28 ธ.ค. 2020 เวลา 00:30
สุขภาพการเงินไม่ต่างอะไรจากสุขภาพร่างกาย ที่คนเราต้องหมั่นตรวจสอบเป็นประจำ เพื่อคอยติดตามว่าสถานะการเงินของเราเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดี มีอะไรต้องปรับปรุงแก้ไข และที่สำคัญมันสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงิน และสนับสนุนเป้าหมายชีวิตของเราได้แค่ไหน
1
ในแต่ละปีตัวผมเองก็จะตรวจสุขภาพการเงินของตัวเอง ด้วยตัวชี้วัด 4 ตัวสำคัญ
ดังต่อไปนี้ครับ
3
1. อัตราส่วนการออม
1
อัตราส่วนนี้เป็นตัวบอกว่า เราแบ่งเงินไปสะสมเพื่ออนาคตมากน้อยแค่ไหน ระดับที่ดีและมีผลต่อความมั่งคั่งในอนาคต ก็คือ มากกว่า 10% ขึ้นไป ถือว่าเป็นอัตราที่ดี
1
วิธีวัดก็ไม่ยากครับ ลองเอาเงินที่เราตัดไปออมหรือลงทุนในแต่ละเดือน อาทิ เงินฝาก ประกัน หรือกองทุนต่าง ๆ (รวมกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพด้วย) บวกกันทั้งหมดแล้วหารด้วยรายได้รวมต่อเดือน หรือจะคิดทีเดียวทั้งปีก็ได้ แล้วคูณด้วย 100 เพื่อคิดเป็นเปอร์เซ็น
เช่น นายจักรพงษ์ มีรายได้ 30,000 บาทต่อเดือน หักสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพทุกเดือน 5% (1,500 บาท) และหักซื้อกองทุน RMF ทุกเดือน ๆ ละ 3,000 บาท แบบนี้นายจักรพงษ์ ก็จะมีอัตราส่วนการออมเท่ากับ 15% ซึ่งถือว่า "ดี"
4
2. อัตราส่วนเงินชำระคืนหนี้ต่อรายได้
อัตราส่วนนี้เป็นอัตราส่วนที่คอยเตือนเราว่า เรากำลังมีหนี้สินเกินตัวไปหรือเปล่า โดยอธิบายว่าหากเราหาเงินในแต่ละเดือนได้ 100 บาท เราต้องนำเงินรายได้นี้ไปจ่ายหนี้สินทั้งสิ้นกี่บาท ซึ่งอัตราส่วนเงินชำระหนี้ที่ดี ไม่ควรเกิน 40% (แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้สินเชื่อจริงๆ ก็ยอมถีงระดับ 50% ได้)
2
วิธีวัดก็ให้นำรายจ่ายหนี้ทั้งหมดในแต่ละเดือน ไม่ว่าจะเป็นเงินผ่อนบ้าน เงินผ่อนรถ ผ่อนบัตรเครดิต ผ่อนสินเชื่อต่าง ๆ รวมกัน แล้วหารด้วยรายได้ต่อเดือน แล้วคูณด้วย 100 เพื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์
3
ตัวอย่างเช่น นายจักรพงษ์ มีรายได้ 30,000 บาท มีภาระผ่อนหนี้บ้าน 9,000 บาท แล้วก็ผ่อนสินเชื่อสหกรณ์ออมทรัพย์ 3,000 บาท แบบนี้นายจักรพงษ์ก็จะมีอัตราส่วนเงินชำระคืนหนี้เท่ากับ 40% อันนี้ถือว่ายังพอไหว แต่ต้องระวัง ไม่ควรสร้างหนี้เพิ่มไปกว่านี้
3. อัตราส่วนเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน
1
อัตราส่วนนี้ คือ สิ่งที่บอกว่าชีวิตเราพร้อมรับมือกับเรื่องไม่คาดฝัน โดยเฉพาะเรื่องของการสูญเสียรายได้มากแค่ไหน ที่ดีแล้วคนเรามีอัตราส่วนนี้เกิน 6 ซึ่งแปลความหมายได้ว่า หากตกงานหรือไม่มีรายได้เข้ามาเลย เราจะยังสามารถดำรงชีวิตอยู่แบบไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน ได้อีกอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ได้มาก แต่ทำให้ชีวิตเราพอมีเวลาคิด เวลาตัดสินใจเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ ได้
1
วิธีวัดอัตราส่วนนี้ ทำได้โดยการรวบรวมมูลค่าสินทรัพย์สภาพคล่องทั้งหมด อาทิ เงินฝาก สลากออมทรัพย์ กองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมตราสารหนี้ ทองคำ ฯลฯ บวกกันทั้งหมด แล้วหารด้วยค่าใช้จ่ายรวมต่อเดือน ได้ตัวเลขออกมาเท่าไหร่ก็เท่านั้น ไม่ต้องทำเป็นเปอร์เซ็นต์
2
ที่ต้องเลือกสินทรัพย์สภาพคล่อง เพราะหากเราตกงาน หรือขาดรายได้ เราต้องการเงินสดเข้ามือเร็ว ซึ่งสินทรัพย์สภาพคล่อง คือ สินทรัพย์ที่แปลงเป็นเงินสดได้เร็ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ไม่ได้ดูแต่ความคล่องตัวอย่างเดียว ต้องดูเรื่องของความผันผวนของมูลค่าด้วย อย่างเช่น หุ้น หรือกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น กลุ่มนี้ก็มีสภาพคล่องที่ดี แต่เนื่องจากมูลค่ามีความขึ้นลง จึงไม่เหมาะที่จะนับเป็นเงินสำรอง (เหมาะกับสะสมความมั่งคั่งมากกว่า)
ตัวอย่างเช่น นายจักรพงษ์ มีเงินสดฝากไว้ในธนาคาร 100,000 บาท มีสลากออมสิน 20,000 บาท มีกองทุนรวมตลาดเงิน 30,000 บาท ถ้านายจักรพงษ์มีรายจ่ายต่อเดือน 25,000 บาท แบบนี้จะถือว่านายจักรพงษ์ มีอัตราส่วนเงินสำรองเท่ากับ 6 เดือน ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี
4. ความมั่งคั่งสุทธิ
ตัวชี้วัดตรวจวัดสุขภาพการเงินตัวสุดท้าย คือ ความมั่งคั่งสุทธิ (Net Worth) หรือทรัพย์สินสุทธิ ตัวชี้วัดนี้จะบอกมูลค่าทรัพย์สินที่ปลอดภาระของเรา ซึ่งแสดงถึงความมั่งคั่งที่แท้จริงของเราได้เป็นอย่างดี โดยปกติความมั่งคั่งสุทธิที่ดี คือ มีค่าเป็นบวก และจะดีมากขึ้น ถ้าบวกเพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี
วิธีวัดก็ง่าย ๆ ให้เรารวบรวมรายการทรัพย์สินและหนี้สินมาหักลบกัน เช่น หากนายจักรพงษ์ รวมรวบรายการทรัพย์สินแล้วพบว่า มีมูลค่าทรัพย์สินรวม 3,000,000 บาท และเมื่อรวบรวมรายการหนี้ในชื่อตัว ก็พบว่ามีอยู่ 2,000,000 บาท
กรณีแบบนี้ นายจักรพงษ์ก็จะมีความมั่งคั่งสุทธิเท่ากับ 1,000,000 บาท ซึ่งถือว่าดี และถ้าปีต่อไปบวกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะถือว่ายิ่งดีมาก
ดัชนีวัดสุขภาพการเงิน (Money Index)
จะสังเกตว่าทั้ง 4 ตัวชี้วัดที่ผมเล่าให้ฟังข้างต้น ไม่ได้มีวิธีคิดวิธีการคำนวณที่ยุ่งยากเลย แถมเมื่อคิดคำนวณออกมาได้แล้ว ก็จะช่วยทำให้เราวางแผนการเงิน หรือคอยติดตามระมัดระวังทั้งการใช้จ่ายและการออมการลงทุนได้เป็นอย่างดี
1
โดยปกติผมจะตรวจวัดสุขภาพการเงินตัวเองในช่วงเริ่มต้นปีใหม่ ทำไปพร้อม ๆ กับการวางแผนการเงินและภาษี รวมถึงมอนิเตอร์ความเคลื่อนไหวของเงินตัวเอง และผมเองก็อยากให้ทุกท่านนำตัวชี้วัดสุขภาพการเงินนี้ ไปลองใช้ดูในทุก ๆ ต้นปี เพื่อให้เป็นการเริ่มต้นการเงินที่ดี
แต่หากใครยังไม่เคยลองวัด ไม่เคยลองทำ ผมแนะนำว่าเริ่มต้นครั้งแรกวันนี้เลยครับ ไม่ต้องรอให้ถึงปีใหม่ ใครที่มีสุขภาพการเงินดี ก็รักษาวินัยกันให้ดี ใครที่สุขภาพการเงินมีปัญหา ปีหน้าเรามาว่ากันใหม่ แก้ไขให้ดีขึ้นกันครับ
#TheMoneyCoachTH
ใครชอบเรื่องการเงินส่วนบุคคล ติดตามพูดคุยกันได้เป็นประจำที่นี่นะครับ
3
โฆษณา