นสวย แต่ต้องหวังผลการแข่งให้บรรลุเป้าหมายเท่านั้น
เข็มนาฬิกาในแมตช์นี้ อยู่ที่ 89:15 ชิโนล่ากระชากบอลไปที่มุมธงด้านขวา แล้วโดนกองหลังบัลแกเรียทำฟาวล์ ฝรั่งเศสได้ฟรีคิกที่มุมธงของบัลแกเรีย เกมนี้ครึ่งหลังไม่มีจังหวะตัดฟาวล์อะไรเลย และกรรมการก็น่าจะทดไม่เกิน 1 นาที
1
การได้ฟรีคิกตรงจุดนี้ กับช่วงเวลาไม่ถึงนาที แปลว่า ถ้าชิโนล่าเอาตัวเข้ามุม ใช้ร่างกายบังบอลไว้ เพื่อฆ่าเวลาไป เกมก็จบแล้ว
89:40 แวงซ็องต์ กวาแร็ง รู้งานเดินมาเตะฟรีคิกเพื่อเขี่ยให้ชิโนล่าเล่นสั้น เพื่อให้ชิโนล่าเข้ามุม คือทุกคนคิดว่าเกมโอเวอร์ อุลลิเยร์ ฌักเกต์ แฟนบอลทุกคน แม้แต่นักเตะฝรั่งเศสก็คิดว่าจะปิดเกมได้แล้ว
ชิโนล่ารับบอลมาจากกวาแร็ง แทนที่เขาจะเข้ามุม เขากับครอสบอลเปรี้ยงเข้ากลางให้เอริค คันโตน่า ที่ไม่คาดคิดว่าชิโนล่าจะเปิดมาเพื่อเอาประตูเพิ่ม บอลของชิโนล่าแรงมากๆ จนข้ามไปถึงริมเส้นอีกด้าน
บัลแกเรียตัดบอลได้ง่ายๆ ตอนนี้กองหลังฝรั่งเศสรวนแล้ว เพราะไม่ได้เตรียมพร้อมจะโดนโต้ บัลแกเรียจ่ายบอลไดเร็กต์ 4 จังหวะ มาถึงเอมิล คอสสตาดินอฟ ซัดโป้งด้วยขวา บอลแรงจัดกระแทกคานเข้าประตูไปแบบช็อกทั้งสนาม บัลแกเรียขึ้นนำ 2-1 ในเวลา 89:59
1
ข้างๆสนาม อุลลิเยร์ ทำหน้ายากจะบรรยาย ส่วนฌักเกต์เอามือกุมหัว พลาตินี่เอามือกอดอกสีหน้าตกใจสุดขีด ส่วนในสนามเดอไซญี่เอาสองมือกุมหัว นี่มันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้
ฝรั่งเศสรีบเอาลูกมาเขี่ย แต่เกมนี้ทดเวลาแค่ 1 นาทีเท่านั้น หลังจากเขี่ยลูกได้แค่ 15 วินาที กรรมการจากสกอตแลนด์เป่าหมดเวลาทันที
ฝรั่งเศสแพ้ 2-1 คาบ้าน ตกรอบฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ไม่ได้ไปเล่นในเวิลด์คัพ 2 ทัวร์นาเมนต์ติดต่อกัน และสำหรับอุลลิเยร์ มันคือความเจ็บปวดที่สุดในชีวิต
กล่าวคือ แผนการของเขาถูกต้องทุกอย่างแล้ว ขอแค่ดึงเกมช้าๆ ไม่เปิดช่องให้บัลแกเรียได้โต้กลับเกมก็จบแล้ว แต่การโยนบอลของชิโนล่าที่ไม่ทำตามแผน ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด
1
อุลลิเยร์เดินเข้าห้องแต่งตัวทันที จากนี้ไปเขาจะถูกจารึกชื่อในฐานะโค้ชที่ไม่สามารถพาทีมชาติไปเล่นฟุตบอลโลกได้
เลอกิ๊ป สื่อยักษ์ใหญ่ขอประเทศ เปิดหน้าด่าชิโนล่าทันทีโดยกล่าวว่า "นักเตะทีมชาติช่างโง่เง่า ที่ปล่อยให้บัลแกเรียได้ครองบอลในนาทีสุดท้าย การเสียประตูแบบนี้ แม้แต่ทีมบอลหมู่บ้านเขายังไม่ทำกันเลย เกมกับอิสราเอลก็แบบนี้ปล่อยให้คู่แข่งยิงได้ท้ายเกม"
ขณะที่เชราร์ อุลลิเยร์ ก็กลั้นอารมณ์ไม่อยู่ เขาให้สัมภาษณ์ว่า "ชิโนล่ายิงมิสไซล์ใส่ในหัวใจของแฟนบอลฝรั่งเศส"
"การผจญภัยของเราจบลงเร็วเกินไป อีกแค่ 30 วินาที ทุกอย่างก็จบสิ้นแล้ว แต่เราเหมือนโดนคนลอบแทงด้านหลัง ในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ตอนชิโนล่ากำลังจะเตะฟรีคิก กรรมการคาบนกหวีดไว้ในปากแล้วด้วยซ้ำ"
"แต่ไม่รู้เขาทำไปเพื่ออะไร ถึงครอสบอล 60 เมตรข้ามฟากไปเลย แล้วปล่อยให้บัลแกเรียได้เล่นเกมโต้กลับเร็ว"
แต่ไม่ใช่ชิโนล่าคนเดียวที่โดนตำหนิ อุลลิเยร์ก็โดนด่าเช่นกัน โดยฮริสโต้ สตอยช์คอฟ สตาร์ของบัลแกเรียก็เยาะเย้ยอุลลิเยร์ว่า "คิดแบบขลาดกลัวเกินไปในบ้านตัวเอง ก็ต้องโดนบทลงโทษแบบนี้" คือในมุมของสตอยช์คอฟ คิดว่าถ้าฝรั่งเศสเล่นบุกแบบแมนๆ อาจจะขยี้บัลแกเรียขาดลอยไปแล้วก็ได้ แต่อุลลิเยร์เลือกจะเชื่อมั่นในแท็กติกของตัวเองมากกว่า
2
อุลลิเยร์ ขอทีมชาติแก้ตัวในยูโร 1996 ซึ่งสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศสจริงๆก็ยังชื่นชอบอุลลิเยร์อยู่ แต่กระแสสังคมโจมตีหนักเกินไป ว่าโค้ชบ้าอะไร เล่นในบ้านแพ้ 2 นัดติด ดังนั้นอุลลิเยร์จึงไม่มีทางเลือกนัก เขาประกาศลาออก ก่อนที่สหพันธ์จะให้ฌักเกต์ขึ้นไปเป็นโค้ชใหญ่แทน
สำหรับอุลลิเยร์ กับชิโนล่า เป็นคู่กัดคนสำคัญในวงการฟุตบอล ในเวลาต่อมา เพราะอุลลิเยร์ยังแค้นชิโนล่า เวลาให้สัมภาษณ์ทีไร เขาก็บอกว่า เป็นความผิดของชิโนล่า ทั้งการให้ข่าวแย่ๆก่อนเกม และการส่งพลาดในจังหวะนั้น
1
"ถ้าไม่มีเขา เราจะผ่านเข้ารอบไปแล้ว" อุลลิเยร์ ยืนยันคำนั้น เขามั่นใจว่าแท็กติกตัวเองถูกต้องแล้ว
ชิโนล่าโดนด่าบ่อยๆก็โมโห เพราะแม้จะผิดพลาดเขาก็พลาดในสนาม ไม่เคยมีเจตนาจะทำร้ายทีมตัวเอง แต่การที่อุลลิเยร์ด่าเขาแบบนั้น ทำให้มีคนเกลียดเขาเพิ่มขึ้นไปด้วย มีการแจ้งความดำเนินคดีทางกฎหมายกันเป็นเรื่องเป็นราว แต่สุดท้ายศาลยกฟ้องอุลลิเยร์ เพราะเป็นการวิจารณ์โดยบริสุทธิ์ เหตุการณ์ก็เลยจบลงไปตรงนั้น
อย่างไรก็ตาม ต่อให้โกรธแค้นใครแค่ไหน มันก็เปลี่ยนความจริงไม่ได้ว่า เชราร์ อุลลิเยร์ ล้มเหลวกับช่วงเวลา 2 ปีในการคุมทีมชาติฝรั่งเศส
1
หลังจากแพ้บัลแกเรียตกรอบ นักเตะในทีมทุกคนไม่มีใครอยากพูดถึงเกมที่พาร์ก เดอ แพรงซ์ เพราะมันเจ็บมาก แต่อุลลิเยร์ มีความแปลกคน เพราะเขาอยากซึมซับความเจ็บนั้นเอาไว้ให้ชัดเจนที่สุด
