18 ธ.ค. 2020 เวลา 03:00 • การ์ตูน
มังงะที่น่าสนใจ เรื่องที่ 1
ชื่อเรื่อง : GOLDEN KAMUY
ผู้แต่ง : Satoru Noda
แนวเรื่อง : ผจญภัย | ประวัติศาสตร์ | ตลก | แอ็คชั่น
ลิขสิทธิ์ญี่ปุ่น : SHUEISHA Inc., Tokyo.
ลิขสิทธิ์ไทย : Siam Inter Comics
จำนวนเล่มที่วางขายในญี่ปุ่น : 24 เล่ม (ยังไม่จบ) เล่ม 24 วางแผงวันที่ 18 ธันวาคม 2563
จำนวนเล่มที่วางขายในไทย : 22 เล่ม (ยังไม่จบ) เล่ม 22 วางแผงวันที่ 19 ธันวาคม 2563
เรทหนังสือ : อายุ 15 ปีขึ้นไป
ราคาปัจจุบัน : 80-85 บาท
เรื่องย่อ : “สุกิโมโต้คนอมตะ” ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นดั่งเทพอสูรจาก
สงครามญี่ปุ่นรัสเซียต้องการเงินก้อนโตเพื่อทำเป้าหมายให้สำเร็จ
จึงก้าวเข้ามาในฮอกไกโดที่เคยดุเดือดด้วยยุคตื่นทอง
ที่นั่นเขาได้พบเบาะแสของทองคำมหาศาลที่ชาวไอบุ
ซ่อนไว้ แต่ต้องพบอุปสรรคเป็นธรรมชาติยิ่งใหญ่
อันสุดแสนหฤโหดและนักโทษประหารสุดโฉด
แล้วเขาก็ได้พบกับหญิงสาวชาวไอบุกับมหาป่าเอโสะ
"สงครามการเอาชีวิตรอดเพื่อแย่งชิงทองคำ"
ได้เปิดฉากขึ้นแล้ว
ภาพปก GOLDEN KAMUY เล่ม 1
ความเห็นหลังอ่าน : เรื่องนี้อ่านแล้วทำให้รู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่เราไม่เคยรู้หลายเรื่องเลยครับไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “สงคราม ญี่ปุ่น vs รัสเซีย” หรือเรื่อง “ยุคการตื่นทอง” หรือเรื่อง “ชีวิตความเป็นอยู่ของเผ่าไอนุ” ถึงจะมีประวัติศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องหลายเรื่อง แต่การเดินเรื่องก็สนุกมากๆ เลยครับไม่ว่าจะเป็การเดินทางตามหาเบาะแสของทองจากตัว “นักโทษประหาร” ที่หลบหนีจากเรือนจำอาบาชิริทั้ง 20 คนที่มีความเป็นตัวเองสูง และความสามารถที่ค่อนข้างหลากหลาย แถมบางคนนี่ต้องบอกเลยครับว่าโรคจิตสุดๆ เลยครับ แต่บอกเลยครับว่าไม่ได้มีแค่กลุ่มของพระเอกกลุ่มเดียวที่ตามหาเบาะแสของทอง เพราะเรื่องนี้จะมีเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์ และการแย่งชิงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยครับ แต่ละฝ่ายก็จะมีเหตุผลของตัวเองที่จะนำทองไปใช้ในการทำสิ่งต่างๆ ตามที่ตัวเองคิดไว้ !! เบื้องหลังของแต่ละคนที่เดินออกมาไม่ว่าจะเป็น “นักโทษประหาร” หรือ “ทหาร” เองก็บอกเลยครับว่าแต่ละคนนี่ค่อนข้างที่จพดำมืดกันอยู้พอสมควรเลยครับ แต่ความสนุกของเรื่องก็ไม่ได้อยู่ที่ฉาแอ็คชั่นอย่างเดียวหรอกนะครับ เพราะว่าระหว่างการเดินทางในแต่ชะครั้งการที่จะหาของกินในป่าก็ต้องออกไปล่าสัตว์แล้วนำมาทำอาหารกันครับ ในเรื่องนี้เราจะได้เห็นการทำอาหารแบบโบราณของ “ชาวไอนุ” ด้วยครับ !! ด้วยความที่ตัวภาพของสัตว์ และอุปกรณ์ต่างๆ อาจารย์ Satoru Noda แกค่อนข้างวาดออกมาได้สมจริงมากๆ ทำให้อาหารที่ตัวละครทำออกมานั้นดูน่าอร่อย สมจริง และน่ากินเอามากๆ เลยครับจนตัวละครในเรื่องต้องร้องออกมาว่า “ฮินนา ฮินนา” เลยครับ (อ่านไปก็น้ำลายไหลไป 555) เรื่องวิถีชีวิตต่างๆ ของชาวไอนุในเรื่องบอกเลยครับว่าพอได้อ่านแล้วรู้สึกว่าควรอนุรักษ์เอาไว้มากๆ เลยครับ เพราะเหมือนเป็น “วัฒนธรรม” ที่เห็นได้ยากมากๆ แล้วครับในยุคปัจจุบัน และด้วยความสนุกที่หลากหลาย และเนื้อหาที่เข้มข้นของเรื่องนี้ก็ต้องบอกเลยครับว่าเป็นมังงะเรื่องที่หลายๆ คนควรจะหามาอ่านจริงๆ ครับ
คะแนนความชื่นชอบ : ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️
สาระดีๆ ที่ได้จากมังงะ
ยุคตื่นทองของโลก
ไม่น่าเชื่อว่า การพบแร่ทองคำที่นำไปสู่ปรากฏการณ์ตื่นทองหรือgold rush นั้น จะเกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันแม้จะอยู่ห่างกันคนละมุมโลกก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นที่สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดาและแอฟริกาใต้
ที่สหรัฐอเมริกา วันที่ 24 มกราคม ค.ศ.1848 นายเจมส์ ดับบลิว มาร์แชลล์ นักบุกเบิกชาวอเมริกันได้พบแร่ทองคำจำนวนมากในธารน้ำข้างโรงเลื่อยที่หุบเขา โคโลมา บริเวณ South Fork ของแม่น้ำ American ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมือง Sacramento ขณะรับจ้างสร้างโรงเลื่อยให้ Augustus Sutter ซึ่งอพยพจากสวิตเซอร์แลนด์มาทำไร่ในที่ดินผืนนี้ตั้งแต่แคลิฟอร์เนียยังเป็น ของเม็กซิโก ข่าวการค้นพบทองคำของเขาแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ชักนำผู้คนคนนับพันให้พากันมาที่โรงเลื่อยพร้อมกับอุปกรณ์ขุดหาทองคำ จนในปี ค.ศ. 1853 มีผู้ตื่นทองเพิ่มจำนวนขึ้นกว่า 300,000 คน ประมาณการณ์กันว่าทองคำที่ผลิตขึ้นได้ในครั้งนั้นมีมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ หลายคนกลายเป็นเศรษฐี แต่อีกหลายคนก็ยังคงจนเหมือนเดิม อย่างไรก็ตามการตื่นทองก็นำมาซึ่งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและเกิดเมือง ชุมชน ตามมาอีกมากมายเมื่อมีการสร้างทางรถไฟเชื่อมตะวันออก-ตะวันตก เช่นการเกิดเมืองซานฟรานซิสโก เมืองเก่าของชุมชนสเปนในอดีต ที่ได้กลายมาเป็นแหล่งชุมชนที่มั่งคั่ง เป็นศูนย์กลางการค้าของยุคตื่นทอง และยั่งยืนต่อมาถึงทุกวันนี้แม้ทองจะหมดไปแล้วก็ตาม รวมถึงการก่อกำเนิดของไชนาทาวน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองมาจนถึงปัจจุบัน
ที่ประเทศออสเตรเลีย ปี ค.ศ.1851 มีการพบแร่ทองคำจำนวนมากในธารน้ำของเมืองนิวเซาท์เวลส์ และ รัฐวิกตอเรีย ทำให้มีนักแสวงโชคเดินทางมาจากทั่วโลกกว่า 500,000 คน ทั้งอเมริกัน เยอรมัน ชาวโปลด์ และชาวจีน และยิ่งฮือฮามากขึ้นไปอีกเมื่อชาวเหมืองชื่อนายจอห์น เดียสัน กับ นายริชาร์ด โอเตส พบก้อนทองคำบริสุทธิ์ยาว 60 เซนติเมตร กว้าง 30 เซนติเมตร และหนัก 66 กิโลกรัม ซึ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบมาฝังอยู่ใต้ดินลึกเพียงแค่ 3 เซนติเมตรเท่านั้น ขณะทำงานอยู่ที่เหมืองทางตอนกลางของรัฐวิกตอเรีย ในเดือนกุมภาพันธ์ปี ค.ศ.1869 ทั้งสองขายมันไปด้วยราคา 9,500 ปอนด์ หรือราว 500,000 บาท ก่อนที่ก้อนทองคำยักษ์นี้จะถูกหลอมให้กลายเป็นแท่งทองคำและขนไปเก็บไว้ในธนาคารที่ประเทศอังกฤษ ถัดมาอีก 3 ปีคือในปี ค.ศ.1872 นายเบอร์นาร์ด ออตโต โฮลเตอร์มานน์ ได้พบแร่ทองคำก้อนใหญ่ที่สุดในโลกที่มีน้ำหนักถึง 283 กก. ที่นิวเซาท์เวลส์ ซึ่งเมื่อสกัดแล้วก็ได้ทองคำแท้ 84 กิโลกรัมเลยทีเดียว
ที่ประเทศแอฟริกาใต้ ขุมทองในดินแดนอันห่างไกล นักแสวงโชคชื่อนายจอร์จ แฮร์ริสัน ได้ค้นพบแร่ทองคำในบริเวณแอ่งวิตวอเตอร์สแรนด์ ซึ่งต่อมาได้ชื่อว่าเป็นแหล่งทองคำที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก อย่างไรก็ตามที่ดินบริเวณนี้เปลี่ยนเจ้าของไปหลายมือจนกระทั่งในปี 1950 มีการค้นพบชั้นแร่ทองคำเมื่อเจาะลงไปในดินราว 1,500 เมตร ที่นี่จึงกลายเป็นแหล่งแร่ทองคำที่ให้ผลผลิตทองคำถึง 70 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณทองคำทั้งโลก
ที่ประเทศแคนาดา เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 1896 คนงานเหมืองได้พบทองคำที่ย่านคลอนไดค์ ในรัฐยูคอน ทางตอนเหนือของแคนาดา และเมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไป ทำให้ชาวอเมริกันกว่า 100,000 คนพากันอพยพมาแสวงโชคที่เมืองนี้ แม้จะเดินทางด้วยความยากลำบากเพราะต้องเดินทางนานนับปี พร้อมแบกเสบียงอาหารและอุปกรณ์การร่อนทองที่หนักมากไปด้วยก็ตาม เพียงแค่สองปีจาก ปีค.ศ.1896 ถึง ปีค.ศ. 1898 ชาวเมืองที่เดิมมีเพียง 500 คนก็เพิ่มขึ้นเป็น 30,000 คน ทำให้เกิดปัญหาต่างๆตามมาทั้งการทำลายสิ่งแวดล้อม ของแพง เกิดโรคระบาด บางคนประสบความสำเร็จร่ำรวย แต่ส่วนใหญ่โชคร้ายไม่พบทอง อดอยากและล้มตาย กระทั่งปี 1903 เหตุการณ์ตื่นทองจึงสงบลง เหลือแต่เพียงบริเวณอันเป็นตำนานที่เรียกขานกันว่า โบนันซ่า (Bonanza) อันหมายถึงความโชคดีมั่งคั่งที่อุบัติขึ้นอย่างไม่คาดฝันนั่นเอง
ภาพการขุด และร่อนทอง
สงครามญี่ปุ่น-รัสเซีย
สถานการณ์การขยายอิทธิพลมายังตะวันออกไกลของมหาอำนาจนักล่าอาณานิคมจากยุโรป โดยเฉพาะรัสเซียที่รุกคืบเข้ามาครอบครองแมนจูเรียลงมาถึงคาบสมุทรเลียวตุง และส่อเจตนาว่าจะขยายเขตอิทธิพลให้ ครอบคลุมคาบสมุทรเกาหลี ทำให้ญี่ปุ่นซึ่งมองการคงอิทธิพลของตนไว้ในคาบสมุทรเกาหลีเป็นความอยู่รอดของชาติ ถือเอารัสเซียเป็นภัยคุกคาม จึงได้ดำเนินยุทธศาสตร์ทั้งด้านการทูตและการทหาร เพื่อสถาปนาพื้นที่กันชนบริเวณรอยต่อเขตแดนเกาหลีกับแมนจูเรีย เมื่อการทูตส่อเค้าล้มเหลวและยากที่จะหลีกเลี่ยงทางเลือกในการทำสงคราม ญี่ปุ่นก็ประเมินความพร้อมและความได้เปรียบ โดยพิจารณาปัจจัยความไม่สงบภายในของรัสเซีย เปรียบเทียบกำลังรบทางบกและทางเรือ
ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ที่ส่งผลต่อการส่งกำลังจากพื้นที่ทางยุโรปของรัสเซียมาสมทบในยุทธบริเวณ ศักยภาพในการส่งกำลังบำรุงของรัสเซียในระหว่างที่ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียยังไม่เสร็จสมบรูณ์ และความได้เปรียบในทางยุทธวิธีความพร้อมและขวัญกำลังใจของทหารญี่ปุ่น ซึ่งประเมินภาพรวมแล้วเห็นว่าอาจยันเสมอหรือชิงความได้เปรียบได้ เล็กน้อย แต่ไม่สามารถเอาชนะเด็ดขาดต่อรัสเซียได้ จึงกำหนดเป้าหมายของการทำสงครามเพียงในระดับเพื่อให้มีการเจรจาไกล่เกลี่ยในเงื่อนไข หกสิบ-สี่สิบ โดยเลือกสหรัฐฯ เป็นผู้ไกล่เกลี่ย
ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายประกาศสงครามก่อน แล้วส่งกำลังทางบกรุกเข้าโจมตีรัสเซียที่ปอร์ตอาเธอร์และแมนจูเรีย ควบคู่กับการใช้กำลังทางเรือทำลายกองเรือแปซิฟิกของรัสเซีย ที่แยกกำลังเป็นกองเรือพื้นที่ปอร์ตอาเธอร์ และวลาดิวอสต๊อก ความสำเร็จของการรบทั้งทางบกและทางเรือที่ญี่ปุ่นสามารถยึดปอร์ตอาเธอร์และทำลายกองเรือแปซิฟิกของรัสเซียได้ จนกระทั่งยึดมุกเดนเมืองหลวงของแมนจูเรีย ขับไล่ทหารของรัสเซียออกไปได้สำเร็จ แต่ก็ยังไม่ได้ชัยชนะเด็ดขาด
จนกองเรือของญี่ปุ่นเอาชนะกองเรือทะเลบอลติกของรัสเซียในยุทธนาวีที่ช่องแคบสึชิมา ซึ่งฝ่ายรัสเซียถูกทำลายเกือบหมดทั้งกองเรือนั้น จึงเป็นจังหวะที่ญี่ปุ่นและรัสเซียยอมรับให้สหรัฐฯ เข้ามาเจรจาไกล่เกลี่ยยุติสงครามลงได้ โดยญี่ปุ่นเป็นฝ่ายบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้
บทเรียนจากความสำเร็จของฝ่ายญี่ปุ่นในครั้งนี้ วิเคราะห์ว่ามี 8 ประเด็น คือ
1. ความมุ่งมั่นและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชน
2. การกำหนดเป้าประสงค์ที่ชัดเจนและสะท้อนความเป็นจริง
3. การเลือกพันธมิตรอย่างระมัดระวัง
4. การเตรียมกำลังที่มีความพร้อมและเพียงพอ
5. การให้คุณค่ากับข่าวกรอง
6. การบ่อนทำลายฝ่ายตรงข้าม
7. การร่วมมือและประสานงานระหว่างหน่วยกำลัง
8. การกำหนดจังหวะเวลาที่จะยุติสงคราม
ภาพถ่ายในช่วงสงคราม
การยุติสงครามญี่ปุ่น vs รัสเซีย
ญี่ปุ่นตัดสินใจทำสงครามกับมหาอำนาจรัสเซียบนพื้นฐานของการประเมินความได้เปรียบในช่วงที่ รัสเซียยังไม่สามารถระดมกำลังจากยุโรปมาสนับสนุนได้อย่างเต็มที่ แผนทำสงครามจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากการรุกเข้าตีกองกำลังของรัสเซียอย่างต่อเนื่อง จนบรรลุความเหนือกว่าทางทหารในทุกพื้นที่การรบ แล้วจึงร้องขอให้สหรัฐฯ ในฐานะชาติเป็นกลาง เข้ามาไกล่เกลี่ยเพื่อยุติสงครามในเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์ต่อญี่ปุ่น ซึ่งเงื่อนไขสำคัญคือต้องให้เกิดความได้เปรียบทางทหารก่อนที่รัสเซียจะตั้งตัวติด จนสามารถรวมกำลังตีตอบโต้กลับอย่างเต็มรูปแบบได้
ทั้งนี้เพราะญี่ปุ่นเองก็ตระหนักดีว่า ไม่สามารถเอาชนะรัสเซียอย่างเด็ดขาดได้ แม้แต่การเดินตามแผนทำสงครามดังกล่าวนี้ ก็มีความเสี่ยงต่อการที่ชาติจะแพ้สงครามและประสบความหายนะได้ ญี่ปุ่นจึงดำเนินยุทธศาสตร์ทั้งด้านการทูตและการทหารอย่างระมัดระวัง เพื่อให้บรรลุเป้าเหมายเดียวกัน คือ “การไกล่เกลี่ยในเงื่อนไข หกสิบ-สี่สิบ“ ในสภาวะที่ญี่ปุ่นมีความได้เปรียบ การประสานงานอย่างใกล้ชิดในทุกภาคส่วน ทั้งการวางแผน การปฏิบัติตามแผน การจัดการในการยุทธ์ต่าง ๆ รวมถึงความกล้าหาญของทหารญี่ปุ่น นับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นประสบความสำเร็จในสงครามครั้งนี้
สำหรับรัสเซียที่ประสบความล้มเหลว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะประมาทขีดความสามารถของญี่ปุ่น และประเมินกำลังอำนาจของตัวเองสูงเกินไป ผู้นำมองว่าเป็นเพียงกิจการระดับท้องถิ่นในภูมิภาคตะวันออกไกล จึงไม่มียุทธศาสตร์ในภาพรวมที่จะรับมือกับญี่ปุ่น โดยประเมินว่าญี่ปุ่นไม่กล้าที่จะรบกับมหาอำนาจรัสเซีย และหากเกิดสงครามขึ้นรัสเซียก็จะใช้กำลังที่เหนือกว่าบดขยี้ญี่ปุ่นได้อย่างง่ายดาย ทว่าญี่ปุ่นกลับรบอย่างเอาเป็นเอาตายในทุกสมรภูมิ โดยเฉพาะใน 3 สมรภูมิหลัก คือ เลียวหยาง (Liaoyang) ระหว่าง 30 สิงหาคม – 3 กันยายน ค.ศ. 1904 ที่เป็นการรบทางบกครั้งแรก ทหารญี่ปุ่น 134,400 นาย สามารถเอาชนะทหารรัสเซียประมาณ 225,000 นาย จนยึดพื้นที่ที่ได้เปรียบไว้ได้ แต่ก็ไม่สามารถติดตามบดขยี้ทหารรัสเซียให้เด็ดขาดได้ เพราะข้อจำกัดทางด้านการส่งกำลังบำรุงและกำลังกองหนุน สมรภูมิที่สอง คือ ชาโฮ (Shaho) ใน ตุลาคม ค.ศ. 1904 ซึ่งรัสเซียเป็นฝ่ายทุ่มกำลังเข้าโจมตีญี่ปุ่นด้วยกำลังที่เหนือกว่าอย่างท่วมท้น แต่การต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิตของทหารญี่ปุ่นกลับยันให้รัสเซียต้องถอยกลับ ซึ่งหากรัสเซียมีความมุ่งมั่นที่จะบดขยี้ญี่ปุ่นให้ถึงที่สุดโดยไม่คำนึงถึงความสูญเสียของทหารรัสเซียแล้ว ญี่ปุ่นเองก็จะปราชัยได้ เพราะกำลังน้อยกว่ามาก สมรภูมิที่สาม คือ เฮ – กู – ไถ (Hei – Kou – Tai) ใน มกราคม ค.ศ. 1905 ซึ่งรัสเซียบุกเข้าโจมตีญี่ปุ่นในห้วงที่กำลังหลบสภาพอากาศหนาวจัด จนทหารญี่ปุ่นระส่ำระสายเกือบตกเป็นฝ่ายปราชัย แต่รัสเซียเองกลับยุติการโจมตีกลางคัน เพียงเพราะความริษยาชิงดีชิงเด่นกันเองระหว่างผู้นำทัพรัสเซีย (พลเอก คูโรแพทคิน (Kuropatkin) ผู้บัญชาการทหารรัสเซียภาคตะวันออก กับ พลเอก กริปเปนเบิร์ก (Grippenberg) ผู้บัญชาการกองทัพที่ 2
หลังจากประสบการณ์ใน 3 สมรภูมิดังกล่าว รัสเซียจึงเริ่มหันกลับมาใช้ยุทธศาสตร์ดั้งเดิมของรัสเซีย เมื่อครั้งต่อสู้กับจักพรรดินโปเลียน คือ ถอนกำลังล่อข้าศึกให้รุกลึกเข้าไปในพื้นที่ที่รัสเซียได้เปรียบ แล้วรวมกำลังเข้าตีด้วยกำลังที่เหนือกว่า ซึ่งถ้ารัสเซียดำเนินตามยุทธศาสตร์อย่างเหมาะสม กองทัพญี่ปุ่นในแมนจูเรียก็อาจถูกทำลายอย่างสิ้นซากได้ โดยเฉพาะในการยุทธ์ทางบกครั้งสุดท้ายของสงครามที่มุกเดน (Mukden) เมืองหลวงของแมนจูเรีย ในช่วง กุมภาพันธ์ – มีนาคม ค.ศ. 1905 ซึ่งญี่ปุ่นได้รุกเข้ามาจนเกือบสุดสายการส่งกำลังบำรุงแล้ว แต่จากการขาดความมุ่งมั่นในการสู้รบของผู้นำทหารรัสเซีย ขณะที่ญี่ปุ่นต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิต ทำให้ญี่ปุ่นสามารถเอาชนะและยึดเมืองหลวงนี้ได้ แต่ก็ถึงกับหมดสภาพเช่นกัน ไม่สามารถตามบดขยี้ทหารรัสเซียต่อไปได้ เพราะขาดทั้งกำลังกองหนุน เครื่องกระสุนและเสบียง (ทหารรัสเซีย 350,000 สูญเสีย 90,000 ทหารญี่ปุ่น 300,000 สูญเสีย 75,000)
อย่างไรก็ตามถึงจะพ่ายแพ้ในการยุทธ์ดังกล่าว แต่ฝ่ายรัสเซียยังคงมีขีดสามารถทำการสู้รบต่อไปได้ และหวังว่าเมื่อกองเรือทะเลบอลติก เดินทางมาถึงและทำลายกองเรือญี่ปุ่นได้ จะสามารถตัดการส่งกำลังบำรุงไปยังกองกำลังทางบกของญี่ปุ่นที่อยู่ในสภาวะคับขันแล้วได้ และจะช่วยให้รัสเซียเป็นฝ่ายมีชัยในที่สุด ดังนั้น เมื่อการณ์ปรากฏว่ายุทธนาวีที่ช่องแคบสึชิมา กองเรือญี่ปุ่นสามารถทำลายกองเรือทะเลบอลติกของรัสเซียลงได้ จึงนำไปสู่การยินยอมให้สหรัฐฯ เข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ย และตกลงยุติสงครามได้ ใน 1 กันยายน ค.ศ. 1905 กับบรรลุข้อตกลงตามสนธิสัญญาปอร์ตสมัธ (The Treaty of Porstmouth) ใน 5 กันยายน ค.ศ. 1905 โดยรัสเซียยอมรับสิทธิของญี่ปุ่นในการครอบครองเกาหลี คาบสมุทรเลียวตุง เกาะซาคะลินใต้ และระบบทางรถไฟตอนใต้ของแมนจูเรีย
ภาพตอนยุติสงคราม ญี่ปุ่น vs รัสเซีย
ชนเผ่าไอนุคือใคร
ชนเผ่าไอนุหรือเอโสะ (蝦夷) คือชนเผ่าพื้นเมืองที่อาศัยอยู่บนเกาะฮอกไกโด (หรืออีกชื่อคือเอโสะกะชิมะ: 蝦夷ヶ島) เกาะซาฮาลิน และหมู่เกาะอื่นๆ ที่ใกล้เคียงในช่วงศตวรรษที่ 17-19 โดยเกาะเหล่านั้นถูกเรียกว่า “ไอนุโมชิริ (アイヌモシリ)” หรือ “ผืนดินที่มนุษย์อาศัยอยู่” ซึ่งชนเผ่าไอนุจะย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆ และมีการพบหลักฐานการคบค้ากับชนเผ่าอื่นที่เข้ามาอยู่อาศัยในพื้นที่เดียวกันด้วย การที่ชนเผ่าไอนุกระจายตัวไปตามเกาะต่างๆ นี่เองที่ทำให้ชื่อสถานที่หลายแห่งในภูมิภาคนี้มีที่มาจากภาษาไอนุ
อย่างไรก็ตาม ช่วงต้นศตวรรษที่ 19 จนถึงปลายศตวรรษที่ 20 รัฐบาลกลางของญี่ปุ่นมีการผลักดันนโยบายให้ชนเผ่าไอนุปฏิบัติตนให้คล้ายคลึงกับคนญี่ปุ่น เช่นการต้องหันมาทำไร่แทนที่จะล่าสัตว์อย่างที่เคยเป็น หรือการห้ามพูดภาษาไอนุเป็นต้น ถึงอย่างนั้น ชนเผ่าไอนุก็ยังไม่ได้รับการยอมรับว่าเท่าเทียมกับคนญี่ปุ่น ซึ่งเห็นได้จากในตำราเรียนในญี่ปุ่นช่วงปฏิรูปเมจิ – สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กล่าวถึงชนเผ่าไอนุว่าเป็น “ชนพื้นเมือง”
จนกระทั่งหลังสงครามโลกชนเผ่าไอนุจึงได้รับสัญชาติญี่ปุ่น แต่ในขณะเดียวกัน การได้รับสัญชาติก็ส่งผลให้ชนเผ่าไอนุสูญเสียที่ดินให้กับรัฐบาลและถูกปฏิเสธอัตลักษณ์ของตนไปพร้อมๆ กัน ทำให้ชนเผ่าไอนุถูกกลืนกินไปในความเชื่อว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ประกอบด้วยชนชาติญี่ปุ่นเท่านั้น ต่อมาเมื่อเข้าสู่ยุคปัจจุบันที่มีการศึกษาเรื่องชนเผ่าไอนุ ภาพลักษณ์ของชนเผ่าไอนุจึงเปลี่ยนไป แต่ยังถูกมองว่าเป็นเพียงชนกลุ่มย่อยเท่านั้น จนล่าสุดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2019 นี้เองที่รัฐบาลญี่ปุ่นยอมรับชนเผ่าไอนุในฐานะ “ชนพื้นเมือง” เป็นครั้งแรก
ภาพรูปปั้นชนพื้นเมืองไอนุ
อ้างอิง
ยุคตื่นทอง : https://www.aagold-th.com/article/187/
สงคราม ญี่ปุ่น vs รัสเซีย : https://historyxsite.wordpress.com/2017/09/25/1904japanvsrussia/
ชนเผ่าไอนุคือใคร : https://th.anngle.org/j-culture/ainu.html
โฆษณา