22 ธ.ค. 2020 เวลา 12:44 • กีฬา
วิ่ง 100 กิโลไปเพื่ออะไร? ได้เจอพระเจ้าอย่างที่คำเค้าลือจริงหรือเปล่า?
1
ประโยคอมตะที่กล่าวว่า "ถ้าอยากคุยกับพระเจ้า ให้คุณวิ่ง(ระยะ)อัลตร้า"
ผมเองก็เป็น 1 คนที่เกิดคำถามวนเวียนอยู่ในหัวมาตลอด ว่าคนเค้าวิ่งกันทำไมตั้งเป็น 100 โล ขึ้นรถไม่ง่ายกว่าหรอ (ฮา)? หลังจากที่ได้เริ่มวิ่งออกกำลังกายและลงสมัครรายการวิ่งมาบ้าง เป็นระยะเวลาประมาณ 2 ปี ก็ถึงเวลาที่ต้องพาตัวเองไปพิสูจน์ หาคำตอบของคำถามนี้ น่าจะเข้าใจเข้าถึงคำตอบได้ดีกว่าคำร่ำลือแน่ๆ
งาน THE WESTWIND TRAIL ปี 2019 ระยะทาง 110 km เส้นทางเริ่มต้นจากเชียงใหม่ไปจบที่ปาย
เมื่อปี 2019 ผมได้ตัดสินใจสมัครเข้าร่วมรายการวิ่งเทรล THE WESTWIND TRAIL ระยะทางรวม 110 km เส้นทางเริ่มต้นจากเชียงใหม่ไปจบที่ปาย เส้นทางสนามเย้ายวนมาก เพราะถ้าสามารถวิ่งจนจบได้ จะถือว่าครั้งหนึ่งตัวเองเคยใช้เท้า2ข้าง พาตัวเองไปปาย ซึ่งในการแข่งขันมีเวลาจำกัดที่ 30 ชม. เท่ากับว่าใน 110 km นี้ ผมมีเวลาแค่ 30 ชม. ในการพาตัวเองไปถึงเส้นชัย
สถิติก่อนหน้าที่ตัดสินใจลงสมัครรายการนี้ของผมมีดังต่อไปนี้ (ขอแชร์ข้อมูลไว้เผื่อให้ผู้ที่สนใจไปค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง ได้เห็นภาพรวมคร่าวๆว่าควรมีประสบการณ์ประมาณไหน ก่อนจะลงวิ่งระยะนี้ได้)
1.5K = 26.41 Mins (Road)
2.10K = 53.39 Mins (Road)
3.21.1km = 2.14 Hrs (Road)
4.42.195 = 5.26 Hrs (Road)
5.ระยะทางไกลที่สุด 66 km = 13.15 Hrs (Trail)
จะเห็นได้ว่าผมไม่ใช่คนที่วิ่งเร็วหรือโดดเด่นอะไรเลย แต่อาศัยพลังงานแฝง (บ้า) ล้วนๆ และประสบการณ์พื้นฐานจากการซ้อมสะสมมาบ้าง จึงตัดสินใจลงรายการนี้
สเน่ห์ของเส้นทางวิ่งเทรล
เมื่อวันแข่งขันได้เริ่มขึ้น กับระยะทางไกลที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อน ถึงแม้ผมจะเคยจบระยะอัลตร้ามาแล้ว 1 ครั้งถ้วน ความตื่นเต้นและความกลัวยังคงมีคุกกรุ่นอยู่ ทำให้ไม่กล้าวิ่งแบบใช้แรงเยอะ อาศัยจังหวะเดินเวลาทางขึ้นเขา มาวิ่งเอาตอนช่วงที่เป็นทางราบหรือทางลงเขา
ช่วงแรกของวันอาการร่างกายค่อนข้างอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง คือ เก็บระยะทางได้เร็วกว่าแผน เผื่อเวลาไว้ได้ค่อนข้างเยอะ จนช่วงเวลาของจริงมาถึงคือช่วงกลางคืน...