"ในวันรุ่งขึ้น ผมดูวีดีโอเกมนี้ย้อนหลังอีกครั้ง จนภรรยาบอกว่าผมบ้าหรือเปล่า แต่นี่คือชีวิตของผม มันเป็นสิ่งที่ผมรัก คือถ้าในแง่มุมของความเป็นมนุษย์ การตกรอบฟุตบอลโลกนาทีสุดท้ายเป็นเรื่องที่ทรมานมาก แต่ในแง่มุมของฟุตบอล เราสามารถศึกษาได้ว่ามันเกิดขึ้นได้เพราะอะไร"
3
แม้จะโดนปลดจากตำแหน่งโค้ชทีมชาติ แต่อุลลิเยร์ ยังคงทำงานอยู่ในสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส โดยเขายังมีหน้าที่เป็นผู้อำนวยการเทคนิคแห่งชาติ ช่วยฌักเกต์อยู่เบื้องหลัง และให้คำแนะนำถึงตัวผู้เล่นที่จะเรียกมาติดทีมชาติด้วย
จริงๆแล้วนักเตะหลายคนที่ได้รับโอกาสจากทีมชาติฝรั่งเศสในยุคของอุลลิเยร์ และพวกเขาเหล่านั้น กลายเป็นคีย์แมนของทีมตราไก่ในยุคต่อมา
1
"ผมให้โอกาสยูริ จอร์เกฟฟ์ กับ มาร์กแซล เดอไซญี่ กับทีมชาติ และถ้าเราได้ไปฟุตบอลโลกผมก็จะเรียกซีเนอดีน ซีดานไปกับทีมด้วย"
อุลลิเยร์ เป็นคนให้โอกาสซีดานติดธงครั้งแรกซึ่งตอนนั้น ซีดานยังเล่นอยู่กับบอร์กโดซ์ด้วยซ้ำ ไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นความสามารถที่ซ่อนอยู่ของสตาร์รายนี้
"เอเม่ ฌักเกต์ รู้ว่าเขามีทีมที่ดีมาก ตอนที่เขาเข้ามารับตำแหน่งต่อจากผม และเขาก็ยืนยันกับผมนะ ว่าจะยึดทีมที่ผมตั้งใจเลือกเอาไว้ และจะเดินในแนวทางที่ผมอยากให้เป็น"
ยูโร 96 ฌักเกต์เห็นบทเรียนในความไม่เด็ดขาด ของอุลลิเยร์เรื่องการเลือกตัวผู้เล่นมาแล้ว ถ้าหากทีมขาดเสถียรภาพภายใน ก็ยากจะชนะคู่แข่งได้ ดังนั้นจึงตัดสินใจเมินสตาร์หลายคน ที่อาจก่อดราม่าได้ ทั้งชิโนล่า และ คันโตน่า แม้ทั้งคู่จะเล่นดีมากก็ตาม แล้วใช้สายเลือดใหม่ ทั้งซีดาน และจอร์เกฟฟ์ เล่นเป็นตัวหลักในแนวรุก
ฝรั่งเศสชุดใหม่ ไปไกลถึงรอบรองฯ ในยูโร 96 ซึ่งนั่นทำให้ฌักเกต์เห็นชัดว่า เขามาถูกทางแล้วจริงๆ
จากนั้นในฟุตบอลโลกปี 1998 ฝรั่งเศสที่ตกรอบคัดเลือกมา 2 สมัยติดต่อกัน ประกาศศักดาให้โลกรู้ ด้วยการคว้าแชมป์โลกได้อย่างยิ่งใหญ่ และผู้เล่นหลายต่อหลายคน ถูกปลุกปั้นขึ้นมาจากอุลลิเยร์นั่นเอง
นั่นทำให้ฌักเกต์ สั่งทำ Special Medal หรือเหรียญแชมป์โลกเกียรติยศ ให้กับอุลลิเยร์เป็นกรณีพิเศษด้วย แม้เขาจะไม่ได้อยู่ในทีมสตาฟฟ์โค้ชก็ตาม
