24 ธ.ค. 2020 เวลา 05:57 • สุขภาพ
1 สัปดาห์รู้อะไรจาก"โควิดสมุทรสาคร" ก่อนศบค.เคาะ "ไม่ล็อกดาวน์"
นับตั้งแต่ตรวจพบผู้ติดโควิด-19รายแรกที่ตลาดกลางกุ้ง เป็นหญิงไทย 67 ปี ตั้งแต่ 17 ธ.ค.ผ่านมา 1 สัปดาห์ ทีมสอบสวนควบคุมโรคลงทำงาน ดำเนินการและได้ข้อมูลอะไร นำมาสู่การแบ่ง 4 โซนจังหวัด ศบค.เคาะ "ไม่ล็อกดาวน์" !!!
1.รู้ว่ามีการระบาดของโรคโควิด-19เกิดขึ้นในพื้นที่
จากการตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในตลาดกลางกุ้งและหอพักใกล้เคียง เพราะผลการตรวจนี้ในวันแรกพบติดเชื้อกว่า 500 ราย ส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าว
 
นำมาสู่การสั่งล็อกดาวน์ เคอร์ฟิว จ.สมุทรสาคร และห้ามเข้า-ออกจ.หากเป็นคนไทยต้องขออนุญาต ถ้าต่างชาติห้ามเด็ดขาด
2.รู้ว่าตลาดแห่งนี้เป็นตลาดค้าส่งเป็นหลัก มีสายส่งและคู่ค้าประจำอย่างน้อย 1 พันราย ในหลายจ. ราว 23 จังหวัด
นำมาสู่การสั่งยกระดับการคัดกรอง และเฝ้าระวังใน 23 จ. ให้มีการตรวจค้นและตรวจหาเชื้อ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ค้าอาหารทะเลและคนขับรถส่งของ รวมถึง คนมาจากจ.สมุทรสาคร
จึงเกิดการค้นเจอผู้ติดเชื้อทั้งที่ยังไม่มีอาการ(เจอระยะนี้ถือว่าดีเท่ากับตะครุบตรวจเจอได้เร็วโดยยังไม่มีอาการป่วย)ในหลายจังหวัด
3.รู้ว่าจุดศูนย์กลางการระบาดอยู่ที่ตลาดกลางกุ้ง เพราะจากการค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุก พบอัตราการติดเชื้อถึง 44% และเมื่อตรวจในระยะห่างออกไปราว 2 กิโลเมตร อัตราลดลงอยู่ที่ 6.5-14% และเมื่อห่างออกไปอีกราว
4 กิโลเมตร อัตราลดลงเหลือ 0.4-4 %
ซึ่งภาพรวมประเมินสถานการณ์ในจ.สมุทรสาคร พบว่า “ดีขึ้น” เดิมมีอัตราพบเชื้อ 22.89 % ปัจจุบันลดเหลืออยู่ที่ 19 %
นำมาสู่การกำหนดขอบเขตการระบาดของโรคในพื้นที่จ.สมุทรสาครมีการขยายออกไปวงกว้างมาแค่ไหน เพื่อจะได้ล้อมกองไฟกำหนดพื้นที่ที่จะดับได้ทั้งหมด
4.รู้ว่านอกจากตลาดกลางกุ้งแล้ว มีอีก 3 จุดหลักในพื้นที่จ.สมุทรสาคร ที่เป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อออกไปต่างจังหวัดจากการที่มีคนมาซื้อขาย คือ
1.ตลาดกลางกุ้ง โดยพบผู้ป่วยที่อยู่ในพื้นที่ 44% ผู้ป่วยนอก จ.สมุทรสาคร 60%
2.ตลาดทะเลไทย มีผู้ป่วยในพื้นที่ 14% ผู้ป่วยนอก จ.สมุทรสาคร 45%
3.ตลาดมหาชัย พบผู้ป่วยในพื้นที่ 6% พบผู้ป่วยนอกจ.สมุทรสาคร 10%
ส่วนชุมชน ซ.เศรษฐกิจ 13 พบผู้ป่วยในพื้นที่ 7% แต่ไม่พบผู้ป่วยนอก จ.สมุทรสาคร ,แพกุ้งมหาชัย พบผู้ป่วยในพื้นที่ 1 % พบนอกจ.สมุทรสาคร 5% และที่สะพานปลาไทย พบผู้ป่วยในพื้นที่ 1% แต่ไม่พบผู้ป่วยนอกจ.สมุทรสาคร
นำมาสู่การประกาศให้คนที่เดินออกจากจ.สมุทรสาครใน 4 จุดนี้ เข้าตรวจโควิด-19ได้ฟรี ในทุกสถานพยาบาล
ส่วนคนที่มาจากจุดอื่นของจ.สมุทรสาคร ตรวจและเบิกได้ตามสิทธิ์รักษาพยาบาลของตัวเอง
5.รู้ว่าขณะนี้จากกองไฟใหญ่ที่จ.สมุทรสาคร มีสะเก็ดไฟกระจายออกไปอย่างน้อย 22 จ. 65 ราย(ข้อมูลจากสธ. ณ เวลา 15.00น.วันที่ 24ธ.ค.2563)
นำมาสู่การ active ของจ.นั้นๆในการค้นหา คัดกรอง เฝ้าระวังและตรวจเชื้อคนในจังหวัดนั้นๆ รวมถึงจังหวัดอื่นๆด้วย
ต้องรีบค้นหาคนติดเชื้อให้ได้ก่อนที่จะมีอาการ เพื่อจะได้ดับสะเก็ดไฟได้ทัน ไม่ให้กลายเป็น "ไฟกองโตขึ้นในพื้นที่อื่นนอกจ.สมุทรสาคร"
6.รู้รหัสพันธุกรรมของเชื้อ ว่าตัวเดียวกับที่ตรวจเจอที่เมืองท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา /อ.แม่สาย จ.เชียงราย และอ.แม่สอด จ.ตาก
นำมาสู่การรู้ต้นตอของเชื้อที่ทำให้โควิดสมุทรสาครระบาดว่า มาจากแรงงาน ที่ลักลอบเข้ามาจากประเทศเมียนมา แล้วนำเชื้อมาแพร่ต่อในชุมชนเมียนมาสมุทรสาครและแพร่ต่อมาคนไทย
ไม่ใช่เชื้อมาจากเรือประมงจากอินโดนีเซียที่บางฝ่ายตั้งข้อสงสัย เพราะเชื้อในสมุทรสาคร เป็นคนละสายกับเชื้อที่ระบาดที่อินโดนีเซีย
โดยเชื้อที่ระบาดสมุทรสาคร มีต้นตอมาจากประเทศอินเดีย แพร่เข้ารัฐยะไข่ ระบาดทั่วประเทศเมียนมาทและทะลุต่อมาประเทศไทย
แต่ยังไม่พบเชื้อตัวที่กลายพันธุ์แบบที่ประเทศอังกฤษเจอแต่อย่างใด
7.รู้ว่ามาตรการสกัดแรงงานเถื่อนลักลอบเข้าเมือง รั่ว!!!!
ตามแผนที่ฝ่ายความมั่นคงเคยแถลงว่ามีแผน 3 ชั้นในการสกัดแรงงานลักลอบเข้าประเทศ นั้นไม่ได้ผล จึงมีการเดินทางเข้ามาได้จนถึงชุมชนแรงงานเมียนมาในจ.สมุทรสาคร และอาจจะเดินทางไปจนถึงจ.อื่นๆด้วย
จำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานที่รับผิดชอบทุกฝ่ายจะต้องร่วมกัน “สกัดปัญหาจากต้นทาง”ให้ได้มากขึ้นด้วย และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยอีก
และเมื่อสถานการณ์สามารถควบคุมการระบาดได้สงบแล้ว จะต้องดำเนินการ “เอาผิดขบวนการแรงงานเถื่อน”!!!!
