22 ธ.ค. 2020 เวลา 10:30 • กีฬา
⚽ ตัวหลอกและจังหวะวิ่งสอด เบื้องหลังแท็กติกถล่ม ลีดส์ ของ แมนฯ ยูไนเต็ด 🏃‍♂️
เวลาที่นักวิเคราะห์เกมพูดถึง "ความมีไหวพริบทางแท็กติก" พวกเขามักจะพิจารณากันแบบตายตัว คือจะมองว่าผู้จัดการทีมคนนั้นเก่งด้านแท็กติกหรือไม่ก็อ่อนไปเลย หรือไม่ก็จะมาจัดเรตกันแบบเกม Football Manager ด้วยการให้คะแนนจากเต็ม 20
ในแง่ของความเป็นจริงแล้ว ความมีไหวพริบทางแท็กติกในฟุตบอลสมัยใหม่จะต้องพิจารณากันอย่างซับซ้อนมากขึ้น มันมีเป็นร้อย ๆ สิ่งที่แยกย่อยลงไปใน "แท็กติก" ที่ผู้จัดการทีมอาจจะทำได้ดีหรือทำได้แย่ เขาอาจจะทำได้ยอดเยี่ยมในการวางแผนเจาะทีมที่เน้นครองบอล แต่ก็ทำได้น่าผิดหวังในการตั้งรับลูกเซ็ตพีซ หรือไม่เขาก็อาจชำนาญในการวิเคราะห์คู่แข่ง แต่สุดท้ายก็ไร้ประโยชน์เมื่อคู่แข่งปรับแผนการเล่นระหว่างเกม
ชัยชนะอันท่วมท้น 6-2 ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีเหนือ ลีดส์ ยูไนเต็ด ถือเป็นตัวอย่างชั้นดีของสองผู้จัดการทีมที่ชำนาญสิ่งที่แตกต่างกันออกไปภายใต้แท็กติกโดยรวม หลังจบเกมมีการแซวเจ็บ ๆ เกี่ยวกับกิตติศัพท์ของกุนซือทั้งสองคน โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ผู้ซื่อบื้อเป็นฝ่ายใช้สติปัญญาเอาชนะโค้ชเจ้าระเบียบแบบแผนอย่าง มาร์เซโล่ บิเอลซ่า ไปได้
ในความเป็นจริงแล้วทั้งคู่ก็คือโค้ชที่มีสไตล์ต่างกันโดยสิ้นเชิง บิเอลซ่า ประสบความสำเร็จจากการสร้างทีมที่ยอดเยี่ยมในการเล่นแผนเอของพวกเขา ด้วยการสับเปลี่ยนตำแหน่ง การเคลื่อนที่ และการเล่นผสมผสานในพื้นที่สุดท้าย อย่างไรก็ตาม เขาไม่ใช่จอมแท็กติกที่มีความยืดหยุ่นเลย
ส่วน โซลชาร์ นั้นเป็นคนละขั้ว แนวทางการเล่นของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ไม่ชัดเจนยังเป็นประเด็นให้พูดถึงกันอยู่ และทีมของเขาก็ประสบปัญหามาตลอดในการเจาะคู่แข่งที่ลงไปตั้งรับลึก แต่ โซลชาร์ ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการวิเคราะห์จุดอ่อนฝั่งตรงข้ามของเขา พร้อมกับนำมาปรับแผนการเล่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกมที่เผชิญหน้ากับคู่แข่งที่ต้องการครองบอลเป็นส่วนใหญ่ เกมแบบนี้แหละที่เข้าทาง โซลชาร์
แท็กติกของ ลีดส์ ก็คือการประกบตัวผู้เล่นแบบแมนมาร์กในยามที่ไม่ได้ครองบอล แนวทางการเล่นแบบนี้สร้างชื่อเสียงอย่างมากให้กับ บิเอลซ่า ดังนั้นการที่ โซลชาร์ จะทะลวง ลีดส์ ได้ ก็จะต้องมาจากการผสมผสานระหว่างสองสิ่ง