แม้ความฝันจะพาทีมไปบอลโลกจะล้มเหลวในปี 1993 ก็ตาม แต่อย่างน้อย ตัวผู้เล่นของเขา ลูกน้องของเขา และไอเดียของเขาหลายๆอย่าง ก็ถูกส่งต่อกันไปเป็นทอดๆ จนฝรั่งเศสได้กลายเป็นแชมเปี้ยนโลกในที่สุด
2
แม้ความสำเร็จจะไม่ได้เกิดขึ้นในยุคของเขาเอง แต่อุลลิเยร์ ก็ยังภูมิใจกับความสำเร็จครั้งนี้ได้อยู่ดี
สำหรับเชราร์ อุลลิเยร์ ถ้าพูดถึงโทรฟี่ แน่นอนว่าเขาได้น้อยมาก หากไปเทียบกับโค้ชระดับโลกอย่าง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน, อาร์แซน เวนเกอร์, โชเซ่ มูรินโญ่ หรือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า
แถมการพาฝรั่งเศสตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก ก็ถือเป็นรอยแผลในการทำงานของเขา
อย่างไรก็ตาม แม้โทรฟี่จะน้อย แต่สิ่งที่หลายคนให้เครดิตกับเขาเสมอมา คือความสามารถในการปลุกปั้นสตาร์
เขาจะให้โอกาสลงสนามเสมอถ้าคุณมีความสามารถมากพอ
สายตาของเขาเฉียบคม ที่จะตัดสินได้ว่านักเตะคนไหน เป็นเพชรเม็ดงาม
4
เขาเป็นคนให้โอกาสดาวรุ่งอย่าง อองรี เทรเซเกต์ อเนลก้า กัลลาส กับทีมชาติชุดเยาวชน ซึ่งต่อยอดไปสู่ความสำเร็จในระดับต่อมา
เขาเป็นคนให้โอกาส ซีเนอดีน ซีดาน กับทีมชาติชุดใหญ่เป็นคนแรก และต่อจากนั้นซีดานก็กลายเป็นตำนาน
เขาเป็นคนให้โอกาส สตีเว่น เจอร์ราร์ด เด็กฝึกจากอะคาเดมี่ของลิเวอร์พูล ให้ลงเล่นในทีมหงส์แดงชุดใหญ่เป็นครั้งแรก
1
เขาเป็นคนให้โอกาสคาริม เบนเซม่า ที่โอลิมปิก ลียง โดยก่อนหน้าที่เขาจะมาเบนเซม่าได้ลงตัวจริงปีละ 5 เกม แต่พออุลลิเยร์มาคุม เบนเซม่าได้ลงตัวจริงต่อเนื่อง ก่อนสุดท้ายกลายเป็นสตาร์ระดับชาติ
ดังนั้นไม่แปลกใจ ที่เมื่อเขาเสียชีวิตอย่างสงบด้วยวัย 74 ปี นักเตะระดับโลกมากมาย ต่างออกมาสดุดีความยอดเยี่ยมของเขากันทั้งนั้น
สำหรับเชราร์ อุลลิเยร์ จากโลกนี้ไป กับชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสัน มีผิดหวัง มีสมหวัง มีสำเร็จ มีล้มเหลว
คำถามที่น่าสนใจก็คือ คุณคิดว่าเขาประสบความสำเร็จหรือไม่ ในฐานะผู้จัดการทีม?
คำตอบก็คือ อยู่ที่ว่าเรามองความสำเร็จคืออะไร
ถ้ามองกันที่โทรฟี่ เขาก็ไม่ได้ถ้วยเยอะแยะมากมายจนน่าประทับใจขนาดนั้น
แต่ถ้ามองถึงการสร้างบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ให้กับโลกฟุตบอลแล้วล่ะก็
เชราร์ อุลลิเยร์ ก็เป็นยอดคน ที่ควรค่าแก่การจดจำจริงๆ
1
#Houllier
22 บันทึก
141
2
6
22
141
2
6
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย