19 ธ.ค. 2020 เวลา 01:24 • ไลฟ์สไตล์
ขนมหวานวันคริสต์มาส - จะไปชิมอันไหนก่อนดี?
วันคริสต์มาสใกล้เข้ามาแล้ว อาหารที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลก็มีให้ชิมอยู่ทั่วไปทั้งคาวและหวาน อย่างวันก่อน Gourmet Story ไปร้านขาย bagel เขาก็มี bagel ไก่งวงไว้ต้อนรับเทศกาล คราวที่แล้วเราได้ชิมอาหารวันคริสต์มาสที่เป็นของคาวไปแล้ว คราวนี้เราจะไปตามกินของหวานวันคริสต์มาส
ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.sweetpaulmag.com/
ขนมหวานวันคริสต์มาสชิ้นแรกที่จะขอแนะนำก็คือ Christmas pudding ชื่อก็บอกอยู่แล้วนะครับว่าเป็นขนมของวันคริสต์มาสแน่นอน
ส่วนประกอบของ Christmas pudding ก็มีอยู่มากมายและวิธีทำก็กินเวลาหลายวันทีเดียว เริ่มด้วยการผสมผลไม้รวม ลูกพรุน น้ำตาล เหล้ารัมและเบียร์ดำ(!!!) คลุกเคล้าให้เข้ากันทิ้งไว้ให้ส่วนผสมแช่ไว้ 24 ชั่วโมง วันต่อมาก็ผสมวอลนัท อัลมอนด์ แป้ง เนย เครื่องเทศ ลูกเชอรี่ และไข่ไก่ เข้ากับส่วนผสมเมื่อวานนี้ แล้วทิ้งไว้อีก 24 ชั่วโมง พอถึงวันถัดมาก็นำส่วนผสมที่แช่ 2 วันนั้นไปนึ่ง แต่ไม่ใช่ด้วยซึ้งที่นึ่งซาลาเปานะครับ เพราะฝรั่งเขาไม่รู้จักซึ้ง เวลาจะนึ่งเขาจะเอาขนมใส่ชามวางตรงกลางหม้อขนาดใหญ่หน่อย เทน้ำลงไปรอบๆข้างชามขนม ต้มน้ำให้เดือดแล้วหรี่ไฟลงให้น้ำอุ่นค่อย ๆ นึ่งขนมไปเป็นเวลาอีก 5 ชั่วโมง ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ก็ยุ่งยากเหมือนกันนะครับแต่ pudding นี้จะเก็บได้เป็นเวลานานถึง 2 ปีทีเดียว
2
เวลาจะกินก็จะเอาบรั่นดีมาราดอีกที ไม่รู้ว่าเพิ่มความหอมหวลหรือเพิ่มความเมา บางคนราดบรั่นดีเสร็จก็จุดไฟให้ลุกพรึ่บขึ้นมาแบบเดียวกับไก่ภูเขาไฟก่อนแล้วจึงรับประทาน
ใครที่เคยลองลิ้มชิมรสของ Christmas pudding ก็ต้องยอมรับว่าเป็นขนมที่อร่อย ใส่ผลไม้และถั่วมากมายหลายชนิดเพิ่มความหวานความมันเวลารับประทาน ถึงจะใส่เหล้าหลายชนิดแต่ก็ไม่ได้มีกลิ่นแรงอะไร ใครที่กลัวกินแล้วจะเมา Gourmet Story ว่าคงต้องกิน pudding หลายอันอยู่ถึงจะเมา
พระราชินี Victoria และเจ้าชาย Albert พระสวามีเป็นผู้ส่งเสริมให้มี Christmas pudding เป็นของประจำโต๊ะดินเนอร์ในวันคริสต์มาส และยังมีการใส่สตางค์ที่เป็นเหรียญเงินเข้าไปไว้ในขนม pudding ด้วย ใครที่ทานขนมแล้วเจอเหรียญเงินนี้ก็จะถือว่าจะโชคดีในปีใหม่ที่กำลังมาถึง
1
การใส่เหรียญเงินลงไปใน Christmas pudding ขอบคุณภาพประกอบจาก www.eatsamazing.co.uk
ข้ามไปอีกฟากหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติกคือที่สหรัฐอเมริกา ที่นั่นขนมที่กินกันในวันคริสต์มาสคือ “พายฟักทอง” หรือ pumpkin pie
เมื่อพวก Pilgrims ซึ่งเป็นชาวอังกฤษที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายหนึ่งถูกจำกัดการนับถือศาสนาในประเทศอังกฤษก็เลยอพยพไปทวีปอเมริกาโดยเรือชื่อ Mayflower (ไม่ใช่ชื่อภัตตาคารจีนนะครับ) ในปี 1620 พวก Pilgrims ได้ไปตั้งรกรากที่ Plymouth Rock (รัฐ Massachusetts ในปัจจุบัน) ว่ากันว่า ชาวอินเดียนแดงที่ตั้งรกรากอยู่แถวนั้นมาก่อนเป็นผู้แนะนำฟักทองมาให้พวก Pilgrims ปลูก และเมื่อการเพาะปลูกในปีแรกได้ผลดี พวก Pilgrims จึงได้จัดงานฉลองร่วมกับชาวอินเดียนแดงที่เรียกว่า “วันขอบคุณพระเจ้า” (Thanksgiving Day) เพื่อขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่ได้ดลบันดาลให้การเพาะปลูกได้ผลดี
อาหารที่ทำในงานเลี้ยงวันนั้นนอกจากไก่งวงแล้ว ของหวานก็คือ “พายฟักทอง” ซึ่งเป็นผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ แต่คิดว่าพายฟักทองเวอร์ชั่นแรก ๆ คงเป็นแบบชาวบ้าน ดีไม่ดีจะไม่มีแป้งอบ เพราะมีอยู่สูตรหนึ่งที่เป็นเนื้อฟักทองต้มกับนม น้ำตาลกับเครื่องเทศ แล้วเอาใส่ลูกฟักทอง(ที่คว้านเอาเนื้อออกไปแล้ว)เหมือนกับสังขยาฟักทองบ้านเราเลยครับ
เมื่อพายฟักทองเป็นของหวานของวันขอบคุณพระเจ้า แล้วเหตุไฉนจึงกลายมาเป็นของหวานของวันคริสต์มาสด้วยเล่า?
Gourmet Story ก็ไม่ทราบจริง ๆ นะครับว่า ทำไมพายฟักทองจึงเป็นของหวานของวันคริสต์มาสด้วย แต่ก็มีผู้กล่าวว่าเป็นเพราะฟักทองเป็นพืชผลที่เก็บเกี่ยวกันในช่วงฤดูใบไม้ร่วง และเมื่อเก็บเกี่ยวแล้วก็จะอยู่ได้นาน ก็เลยสันนิษฐานว่า ตอนฉลองวันคริสต์มาสซึ่งหลังจากวันขอบคุณพระเจ้าเพียงเดือนเดียว จะปลูกอะไรใหม่ก็คงไม่ได้แล้วเพราะเข้าหน้าหนาวแล้ว ก็เลยใช้พืชผลที่มีอยู่เป็นอาหารวันคริสต์มาสเสียด้วยเลย
อย่างไรก็ตาม พายฟักทองก็ครองใจคนอเมริกันให้เป็นของหวานยอดนิยมของวันคริสต์มาส โดยเว็บไซต์ Offers.com ได้ทำการสำรวจจากชาวอเมริกัน 1,000 คนถึงของหวานที่โปรดตอนคริสต์มาสเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2019 ปรากฏว่า พายฟักทองมาเป็นอันดับ 1 ด้วยคะแนนนิยม 37% ทิ้ง Eggnog (เครื่องดื่มชนิดหนึ่งสำหรับวันคริสต์มาส) ที่มาอันดับ 2 ที่มีคะแนนนิยมเพียง 20%
ขอบคุณภาพประกอบจาก www.urthcaffe.com
ใครที่ไม่เคยกินพายฟักทองควรจะลองดูนะครับ เป็นขนมที่อร่อยไปอีกแบบ ท่านอาจจะเคยชิมขนมพายที่ส่วนใหญ่จะเป็นชีสเช่น blueberry cheesecake มาลองพายฟักทองที่เนื้อนุ่มและมี texture ที่นิ่มเหมือนมันบดแต่หอมกว่าดูบ้าง เวลาจะทานก็โปะ whipped cream ลงไปหน่อย รับรองว่าอร่อยไม่แพ้กัน
1
ถึงแม้พายฟักทองจะมีที่มาที่ไม่เกี่ยวกับคริสต์มาสมากนัก แต่ก็มีเพลงคริสต์มาสถึง 2 เพลงที่พูดถึงพายฟักทองคือ เพลง (There's No Place Like) Home for the Holidays และ Rockin' Around the Christmas Tree จะทานขนมไปฮัมเพลงประกอบไปด้วยก็จะทำให้ขนมอร่อยขึ้นนะครับ
คราวนี้ย้ายข้ามฟากมาประเทศฝรั่งเศส ก็มีขนมอีกชนิดหนึ่งที่รับประทานกันในวันคริสต์มาสนั่นก็คือ Bûche de Noël หรือที่เรียกกันเป็นภาษาอังกฤษว่า Yule log มีคำว่า log ก็ต้องมีอะไรที่เกี่ยวกับไม้ซุงใช่ไหมครับ?
