23 ธ.ค. 2020 เวลา 07:59 • การศึกษา
ถึงกับต้องเกาหัวเมื่อได้ยินแบบนี้ อาชีพบางอาชีพการที่เป็นคนโกหกอาจจะทำให้ทำงานได้ดีขึ้น
1
มีใครบ้างที่ไม่เคยโกหก ไม่ว่าจะโกหกเพื่อที่จะหยุดหรือเริ่มบทสนทนา บางครั้งโกหกเพื่อรักษาน้ำใจและความรู้สึกของอื่นและของตัวเอง และบางครั้งก็โกหกเพื่อให้การใช้ชีวิตในสังคมและชีวิตการทำงานง่ายขึ้น
ถึงจุดหนึ่งเราก็รับรู้ได้ว่าเพื่อนร่วมงานก็โกหกเราเหมือนกัน ไม่ใช่ทุกวันที่พวกเขาจะอารมณ์ดี หรือตื่นเต้นกับการทำงาน หรือมีความสุขยินดีกับเพื่อนร่วมงานที่ได้เลื่อนขั้นแทนเขา
จะเป็นยังไงถ้าการโกหกหลอกลวงแทรกซึมเป็นส่วนหนึ่งของอาชีพหล่ะ
งานวิจัยชิ้นใหม่เปิดเผยว่าเหตุผลหนึ่งที่การโกหกหลอกลวงยังมีอยู่ในอาชีพบางอาชีพนั้นเป็นเพราะความเชื่อที่ว่าคนที่มีทัศนคติยืดหยุ่นต่อความเป็นจริงจะทำงานนั้น ๆได้ดีกว่า
โดยทั่วไปนั้นการโกหกกันในที่ทำงานเป็นสิ่งที่ไม่ดี คนที่ชอบโกหกคือพวกทำงานได้ไม่ดี การโกหกหลอกลวงยังเป็นส่งผลเสียต่อวัฒนธรรมการเชื่อใจและทีมเวิร์ค แต่จากงานวิจัยล่าสุดของนักวิจัยชาวอเมริกัน Brain C Gunia และ Emma E Levine ได้เปิดเผยว่า มันก็มีข้อยกเว้นว่าการโกหกไม่ได้ส่งผลเสียเท่าไหร่นักในอาชีพจำพวกที่เน้นการขายและปิดยอด เมื่อเทียบกับอาชีพจำพวกที่เน้นลูกค้า
ในงานวิจัยทางการตลาด กลุ่มอาชีพที่เน้นลูกค้าคือกลุ่มอาชีพที่ต้องทำให้ลูกค้าพอใจและต้องทำตามความต้องการของลูกค้า ในขณะที่กลุ่มอาชีพเน้นการขายและปิดยอดนั้นคือการทำตามจุดประสงค์และความต้องการของคนขายล้วน ๆ บางอาชีพ ยกตัวอย่างเช่น พนักงานขาย ธนาคารการลงทุน คือ กลุ่มอาชีพที่จัดได้ว่าอยู่ในกลุ่มเน้นการขายและปิดยอด (ถึงแม่ว่าในบางกรณีพนักงานขายบางคนก็สนใจและตระหนักถึงความพึงพอใจของลูกค้าจริง และอาชีพดูแลผู้ป่วยก็อาจจะเป็นพวกเห็นแก่ตัว )
นักวิจัย Brain C Gunia และ Emma E Levine ได้ให้ผู้เข้าร่วมในงานวิจัยกว่า 500 คน ซึ่งเป็นนักศึกษาสาขาธุรกิจและกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามในอเมริกาจากเว็บ Amazon’s Mechanical Turk จัดอันดับอาชีพที่พวกเขาคิดว่าเน้นการขายและปิดยอดและให้จัดลำดับการตระหนักถึงความสามารถตัวเองของบุคคลที่สมมุติขึ้น ตัวอย่างของเหตุการณ์สมมุติที่ผู้เข้าร่วมงานวิจัยได้รับ
