27 ธ.ค. 2020 เวลา 09:02 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
MovieTalk หนังชนโรง: WW84 (Wonder Women 1984)
หลังจากประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย และถือว่าเป็นการเปิดศักราชซูเปอร์ฮีโร่ขุ่นแม่นำเดี่ยว Wonder Woman ในปี 2017 แต่ก่อนหน้านั้นคือการแย่งซีนบรรดาซูเปอร์ฮีโร่ชายตัวพ่อใน Batman v Superman: Dawn of Justice ในปี 2016
วันเดอร์วูแมน หรือ สาวน้อยมหัศจรรย ในเวอร์ชั่นของ เกล กาด็อท คือความโดดเด่น สง่างาม และชวนมอง นั่นมากพอที่จะทำให้ พี่ชอ ศรีสวัสดิ์ เพ้อและไม่เขียนถึงเธอตั้ง 1 บทความ
หลังจากเจอโรคเลื่อนเพราะมหัตภัยโควิด-19 ในที่สุดสาวน้อยมหัศจรรย์แห่งค่าย DC ก็มีภาค 2 ในชื่อ WW84 (วว84) ออกมาให้คนดูได้รับชมกันแบบมีทางเลือก
หลังจากเลื่อนแล้วเลื่อนอีก ไม่ต่ำกว่า 5 รอบ วอร์เนอร์ สตูดิโอต้นสังกัด ตัดสินใจเป็นไงเป็นกัน ส่ง WW84 ลงโรงฉายพร้อมกับให้คนดูสตรีมมิ่งผ่านช่อง HBO Max ของตนเอง ซึ่งนั่นสำหรับคนดูในฝั่งอเมริกา แต่ตลาดนอกทั่วโลก คนดูยังคงต้องรับชมผ่านทางโรงหนังเช่นเดิม ในบ้านเราก็คงมีหลายคนได้รับชมไปแล้ว เพราะเข้าฉายตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา
แต่สถานการณ์ WW84 ในบ้านเราน่าจะไม่โอเคเสียแล้ว เพราะภัยโควิด-19 กลับมาระบาดเป็นหย่อม ๆ กันอีกครั้ง ย่อมได้รับผลกระทบตามไปด้วย อย่าว่าแต่ไปนั่งดูหนังในโรงหนังเลย แค่ออกจากบ้านนับจากนี้ก็คงต้องระวังตัวกันเพิ่มไม่น้อย
คำถามคือ WW84 มีดีพอที่จะทำให้คนดู ‘กล้า’ ไปนั่งดูหนังในโรงหนังหรือไม่ เพราะหนังฟอร์มยักษ์ที่ท้าพิสูจน์ไปแล้วก็คือ TENET ของคริสโตเฟอร์ โนแลน แม้ว่าชื่อของเทพโนแลนจะดึงคนดูไปแน่นเต็มโรง จนถึงขั้นดูซ้ำก็ตาม แต่รายได้รวมทั่วโลกก็จัดว่าอยู่ในโซนหนัง ‘คว่ำ’ ครับ
และเมื่อผมได้สัมผัสด้วยตาตนเอง WW84 ยังอยู่ในระดับกลาง ๆ ไม่ได้ ‘เด่น’ เท่าภาคแรก แต่ก็ไม่ได้ ‘ด้อย’ จนต้องผิดหวัง
1
ในภาคนี้หนังจับเหตุการณ์ร่วมในยุค 80 ถ้าระบุปีก็ 1984 ที่ ไดอานา พริ้นซ์ ผ่านช่วงเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เธอกอบกู้โลกไปแล้วครั้งหนึ่ง และผ่านวันเวลามาอย่างเดียวดายจนกระทั่ง มีการค้นพบหินศักดิ์สิทธิ์จากยุคอดีตที่มาพร้อมพรสมปรารถนา อันนำไปสู่ความโกลาหลของนักธุรกิจขี้แพ้แต่ละโมบ แม็กซ์เวล ลอร์ด กับ บาร์บารา มิเนอร์วา ด๊อกเตอร์สาวสายเฉิ่มที่กลายเป็นนางเสือดาวซีต้า ที่กลายเป็นคู่ปรับอันร้ายกาย ท่ามกลางการกอบกู้โลกอีกครั้ง รักเก่าในอดีตที่กลับมาอีกครั้งจากโลกหลังความตาย กัปตันสตีฟ เทรเวอร์ คืออีกหนึ่งบททดสอบที่ไดอานาต้องรับมือ
1
เกล กาด็อท กลับมาเป็น ไดอานา พรินซ์-วันเดอร์วูแมน ยังคงดูดี และชวนมองทุกครั้งที่ปรากฎตัว
เปรโดร พาสคาล ขาประจำตัวร้าย ก็ไม่น่าแปลกถ้าเจ้าตัวจะมาเป็นวายร้าย แม็กซ์เวล ลอร์ด ที่มีมุมอ่อนโยนซุกซ่อนอยู่ นั่นล่ะคือจุดอ่อนที่ทำให้วายร้ายตัวนี้มันไปไม่ถึงจุดที่ควรเป็น
ที่ผิดหูผิดตาอย่างไม่น่าเชื่อคือการเลือกสายฮาขารั่วอย่าง คริสเทน วิก มารับบท ดร.บาร์บารา มิเนอร์วา-ซีตา ที่ทำให้สาวสายฮากลายเป็นสาวเซ็กซี่ไปได้ อันนี้คือ ‘ทึ่ง’
และการกลับมาของ คริส ไพนน์ ในบท สตีฟ เทรเวอร์ ที่วิธีกลับมาของตัวละครนี้คือ....ง่ายไปหน่อย...และการให้เขากลายเป็นตัวละครหลงยุคแทนในภาคนี้ ก็คือเอามาสร้างอารมณ์ขัน และอารมณ์ซึ้งเป็นหลัก แต่ ไพนน์ เป็นนักแสดงหน้าหล่อที่ไม่เหมาะกับการเป็นการแสดงตลก คือมันไม่ได้ เหมือนเอาพี่ติ๊กเจษมาเล่นตลก รายหลังนี่คือ ‘พังพินาศ’ มาก ๆ คนหล่อเกินไปตลกยังไงก็โคตรฝืด...ว่างั้น
แพ็ตตี้ เจนกินส์ กลับมารับหน้าที่สานต่อภาค 2 อีกครั้ง โดยเลือกเอาวัฒนธรรมในยุค 80 มาใส่ในหนัง ก็คงเป็นที่ ‘อิน’ ให้ได้หวนระลึกถึงสำหรับบรรดาคนดูที่โตมากับสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น เต้นเบรคแดนซ์, คอสตูมที่เหมือนหลุดโลก, ทีวีจอแก้วหลังเต่า, น้ำมันดิบ หรือการสะสมนิวเคลียร์ของชาติมหาอำนาจ สหรัฐอเมริกา กับ สหภาพโซเวียต ทั้งหมดมีให้ดูในหนัง แต่สำหรับเด็กที่โตมาในยุค 5G ก็คงได้นั่งหัวเราะ หรือตะลึงกับสิ่งที่ตนเองไม่คิดว่าครั้งหนึ่งมันจะมีในโลกที่เขาโตมา
ในขณะที่แก่นของหนัง ยังคงว่าด้วยสถานการณ์ ‘เลือก’ ที่จะ ‘ทำ’ หรือ ‘ทิ้ง’ ใน Passion ของตนเอง และผลการการ ‘เลือก’ ที่มีทั้ง ‘ได้ และ เสีย’ ผ่านตัวละครหลักทั้งสาม
ไดอานา พริ้นซ์ ที่ผ่านช่วงเวลาอันเดียวดายมาหลายทศวรรษ และเมื่อชายคนที่เธอรักกลับมาอีกครั้ง เธอต้อง ‘เลือก’ สิ่งหนึ่งเพื่อสูญเสียอีกสิ่งหนึ่ง
บาร์บารา มิเนอร์วา สาวที่ไม่ใครในโลกสนใจแม้แต่จะมองหรือพูดคุย ก่อนที่เธอจะกลายเป็นที่สาวที่โลกต้องหันมาจับตา เธอต้อง ‘เลือก’ สิ่งหนึ่งเพื่อสูญเสียอีกสิ่งหนึ่ง
และ แม็กซ์เวล ลอร์ด นักธุรกิจขายฝันแบบอเมริกันดรีม ผู้ล้มเหลวทั้งธุรกิจและการเป็นพ่อ เขาต้อง ‘เลือก’ ที่จะกลายชายผู้ทรงอำนาจที่สุดในโลก เพื่อจะต้องสูญเสียอีกสิ่งหนึ่ง
ในทุก ๆ การ ‘เลือก’ เราจะต้องตกอยู่ทั้งสองสถานะ คือ ‘ได้’ บางสิ่ง และ ‘เสีย’ บางสิ่ง
ด้วยเหตุนี้ภาพรวมของหนังก็เลยต้อง ‘เลือก’ เช่นกัน และเหมือนตัวหนังจะไม่อยากเลือก สุดท้ายมันก็เลยไปไม่ไกล ไล่ไม่ถึงสักเรื่อง หนังเซอร์วิสฉากโรแมนติคที่ดูดี แต่ไม่น่าทำอย่างเช่นการขับเครื่องบินผ่าเข้าไปในน่านฟ้าที่กำลังจุดพลุ เพื่อให้ได้ภาพสวย โรแมนติก ไม่แน่ใจว่าเจนกินส์ตั้งใจทำอ้างอิงจากฉาก ซูเปอร์แมนพาลูอิส เลนบินไปในท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เราเห็นใน Superman เวอร์ชั่นของคริสโตเฟอร์ รีฟส์ รึเปล่า เพราะนั่นก็คือหนังในยุค 80 เหมือนกัน