ความท้าทายของการวิ่งเทรลระยะไกลคือ ถ้าเราไม่ใช่นักวิ่งแนวหน้าที่เร็วมากพอ นั่นเท่ากับว่า เราจะต้องใช้เวลาวิ่งในสนามที่นานมาก และแน่นอนว่าต้องได้วิ่งทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน และนี่คือการวิ่งกลางคืนแบบเต็มคืนครั้งแรกของผม ใจเต้นระรัว เรื่องลี้ลับไม่ค่อยรู้สึกว่าเป็นปัญหา เพราะมีหูฟังและไฟฉายคาดหัวนำทาง แต่ปัญหาของผมคือผมค่อนข้างกลัวแมงมุมขึ้นสมอง และกลัวว่าจะเจอแมงมุมป่าตัวใหญ่ๆมาก กับความเหนื่อยล้าทางร่างกายที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ความง่วง" โชคดีในครั้งนั้นผมไม่เจอแมงมุม แต่ผมเจอปีศาจแห่งความง่วงเข้ามาเยี่ยม
ขณะนั้น ผมเก็บระยะทางวิ่งไปได้ 66 km โดยประมาณ เทียบเท่ากับที่เคยวิ่งไกลที่สุดในชีวิตมาก่อน ก้มดูนาฬิกาผมใช้เวลา 16 ชม. เวลาตอนนั้นคือประมาณตี 2 ยังไม่ได้นอนซักวินาที เส้นทางเป็นทางถนนออกจากอุทยานห้วยน้ำดัง ร่างกายของผมกำลังกลายร่างจากคนเป็นซอมบี้ เดินกึ่งหลับกึ่งตื่นหวุดหวิดตกข้างทางไปหลายรอบ จนพี่ที่ตามหลังมาชวนให้นอน แต่พอจะนอนจริงก็ไม่หลับ เลยฝืนเดินต่อมาตรงปากทางเข้าอุทยาน เห็นห้องพักเจ้าหน้าที่อุทยานมีนักวิ่งเทรลที่มาถึงก่อนหน้าหลับกันเพียบ เลยเข้าไปอาศัยนอนด้วย นอนไปได้ 15 นาที ได้ยินเสียงคนคุยจอแจหน้าห้อง เลยตื่นมาเจอนักวิ่งกลุ่มที่ตามหลังมาเตรียมสลับกะกับผมเข้ามานอน
เมื่อได้นอนไป 15 นาที ผมพบว่าปีศาจความง่วงผมได้หายไปแล้ว แต่ผมพบกับปีศาจตัวใหม่ คือ ปีศาจITB (กล้ามเนื้อข้างเข่า) เจ็บจี๊ดแบบเดินกะเผลก ตอนนั้นถึงกับยืนลังเลอยู่นานมากว่าจะไปต่อหรือจะจบแค่นี้ดี แต่สุดท้ายพอมองเวลากับระยะทาง ยังมีเวลาเหลืออีกครึ่งวันกับระยะประมาณ 1 มาราธอน น่าจะพอไปไหวอยู่ เลยตัดสินใจไปต่อ หลังจากนั้นคือการเดินทางด้วยการเดินอย่างเดียวร่วม 1 มาราธอนภูเขา จากอันดับประมาณกลางๆ ผมตกมารั้งท้ายแบบรั้งท้ายจริงๆ สุดท้ายผมมาถึงปายซักที ตัดเข้าหมู่บ้านและเข้าเส้นชัยแบบใช้เวลาไปเต็มอิ่ม 29.44 ชม. เข้าเส้นชัยเป็นอันดับรองสุดท้าย ความรู้สึกตอนเข้าเป็นอะไรที่บอกไม่ถูก กว่าจะพอสรุปได้เวลาก็ผ่านไปจนถึง 7 โมงเช้าของอีกวัน (เข้าที่พัก สลบตั้งแต่บ่าย 3 ถึง 7 โมงเช้า)
1
เข้าเส้นชัยได้ลำดับรองสุดท้าย กับการเดินพันล็อคเข่าประคองอาการเจ็บ ITB มาประมาณ 1 มาราธอนภูเขา
ผมตื่นเช้ามาอีกวัน ด้วยความร้าวรานทางกาย แต่ทางใจของผมกลับรู้สึกเบิกบานอย่างมากที่สุด ที่ผมสามารถทำได้สำเร็จ และได้คำตอบของคำถามที่เคยถามกับตัวเองมาหลายครั้ง ที่เคยถามว่า "วิ่ง 100 กิโล ไปเพื่ออะไร?"
ผมค้นพบว่าพระเจ้าของการวิ่งอัลตร้าที่ผมได้พบ นั่นคือตัวของผมเอง ผมพบว่าพลังใจของตัวเองนั้นมีคุณค่ามากๆในการทำในสิ่งที่เราคิดว่าจะเป็นไปไม่ได้ให้ทำได้สำเร็จ แม้ผมจะต้องเจออุปสรรคมากมายในเส้นทาง แต่ผมก็ผ่านมันมาได้ เพราะพระเจ้าในตัวของผมเองบอกแบบนั้น เมื่อนำมาคิดดีๆอย่างถี่ถ้วน ผมพบว่าช่วงชีวิตของตัวเองในหลายๆปี ผมมีสิ่งหนึ่งที่หล่นหายไปในการใช้ชีวิต สิ่งนั้นคือ "ความมั่นใจ" ผมสูญเสียมันไปตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ อาจด้วยเหตุนี้ ผมจึงกระหายที่อยากจะรู้คำตอบของคำถาม และกระหายความสำเร็จในเส้นทางครั้งนี้เป็นพิเศษ
แน่นอนว่าคำตอบที่ได้ของผม อาจไม่เหมือนกับนักวิ่งอีกหลายๆท่าน แล้วแต่ว่าแต่ละคนต้องผ่านอะไรมาบ้างในชีวิต บางคนความสำเร็จอาจเป็นการท้าทายขีดจำกัดของร่างกายแข่งขันกับเวลา บางคนอาจมีความสุขกับเส้นทางในสนาม ไม่มีใครทราบได้แน่ชัด เราอาจต้องเอาตัวเองไปเผชิญคำถาม ค้นหาคำตอบนั้นด้วยตัวเองดูซักครั้ง
แต่ที่แน่ๆสำหรับผม การวิ่ง 100 กิโล ในครั้งนั้นของผมจึงมีความหมายต่อผมมากๆ บางทีช่วงชีวิตนึงของคนเราอาจจะมีอะไรบางอย่างหล่นหายไป โดยเราไม่รู้ตัว หากเราหาเจอว่าสิ่งนั้นคืออะไรแล้วสามารถดึงกลับมาได้ อาจเป็นกุญแจสำคัญให้เรากลับมามีพลังในการต่อสู้กับทุกๆเรื่องในชีวิตต่อไป..
เป็นกำลังใจให้ทุกๆคนไม่ว่าจะช่วงวัยไหนก็สู้ๆนะครับ
เดี๋ยวในบล็อกหน้าจะมาเขียนแชร์ประสบการณ์เรื่องอะไร ฝากติดตามกันด้วยนะครับ ขอบพระคุณครับ
เกี่ยวกับผู้เขียน
ชื่อ จอน อายุเพิ่ง30 ปัจจุบันเปิดร้านกาแฟเล็กๆในซอยลาดพร้าว 15 ชื่อ "Hummingwhales Cafe" และทำอาชีพอิสระเป็นผู้กำกับ/โปรดิวเซอร์/ช่างภาพ และกำลังจะเริ่มทำในหลายๆอย่างที่ไม่ได้ลงมือทำซักที มีความชื่นชอบหลงใหลในการท่องเที่ยวกิจกรรม Outdoor เป็นพิเศษ รวมถึงชอบวิ่งอัลตร้าเทรลวิ่งอยู่ท้ายๆแถวหนีเวลาคัทออฟ
โฆษณา