ท้ายที่สุดผู้เข้าร่วมในงานวิจัยเชื่อว่าคนที่สามารถแสดงการโกหกหลอกลวงจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในอาชีพที่เน้นขายและการปิดยอด และมีแนวโน้มว่าพวกเขาจะจ้างคนเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น 84 % ของผู้เข้าร่วมงานวิจัยเลือกที่จะจ้างคนที่โกหกเก่งในงานที่จำเป็นสูงที่ต้องมีการปิดการขาย ในขณะที่อีก 75 % เลือกคนที่มีความซื่อสัตย์ในการทำงานที่มีความจำเป็นต่ำในการปิดการขาย
ผลงานวิจัยที่ได้เป็นเรื่องน่าสนใจแต่ก็ยังไม่แน่นอน ( หนึ่งเหตุผลก็ผู้เข้าร่วมในงานวิจัยได้รับค่าตอบแทนเพียงน้อยนิด และเว็บไซต์อย่าง Mechanical Turk นั้นก็ถูกกล่าวหาในเรื่องการการค่าแรงในอัตราต่ำและการแสวงหาผลประโยชน์ในทางที่ผิด
มันไม่แน่นอนด้วยว่าความเชื่อของผู้เข้าร่วมในงานวิจัยนั้นจะหมายถึงการกระทำของผู้จัดการแผนกจ้างงาน แม้ว่าการเน้นลูกค้าดูเหมือนจะได้เปรียบเพียงเล็กน้อยในการปิดยอดขาย แต่ก็มีหลักฐานหลากหลายเกี่ยวกับประเด็นที่ว่าการเน้นลูกค้าหรือการเน้นการขายและปิดยอด ในทางปฏิบัติทางไหนดีกว่ากัน
ในงานวิจัยชิ้นใหม่เกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างการรับรู้ถึงการรับรู้ว่าโดนหลอกลวงและการรู้จักตนเอง “เราจงใจรับสมัครเฉพาะนักศึกษาสาขาธุรกิจเพื่อให้มั่นใจว่าผลวิจัยที่ได้จะมาจากกลุ่มสำรวจที่จะเป็นผู้ปฏิบัติในอนาคต นักศึกษาที่มุ่งจะเป็นผู้จัดการอาจจะเชื่ออย่างแท้จริงว่าการหลอกลวงเป็นสัญญาณของความสามารถในอาชีพเหล่านั้นและนำความเชื่อนี้ไปใช้ในการจ้างงาน” Levine จากมหาวิทยาลัยธุรกิจ Chicago Booth อธิบาย
ข้อดีของการโกหกในที่ทำงานมีไหม?
การโกหกค่อนข้างเป็นเรื่องธรรมชาติ “ธรรมชาติซึ่งเต็มไปด้วยการหลอกลวง” นักปรัชญา David Livingstone Smith ได้เขียนไว้ในหนังสือของเขาชื่อ Why We Lie: The Evolutionary Roots of Deception and the Unconscious Mind. ไวรัสหลายชนิดหลอกระบบภูมิคุ้มกันร่างกายของสิ่งที่มันอาศัยอยู่ ในขณะที่กิ้งก่าเปลี่ยนสีลำตัวเพื่อแฝงตัวหลอกสายตาศัตรู มนุษย์ก็เช่นกัน โดยเฉพาะในที่ทำงาน ผู้จัดการแผนกจ้างงานรู้ว่าผู้ที่มาสมัครงานเกือบทุกคนเขียนคุณสมบัติในใบสมัครเกินจริง
การหลอกลวงเป็นสิ่งจำเป็นในอาชีพบางอาชีพ สายสืบที่ต้องแทรกแซงเข้าไปในกลุ่มคนร้าย การทูตการต่างประเทศก็เช่นกัน ถึงกับมีแนวทางในการหลอกลวงเกิดขึ้นในบางบริษัทที่ต้องโกหกลูกค้าเรื่องฐานที่ตั้งของศูนย์ให้ความช่วยเหลือเพื่อไม่ให้ลูกค้าเกิดอคติ
โดยรวมนั้นความนิยามของการหลอกลวงที่เกิดในที่ทำงานยังคงไม่ชัดเจน บ่อยครั้งที่กลุ่มงานด้านบริการโดยเฉพาะงานที่ต้องใช้งานด้านอารมณ์เข้าช่วยกลมเกลื่อนความจริงจะเป็นงานที่ผู้หญิงทำ เช่น แอร์โฮสเตส บาร์เทนเดอร์ หรือ จิตแพทย์ คงไม่มีใครอยากให้แอร์โฮสเตสบอกเราว่าเราควรวิตกเวลาที่เครื่องบินตกหลุมอากาศ
อาชีพบางอาชีพต้องการการแสดงความอ่อนโยนและใส่ใจซึ่งตามจริงแล้วเป็นสิ่งที่ปลอมและเครียด อย่างที่ Levine ได้กล่าวว่า “ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าคนที่สามารถควบคุมเปลี่ยนแปลงอารมณ์ได้จะมีความสามารถมากกว่าคนที่ทำไม่ได้” การแสดงอารมณ์ในทางที่ผิดคือพฤติกรรมที่สมเหตุสมผล
เหตุผลนี้อาจจะจริงในกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ทางโซเชียลมีเดียที่นำเสนอทั้งความจริงและหลอกลวงเพื่อยอดขาย ยกตัวอย่าง คนดังในอินสตราแกรมที่จัดฉาก “เซอร์ไพรส์” เลิศหรูของงานหมั้น เรื่องการปลอมอาจจะกลับมาเล่นงานเขาเองเมื่อคนเริ่มตาสว่าง
บางครั้งการโกหกแบบเมตตาก็มองว่าเป็นเรื่องมีศีลธรรม “ในการวิจัยของฉัน ฉันพบว่าหลายคนยินดีและขอบคุณกับคำโกหกที่มีประโยชน์กับเขา เช่นการที่พนักงานเชื่อว่าเขาได้รับการปกป้องจากคำติชมที่อาจจะทำร้ายจิตใจพวกเขา หรือการที่ผู้ป่วยโรคร้ายขอบคุณคำวินิจฉัยที่ปลอบใจพวกเขาเอง
การโกหกเพื่อประโยชน์ที่ดีและรักษาน้ำใจของอีกฝ่ายไม่ใช่การเอาเปรียบหรือความเห็นแก่ตัวแต่มันคือความห่วงใย
อิทธิพลทางวัฒนธรรมก็มีส่วนในทัศนคตินี้ งานวิจัยจำนวนหนึ่งได้กล่าวว่าวัฒนธรรมเน้นสิทธิส่วนรวมจะโกหกเพื่อรักษาหน้าและรักษาความสามัคคีมากกว่ากลุ่มวัฒนธรรมปัจเจกบุคคล หนึ่งในงานวิจัยของนักจิตวิยาชื่อ Michele Gelfand ของมหาวิทยาลัย Maryland ได้นำนักศึกษา 1,500 คน จาก 8 ประเทศมาทำการทดสอบในเหตุการณ์จำลองการต่อรองทางธุรกิจที่การโกหกอาจจะช่วยต่อรองได้ นักศึกษาจากกลุ่มวัฒนธรรมเน้นสิทธิส่วนรวมเช่น เกาหลีใต้ กรีซใช้การหลอกลวงโกหกมากกว่ากลุ่มวัฒนธรรมปัจเจกบุคคลเช่น ออสเตรเลีย เยอรมันนี ถึงแม้ว่าโดยรวมนั้นผลการทดลองจะพบว่ามีการโกหกสูงมากก็ตาม
Gelfand ยังบอกอีกว่า “ในทางกลับกันนั้นการคิดนอกกรอบบางครั้งก็เชื่อมโยงกับการหลีกเลี่ยงกฎ” งานวิจัยอีกจำนวนหนึ่งชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างความคิดสร้างสรรค์และความไม่ซื่อสัตย์ ในขณะที่คนที่ทำงานเกี่ยวกับงานสร้างสรรค์พบว่ามันง่ายมากที่จะให้เหตุผลการโกหก
การหลอกลวงเล็กน้อยก็อาจจะไม่ได้เป็นพิษขนาดนั้น
แต่โดยทั่วไปที่ทำงานจะทำงานได้มีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อผู้คนรู้สึกว่าเขาไว้ใจว่าจะได้รับความจริง
โฆษณา