แต่พอถึงโหมดของแอ็คชั่น ที่มีให้ดูน้อยถึงน้อยมาก ตามสูตรหนังเกรดบีเลยคือ ฉากเปิดเรื่อง 1, ฉากกลางเรื่อง 1 และฉากท้ายเรื่องอีก 2 ก็ตามที่เห็นในหนังตัวอย่าง ไม่มีอะไรเซอร์ไพร์ส และไม่ได้ตื่นตาตื่นใจอะไรเป็นพิเศษ ไม่ต้องลุ้นกันเยอะ ในแง่ความเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ เอาเป็นว่านั่งดูหนังตระกูล Fast ยังมันเสียกว่า แอ็คชั่นจัดมาน้อยแต่ตัวหนังทั้งเรื่องจัดว่ายาวเกินไป
แถมด้วยการที่หนังจัดวายร้ายมาถึง 2 แต่ไม่ได้ช่วยอะไร การทำให้เหมือน วายร้ายที่มี ‘ของ’ กลับดูไม่ ‘ขลัง’ ก็ยิ่งทำให้หนังชวนน่าเบื่อ คือถ้าเป็นเส้นกราฟ มันจะวิ่งขึ้นลงน้อยกว่าดัชนีตลาดหุ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเสียอีก หนังแนวนี้ถ้าตัวร้ายไม่ไปให้สุด ๆ ก็ยากจะทำคนดูต้องลุ้นกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในหนัง
การที่หนังดึงเอาชุดเกราะ Golden Eagle Armor ซึ่งเคยปรากฎตัวในคอมิกส์มาอยู่ในหนัง แม้จะดูสวยงามและอ้างอิงจากคอมิกส์ แต่คนดูส่วนใหญ่น่าจะพาลนึก “เฮ้ย...นี่มันเซนต์เซย์ย่านี่หว่า” เสียมากกว่า เผื่อลืม...มังงะ เซนต์ เซย์ย่า ก็คือการ์ตูนจากยุค 80 เหมือนกันนะ (มังงะเริ่ม Run ตอนแรกในปี 1986) OMG นี่เซย์ย่ามันยาวนานขนาดนี้เหรอเนี่ย?
ดังนั้นภาพรวม แม้จะดูดีสมกับทุนสร้างที่ละลายไป แต่ไม่แง่ความประทับใจมันไม่ได้เท่าภาคแรก และน้อยเกินไปกับการเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่สักเรื่องหนึ่ง แม้จะไม่ถึงขั้นเสียดายเงินค่าตั๋ว แต่ก็ลดทอนความประทับใจของหนังลงไปพอสมควร
สนุกพอประมาณ แต่สตรีมที่บ้านก็น่าจะได้น่าจะเป็นข้อสรุป เพียงแต่ว่าตลาดนอกอเมริกา คุณต้องดูผ่านโรงหนัง หรือรออีกสามเดือนมีแผ่น DVD, BD ให้ดูครับ อ้อ...ตอนท้ายจะมีตัวละครลับจากยุค 80 มาปรากฎตัวด้วยนะครับ สำหรับคนที่โตมากับยุคนั้นน่าจะฟินพอประมาณครับ ส่วนหลัง End Credit ไม่มีตัวอย่างอะไรทิ้งท้ายนะครับ
ทุก ๆ การตัดสินใจที่มาพร้อมกับทางเลือก
คุณจะต้อง ‘ได้’ และ ‘เสีย’ บางอย่างเสมอ
มันคือความจริงที่สุด
WW1984 (2020)
Directed: Patty Jenkins
Starring: Gal Gadot, Chris Pine, Kristen Wiig, Pedro Pascal
Running time: 151 Mins.
ขอบคุณที่มาข้อมูลและภาพประกอบ: Wikipedia, Rotten Tomatoes, Warrner Bros., Youtube, Deadline, uweekly.sg
โฆษณา