Yule log มีที่มาจากการที่พวกอนารยชนในทวีปยุโรปสมัยโบราณฉลองวัน Winter Solstice หรือ “วันเหมายัน” (อ่านว่าวันเห-มา-ยันนะครับ)ซึ่งเป็นวันที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนลงต่ำหรือใต้ที่สุด ทำให้ทุกวันที่ 22 ธันวาคมของทุกปี มืดเร็ว และมีเวลากลางคืนยาวนานที่สุดในรอบปี การฉลองก็ทำด้วยการเผาท่อนไม้ซุง
1
เมื่อพวกอนารยชนเหล่านี้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ ธรรมเนียมนี้ก็เลยตามติดเข้ามาด้วย แต่เมื่อผู้คนมีเตาผิงที่บ้าน การเผาท่อนไม้ซุงในเตาผิงก็คงจะทำไม่ได้ก็เลยย้ายจากการเผาท่อนซุงมาเป็นอบขนมท่อนซุงแทน เราเลยได้กินของอร่อยมาจนทุกวันนี้
การทำเค้ก Yule log มีขั้นตอนนิดหน่อยคือต้องทำแผ่นแป้งเค้กก่อน ปกติก็ทำเป็นเค้กช็อคโกแลตแผ่นบาง ๆ เสร็จแล้วก็เอา whipped cream มาลงโปะทับแผ่นเค้กให้ทั่ว แล้วก็ม้วนแผ่นเค้กนั้นเหมือนกับเวลาทำแยมโรลนั่นแหละครับ เราก็จะได้เค้กรูปกลม ๆ ยาว ๆ เหมือนท่อนซุงมี 2 ชั้นข้างใน ชั้นหนึ่งเป็นช็อกโกแลต และอีกชั้นหนึ่งเป็นครีม
เสร็จแล้วเราก็จะต้องตกแต่งหน้าเค้กด้วยการทำครีมช็อกโกแลตมาเคลือบตกแต่งผิวให้ดูเหมือนท่อนซุงยิ่งขึ้น แต่แล้วจะเหมือนท่อนซุงหรือไม่อันนี้ก็แล้วแต่ฝีมือนะครับ เสร็จแล้วก็จะมีการประดับประดาเช่น ลูกเบอรี่คลุกน้ำตาลไอซิ่งให้ดูคล้ายไปเกลือกหิมะมา หรือเอาใบสนมาตกแต่งให้ดูเป็นคริสต์มาส และอื่น ๆ อีกมากมายตามแต่จะรังสรรค์กันออกมา
ขอบคุณภาพประกอบจาก www.lifeloveandsugar.com
รสชาติของ Yule log นั้นก็จะเหมือนเค้กที่ใส่ครีมเยอะ ๆ ใครที่ชอบกินครีมก็คงถูกใจแน่ เพราะพวกโรลเค้กที่ทำกันในบ้านเรามักจะใส่ครีมกันบาง ๆ ไม่ถูกใจสายครีม หรืออย่างสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ใคร ๆ ก็รู้ว่าทรงโปรดช็อกโกแลตมาก เชฟ Darren McGrady อดีตเชฟประจำพระราชวังบักกิงแฮมก็เลยเอาช็อกโกแลตผสมลงไปใน whipped cream เลยได้ Yule log ไส้ครีมช็อกโกแลตเป็น double chocolate กันไปเลย
ขนมทั้ง 3 อย่างที่ว่ามานี้แม้จะมีต้นกำเนิดจากต่างถิ่นดินแดนกัน แต่ก็เป็นขนมคริสต์มาสที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย จนกลายเป็นสากลไปแล้วว่า แถมยังมีเวอร์ชั่นต่าง ๆ ที่แตกต่างกันไปตามแต่เชฟแต่ละคนจะรังสรรค์ขึ้นมา พอถึงวันคริสต์มาสต้องมีขนมเหล่านี้ให้ลิ้มลองกัน
ในประเทศไทยก็หารับประทานได้นะครับ ตามร้านขายขนมฝรั่งหรือซูเปอร์มาร์เก็ต เพียงแต่ว่าแต่ละร้านอาจจะไม่มีขนมครบทั้ง 3 อย่าง ถ้าอยากจะชินทั้ง 3 อย่างก็ต้องเดินทางไปมากกว่าหนึ่งร้าน จะมีใครทำแผนที่สำหรับการสัญจรหาขนมหวานกินในช่วงเวลาของคริสต์มาสไหมครับ?
Gourmet Story - เรื่องราวเกี่ยวกับอาหารที่เป็นเกร็ดความรู้ เล่าสู่กันฟัง เพิ่มความอร่อยของอาหารที่เรารับประทาน ติดตามได้ที่
โฆษณา