อย่างแรกก็คือการวิ่งหลอกจากผู้เล่นบริเวณกลางสนาม อ็องโตนี่ มาร์กซิยัล อาจผิดหวังที่ไม่ได้มีชื่อบนสกอร์บอร์ดในฐานะศูนย์หน้าของทีมที่ยิงได้หกประตู แต่ดาวเตะชาวฝรั่งเศสนี่แหละที่มีบทบาทสำคัญสุด ๆ ในจังหวะขึ้นเกมรุกของ แมนฯ ยูไนเต็ด
เขามักจะถอยลงมาต่ำเพื่อดึงตัวประกบอย่าง ลุค อายลิง ให้ขยับตามมา ผลก็คือพื้นที่ถูกเปิดให้โจมตี ในทำนองเดียวกัน บรูโน่ แฟร์นันเดส ก็คอยวิ่งออกไปทางริมเส้นอยู่ตลอด เพื่อที่จะดึง คัลวิน ฟิลลิปส์ ให้หลุดออกมาจากตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง ทำให้เพื่อน ๆ ร่วมทีมของเขาสามารถโจมตีพื้นที่ตรงนั้นได้
นี่คือตัวอย่างที่ชัดที่สุด มาร์กซิยัล ได้บอลจากการจ่ายมาให้โดย วิกเตอร์ ลินเดเลิฟ ในพื้นที่ที่ปกติแล้วคุณจะต้องเห็น แฟร์นันเดส แต่คราวนี้กลายเป็นว่า แฟร์นันเดส ได้วิ่งไปยังพื้นที่ทางด้านขวาแล้ว
ยังมีอีกภาพจากมุมที่กว้างขึ้น แสดงให้เห็นว่าการเคลื่อนที่แบบนี้สร้างปัญหาให้ ลีดส์ ได้มากแค่ไหน เพราะทุกคนมัวแต่พะวงอยู่กับการประกบตัวผู้เล่น สุดท้ายแล้วตำแหน่งยืนของ ลีดส์ เลยกลายเป็นเซ็นเตอร์แบ็ค อายลิง (สีเหลือง) ยืนมิดฟิลด์, มิดฟิลด์ตัวคุมเกม ฟิลลิปส์ (สีชมพู) ยืนแบ็คซ้าย และแบ็คซ้าย เอซเกียน อาลิออสกี้ (สีแดง) วิ่งตาม แดเนียล เจมส์ มาที่ตรงกลางสนาม
สจ๊วร์ต ดัลลัส (สีน้ำเงิน) ยังยืนอยู่ที่ตำแหน่งแบ็คขวากับ มาร์คัส แรชฟอร์ด และ เลียม คูเปอร์ (สีเขียว) ยังคงเป็นตัวคอยซ้อน
กุญแจดอกที่สองก็คือการวิ่งจากแนวรับไปยังพื้นที่ว่างที่ถูกเปิดด้วยการเคลื่อนที่และการประกบตัวของ ลีดส์ ตัวอย่างที่ยกมานี้ก็คือจังหวะการเล่นของ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ (วงกลมสีแดงที่ริมเส้น) เขารู้ดีว่ามิดฟิลด์ ลีดส์ จะยึดติดอยู่กับการประกบตัวผู้เล่น และก็รู้ด้วยว่า แพทริค แบมฟอร์ด จะคอยยืนปิดช่องจ่ายบอลให้กับ ลินเดเลิฟ แทนที่จะพยายามเข้ามาปะทะ ดังนั้น แม็กไกวร์ จึงมีอิสระในการเลี้ยงบอลขึ้นมาข้างหน้าด้วยตัวเอง...
... และพาบอลมาอยู่ในตำแหน่งเพลย์เมคเกอร์
ประตูเกือบทุกลูกของ แมนฯ ยูไนเต็ด มาจากแนวทางการเล่นด้วยสองสิ่งนี้ ตัวรุกสร้างพื้นที่ และผู้เล่นข้างหลังก็วิ่งสอดขึ้นมา
นี่คือจังหวะได้ประตูแรก มันมีเรื่องผิดปกติเล็กน้อย เพราะว่า ฟิลลิปส์ ไม่ได้ถูก แฟร์นันเดส ลากไปที่ข้างสนาม แต่เป็น ฟิลลิปส์ ที่ไปยืนตรงนั้นของเขาเองเนื่องจาก ลีดส์ กำลังพยายามจะขึ้นเกมรุก อย่างที่เห็นคือ ดัลลัส ได้บอลอยู่ที่ริมเส้น ผู้เล่นมิดฟิลด์ทั้งสามคนของ ลีดส์ เลยยืนอยู่หน้าคู่แข่งกันหมด...
... นั่นหมายความว่าเมื่อจังหวะขึ้นเกมรุกเปลี่ยนฝั่ง ไม่มีใครเลยสักคนที่พร้อมจัดการกับตัวประกบ แฟร์นันเดส มีพื้นที่ให้เล่นเพียบ และ แม็คโทมิเนย์ ก็สามารถวิ่งเติมขึ้นมาหาที่ว่างได้สบาย ๆ ก่อนที่จะยิงเข้าประตูไป
ประตูที่สองเริ่มต้นจากการทุ่ม นี่ยังเป็นตัวอย่างที่ดีของการสลับตำแหน่งยืนของตัวรุก แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วย ว่ากันตามตรงแล้ว ลีดส์ เป็นทีมที่ทำได้ดีในการประกบตัวระหว่างเล่นแบบโอเพ่นเพลย์ แต่ในการตั้งรับจังหวะทุ่มแบบนี้ แทบทุกทีมก็ต้องยืนแบบนี้กันทั้งนั้น มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะพวกเขาจะทำอะไรได้มากกว่านี้
การโจมตีครั้งนี้ก็ยังคงคอนเซ็ปต์เดิม แรชฟอร์ด (สีเหลือง) เริ่มต้นด้วยการยืนสูง ก่อนที่จะค่อย ๆ ถอยลงมา, แฟร์นันเดส (สีน้ำเงิน) ยืนต่ำแล้วก็วิ่งตัดขึ้นหน้าไป และ มาร์กซิยัล (สีชมพู) เริ่มยืนที่บริเวณริมเส้น จากนั้นก็วิ่งสอดไปตรงพื้นที่ระหว่างเพื่อนร่วมทีมทั้งสองคน ก่อนจะรับบอลทุ่มจาก ลุค ชอว์ ในขณะเดียวกัน แม็คโทมิเนย์ ก็ทะยานขึ้นหน้าอีกครั้งเพื่อรอรับบอล ก่อนที่จะยิงเข้าไปอีกลูก เป็นอีกครั้งที่จังหวะวิ่งหลอกและการวิ่งสอดได้สร้างพื้นที่ให้เล่นง่าย
ประตูที่สามซึ่งยิงโดย แฟร์นันเดส ก็มีที่มาจากการวิ่งหลอกอีกครั้งของเขา น่าตลกอยู่เหมือนกันที่ตอน เจมส์ ได้บอล แฟร์นันเดส ไม่ได้ตั้งใจรับลูกจ่ายต่อมาให้เลย ที่เขาทำคือการวิ่งไปยังริมเส้นฝั่งขวาเพื่อสร้างพื้นที่ให้กับ เจมส์ รวมไปถึงคนอื่น ๆ ให้วิ่งไปสร้างจังหวะโจมตีด้วย
สุดท้าย เจมส์ ก็ยังจ่ายบอลมาให้ แฟร์นัสเดส (ซึ่งเจ้าตัวก็ดูประหลาดใจนิด ๆ ที่ยังจ่ายมาให้เขาอีก) เขาเลือกที่จะตอกส้นทันทีไปยัง เฟร็ด ซึ่งสามารถพาบอลขึ้นหน้าไปได้เหมือนอย่างที่ แม็คโทมิเนย์ ทำก่อนหน้านี้ แฟร์นันเดส วิ่งต่อไปจนถึงกรอบเขตโทษ และในจังหวะเก็บตก เขาก็ซัดบอลเข้าสู่ก้นตาข่าย ประตูนี้ต้องให้เครดิตกับการเคลื่อนที่ของเขาตั้งแต่เส้นครึ่งสนาม ถือเป็นความยอดเยี่ยมทางด้านแท็กติก
ประตูที่สี่มาจากจังหวะเตะมุม ซึ่งยิงเข้าไปโดย ลินเดเลิฟ
สิ่งที่จะต้องพูดถึงก็คือลูกเตะมุมนี้มีที่มาอย่างไร ใช่แล้ว มันมาจากการวิ่งจากพื้นที่แนวรับอีกเช่นเคย คล้าย ๆ กับจังหวะที่ แม็กไกวร์ ที่ใช้ความเร็วกระชากบอลขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งผู้เล่นหมายเลข 10 คราวนี้เป็น ชอว์ ที่เข้าปะทะชนะในจังหวะ 50-50 ตรงพื้นที่แบ็คซ้าย...
... จากนั้นเขาก็พาบอลขึ้นมาตรงกลางสนาม...
... และก็เหมือนกับ แม็กไกวร์ อีกเช่นกัน เขามีสามทางเลือกรออยู่ข้างหน้า ซึ่งรวมถึง เจมส์ ที่ดันขึ้นไปยืนเป็นศูนย์หน้าด้วย จังหวะนี้ก็ยังเป็นอีกครั้งที่ แฟร์นันเดส โยกไปทางฝั่งขวา นั่นหมายความว่า ฟิลลิปส์ ก็จะต้องขยับตามไปด้วย แทนที่จะรอตั้งรับผู้เล่นปีศาจแดงที่พาบอลขึ้นมาตรงกลาง ซึ่งเป็นหน้าที่หลักที่คุณควรคาดหวังจากมิดฟิลด์ตัวรับ
ประตูที่ห้าถือว่ามีโชคช่วยเล็ก ๆ ลูกจ่ายของ แม็คโทมิเนย์ นั้นที่จริงตั้งใจจะวางไปให้ แฟร์นันเดส ที่วิ่งสอดขึ้นมาจากกราบขวา จังหวะนี้ มาร์กซิยัล ถอยต่ำลงมา ทำให้เป็นอีกครั้งที่ เจมส์ วิ่งขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งศูนย์หน้า และเขาก็จับบอลแรกได้ยอดเยี่ยม ก่อนที่จะสังหารเข้าไปด้วยเท้าซ้าย
ประตูที่หกเริ่มต้นด้วยการวิ่งจากพื้นที่แนวรับของมิดฟิลด์ ครั้งนี้ ลีดส์ ดูเหมือนจะรวนกันเพราะ เฟร็ด ซึ่งยืนสูงกว่า แฟร์นันเดส ที่ถอยลงต่ำ
ครั้งนี้กลายเป็นว่า แฟร์นันเดส มาวิ่งในแบบเดียวกับที่ แม็คโทมิเนย์ และ เฟร็ด ทำในครึ่งแรก เขารับบอลจากการจ่ายขึ้นหน้ามาให้โดย เฟร็ด...
... จากนั้นก็แทงขึ้นหน้าไปให้ มาร์กซิยัล ในจังหวะต่อเนื่องบอลก็มาเข้าเท้า แรชฟอร์ด ซึ่งหาจังหวะยิงไม่ได้ มาร์กซิยัล จึงได้ครองบอลอีกครั้ง คราวนี้เขาถูกปะทะล้มลงจนกลายเป็นลูกจุดโทษ
ทั้งหมดต้องให้เครดิตกับ โซลชาร์ บางทีนี่อาจเป็นครั้งเดียวในฤดูกาลที่เขาจะได้เผชิญหน้ากับคู่แข่งอ่อนชั้นกว่าที่มาพร้อมกับแท็กติกเน้นครองเกม การตัดสินใจเลือกตัวผู้เล่นและแท็กติกของ โซลชาร์ ในครั้งนี้ถือว่าถูกต้องทุกประการ ด้วยมิดฟิลด์ที่วิ่งไม่มีหมดอย่าง แม็คโทมิเนย์, นักเตะความเร็วสูงอย่าง เจมส์ และการเคลื่อนที่อย่างไม่เห็นแก่ตัวของบรรดากองหน้า
ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือ แมนฯ ยูไนเต็ด ซัดประตูได้หกลูกที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในศึก พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรกในรอบเก้าปี
(เรียบเรียงจากบทความ "Decoys and driving runs behind Solskjaer’s Man United exposing Bielsa’s Leeds"
เขียนโดย ไมเคิล ค็อกซ์ ลงในเว็บไซต์ theathletic.com เมื่อ 21 ธันวาคม 2020
เรียบเรียงโดย ณัฐดนัย เลิศชัยฤทธิ์)
โฆษณา