8.รู้ว่าจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องป้องกันไม่ให้เกิด "ไฟกองใหญ่"แบบเดียวกันกับที่จ.สมุทรสาคร ในจ.อื่นๆที่มี "แรงงานเมียนมา"อาศัยอยู่จำนวนมาก
เนื่องจากลักษณะการอาศัยของแรงงานนั้นมากอยู่ร่วมกันค่อนข้างแออัด และมีวิถีที่ไปมาหาสู่กันในช่วงวันหยุด
นำมาสู่การสั่งให้ทุกจังหวัด ค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในกลุ่มแรงงานต่างด้าว จะได้รู้ว่ามีการติดเชื้อขิงกลุ่มนี้ในจังหวัดอื่นอีกหรือไม่ (จริงๆสธ.สั่งให้จังหวัดดำเนินการเฝ้าระวังเป็นระยะๆอยู่แล้ว ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุที่จ.สมุทรสาคร)
9.รู้ว่าขณะนี้เริ่มมีปรากฎการแพร่เชื้อต่อให้คนไทย ในรุ่นคนที่ "ไม่ได้ไปตลาดสมุทรสาคร" โดยเป็นการแพร่ต่อจากคนที่ไปตลาด แล้วเดินทางกลับไปในจ.ต่างๆ จึงนำเชื้อไปแพร่ในจ.ต่อ
อันเกิดจากคนที่มีประวัติเสี่ยง คือ กลับจากพื้นที่เสี่ยงสมุทรสาคร แต่ไม่ระวัง ป้องกัน ไม่ใส่หน้ากาก ไม่ล้างมือบ่อยๆ ยังไปในสถานที่ชุมชนที่มีคนมาก
นำมาสู่การที่ศบค.เคาะ “ไม่ล็อกดาวน์ประเทศ” แต่แบ่งโซนบริหารจัดการจังหวัด ตามโซนพื้นที่ แบ่งเป็น 4 โซน ประกอบด้วย(ณ เวลา 12.30 น. วันที่ 24 ธ.ค.2563)
พื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) : สมุทรสาคร
พื้นที่ควบคุม(สีส้ม) : กรุงเทพมหานคร สมุทรสาคร ราชบุรี และนครปฐม
พื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) : สระบุรี สมุทรปราการ สุพรรณบุรี นนทบุรี ปทุมธานี อุตรดิตถ์ ฉะเชิงเทรา กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ พระนครศรีอยุธยา ภูเก็ต เพชรบุรี นครราชสีมา ปราจีนบุรี กระบี่ ขอนแก่น ชัยนาท อุดรธานี พิจิตร นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ประจวบคีรีขันธ์ ชัยภูมิ นครสวรรค์ อ่างทอง
พื้นที่เฝ้าระวัง(สีเขียว) : จังหวัดที่ยังไม่มีผู้ติดเชื้อ
10.รู้ว่าคนไทยเมื่อไปตลาดจะมีอัตราการใส่หน้ากากที่ "ต่ำ"กว่าการใช้ชีวิตประจำวันโดยทั่วไป
จาก "อนามัยโพลล์"ที่ทำการสำรวจพฤติกรรมการสวมหน้ากากของประชาชนช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา โดยกรมอนามัย จำนวน 4 ครั้ง พบว่า
ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 9-13 พ.ย.2563 เมื่อออกนอกบ้าน สวมหน้ากากอนามัย85.3 % แต่สวมหน้ากากทุกครั้งเมื่อไปตลาด 69.5 %
ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 23-27 พ.ย. เมื่อออกนอกบ้าน สวมหน้ากาก 81.21 % เมื่อไปตลาด 64.57 %
ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 7-11 ธ.ค. เมื่อออกนอกบ้าน สวมหน้ากาก 86.19 % เมื่อไปตลาด 68.57 %
ครั้งที่ 4 วันที่ 21 ธ.ค. หลังมีเหตุการณ์ที่จ.สมุทรสาคร เมื่อออกนอกบ้านสวมหน้ากาก 90.89 % เมื่อไปตลาด 74.12 %
และที่สุดแล้ว ทำให้รู้ว่า "คนไทย ห้ามการ์ดตก !!!แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่การระบาดใหม่ครั้งนี้ จะสงบแล้วก็ตาม"
ไม่ #ล็อกดาวน์ #โควิดสมุทรสาคร #4โซนพื้นที่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา