30 ธ.ค. 2020 เวลา 11:14
หนึ่งทศวรรษของ 'ความรัก'
..
ระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา โลกของเราหมุนเปลี่ยนไปไวมาก สิ่งต่าง ๆ รอบตัวผมเปลี่ยนไปมากมาย พอลองนึกย้อนกลับไปราวกับอยู่คนละโลกกับที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้
10 ปีที่แล้ว, การจะโทรคุยกับใครสักคนนาน ๆ (เป็นชั่วโมง) ต้องรอสมัครโปรโทรฟรี 9 บาทแล้วรอคุยกันตอน 4 ทุ่ม แล้วให้อีกคนสมัครต่อตอนเที่ยงคืน
10 ปีที่แล้ว, จะส่งข้อความไปบอก‘ฝันดี’กัน ต้องส่งผ่าน SMS
10 ปีที่แล้ว, การถ่ายเซลฟี่ด้วยกล้องหน้ายังไม่มี ต้องใช้กล้องหลังแล้วหันโทรศัพท์เอา ถ้าอยากเห็นหน้าจอตอนถ่ายก็ต้องใช้กระจกช่วยเอา
10 ปีที่แล้ว, การจะหาเพลงที่ชื่นชอบฟังต้องดาวน์โหลดจาก 4 share และมาแชร์กัน ด้วยการส่งผ่านบลูทูธ(บางครั้งส่งกันเป็นวัน)
1
10 ปีที่แล้ว, โทรศัพท์ที่เป็นที่นิยมต้องมีลำโพงเยอะ ๆ และเปิดเพลงดัง ๆ ประชันกัน
10 ปีที่แล้ว, ยังไม่มีวีดีโอคอลคุยกันแบบเห็นหน้า
10 ปีที่แล้ว, หากอยากเก็บรูปใครคนนึงไว้ดูในโทรศัพท์ต้องไปขอจากเพื่อนเขาหรือแอบส่งเองผ่านบลูทูธ
10 ปีที่แล้ว, ยังไม่มีเฟซบุคเป็นของตัวเอง
10 ปีที่แล้ว, หน้าหนาวเย็นสบายและยาวนานกว่านี้
10 ปีที่แล้ว, อากาศปลอดโปร่ง หายใจสบาย ไม่มีปัญหาฝุ่นจิ๋วรบกวน
เหล่านี้คือ 10 ปีที่ผ่านมา จากความทรงจำของผมที่พอจะนึกออก หลาย ๆ สิ่งในปัจจุบันทำให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น รวดเร็วขึ้น แต่ก็อาจต้องแลกมาด้วย ‘คุณค่า’ บางอย่างที่สูญหายไป คุณค่าที่ความสะดวกสบายไม่สามารถทดแทนได้ แต่งดงามในแบบของมัน
1
แต่ถึงแม้ว่าสิ่งรอบตัวจะหมุนเปลี่ยนไป โลกภายนอกจะวิวัฒน์ไปแค่ไหน แต่ยังมีสิ่งหนึ่งในชีวิตผมที่ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา สิ่งนั้นคือ
“คนข้างๆ”
..
วันนี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว จากเพื่อนร่วมห้องที่มักชอบเล่นด้วยกัน กลั่นแกล้งกัน หยอกล้อกัน นั่งเรียนใกล้ ๆ กัน แต่เพียงเวลาชั่วข้ามวัน ความสัมพันธ์ของเราก็พัฒนาขึ้นไปเป็นอีกแบบ จากที่ต้องคอยหาข้ออ้างโทรไปถามเรื่องการบ้าน เพื่อที่จะได้คุยกันสองคน ผมก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นอีกแล้ว
“เราสองยังคงเรียนอยู่ห้องเดียวกันเหมือนเดิม แต่ความสัมพันธ์ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”
ถึงแม้ว่าเราจะคบกันตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เราสองคนต่างก็มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การเป็นนักเรียนของเราอย่างดี ช่วยดูแลกัน สนับสนุนกันจนจบการศึกษาได้ นอกจากนั้นเธอยังมีส่วนช่วยเติมเต็มความทรงจำดี ๆ ในการเป็นเด็กนักเรียนม.ต้นของผมอย่างมากมายเลยทีเดียว
แต่ห้วงเวลาแห่งความสุขช่างแสนสั้น
ช่วงเวลาหลังจากนั้นผมซึ่งไม่เคยคิดเลยว่า เวลาที่เราจะได้ใช้อยู่ด้วยกัน ได้พบเจอกันทุกวันที่โรงเรียน จะแปรเปลี่ยนเป็นแค่การฟังเสียงของกันและกันผ่านทางโทรศัพท์เท่านั้น เพราะหลังจากจบม.3 เราทั้งสองต่างเลือกเดินตามเส้นทางของตัวเอง เธอเลือกที่จะเรียนต่อม.ปลาย ส่วนผมเลือกที่จะเรียนสายอาชีพในต่างจังหวัด
“จากความสัมพันธ์ที่ใช้บริการของความใกล้ชิด ต้องเปลี่ยนมาใช้บริการของความคิดถึงแทน”
ช่วงเวลาหลังจากจบม.ต้น เราสองคนต่างต้องใช้หัวใจและเวลาเพื่อพิสูจน์ “ทฤษฎีของระยะทางกับปริมาณความรัก” ว่าความรักที่เราสองคนมีให้กันจะ ‘แปรผันตรง’ หรือ ‘แปรผกผัน’ กับระยะทาง ซึ่งโดยทั่วไปเรามักจะได้ยินว่ามันจะ ‘แปรผกผันกัน’ คือเมื่อระยะทางระหว่างคนสองคนมากขึ้น ความรักที่มีให้กันจะลดลง ซึ่งเราสองคนได้พิสูจน์ให้กันและกันเห็นแล้วว่ามันไม่เป็นจริงเสมอไป
จากระยะทางประมาณ 80 กม. ที่เราต้องห่างกันในช่วงมัธยมปลาย เพิ่มขึ้นเป็น 120 กม. ในช่วงมหาลัย แต่ก็ไม่สามารถทำให้ผลลัพธ์ของทฤษฎีที่เราสองคนร่วมกันพิสูจน์เปลี่ยนแปลงไปได้ ผลลัพธ์ยังเหมือนเดิม และดูจะดีกว่าเดิม
หลังจากเรียนจบมหาลัยเราสองคนได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้นราว ๆ 1 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ผมได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านและเป็นช่วงเวลาที่ผมมองว่ามันคือ gap year สำหรับผมในการทดลองคิดและทำสิ่งต่าง ๆ นับเป็นช่วงเวลาที่ได้เหยียบเบรคให้ชีวิต เพื่อหยุดพักระหว่างทางสำหรับ ‘การเดินทางไกลของชีวิต’ ได้แวะตรวจสอบเชื้อเพลิง ตรวจสอบสภาพยานพาหนะ รู้จักที่จะชื่นชมความงดงามของเส้นทางที่ผ่านมา ก้มลงมองจุดที่กำลังยืนอยู่ และมองหาเส้นทางที่กำลังจะต้องเดินทางไปต่อ
ในช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่เธอเริ่มต้นการทำงานพอดี ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เราทั้งสองต่างก็ต้องการกำลังใจ คำปลอบโยน และคำแนะนำให้แก่กัน ในช่วงเวลาที่เราเปลี่ยนสถานะจาก ‘วัยเรียน’ เป็น ‘วัยทำงาน’ ต้องปรับตัวหลายอย่าง หลายสิ่งไม่ง่ายอย่างที่คิด หลายสิ่งไม่เป็นดั่งที่ใจหวัง หลายสิ่งเราไม่สามารถระบายให้ใครฟังได้ เราให้กำลังใจ ปลอบประโลม ปรับทุกข์ ปรับสุข และเดินทางในเส้นทางของตัวเองต่อไป ซึ่งหนทางยังดูแสนไกลนัก
แต่ระยะเวลาที่เราได้อยู่ร่วมแบ่งปันทุกข์-สุขให้แก่กันนี้ นับเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผมมีความสุขมากที่สุด ในยามที่ผมอ่อนแอ เธอให้กำลังใจและคอยช่วยสนับสนุนผม ส่วนในยามที่เธออ่อนแอ ผมรับฟัง ให้คำแนะนำ แล้วเราทั้งสองก็ต้องสู้กันต่อไป
..
ผมลองมาคิด ๆ ดูว่าเราสองคนเริ่มคบกันตั้งแต่อยู่ ม.2 ซึ่งตอนนั้นก็อายุราว ๆ 14 ปีเห็นจะได้
เออ,นี่เราเข้ามาอยู่ในชีวิตของกันและกันเกือบครึ่งนึงของชีวิตที่ใช้มาแล้วนี่นา
ถ้าถามว่าอะไรที่ทำให้ผมหลงรักในตัวผู้หญิงคนนี้ ผมตอบแบบไม่ต้องคิดเลยนั่นคือ ‘ความสดใส’ ความเป็นคนสดใสโดยธรรมชาติของเธอมันแผ่ลามออกมาจนทำปฏิกิริยาบางอย่างกับความรู้สึกของผม ถึงทุกวันนี้มันก็ยังคงทำหน้าที่นั้นอยู่เสมอ
“ทุกครั้งที่ผมได้อยู่ใกล้เธอ โลกของผมสดใสขึ้น”
นี่อาจจะเป็นอย่างที่ใครต่อใครเขาพูดกันว่า ‘เวลาที่เห็นใครสักคนมีความสุข วินาทีนั้นเราจะเลิกนึกถึงความรู้สึกของตัวเอง’ และผมรู้สึกแบบนี้ทุกครั้งที่ได้ใกล้เธอ
เธอเป็นคนที่หากรู้จักแบบเผิน ๆ อาจจะรู้สึกว่าเป็นคนหยิ่ง ๆ หน้าตาเหวี่ยง ๆ พูดจาโผงผางบ้าง แต่เมื่อได้สัมผัสเข้าไปข้างในตัวตนที่แท้จริงของเธอแล้ว จะพบว่าเธอเป็นคนที่สดใส เป็นคนที่นึกถึงความรู้สึกคนอื่นเสมอ เป็นเด็กที่กตัญญู เป็นคนจริงใจ หากให้ใจใครไปแล้วคน ๆ นั้นต้องเก็บรักษาให้ดี ๆ ถ้าเกิดรักษาไม่ดีขึ้นมาเธอก็พร้อมจะตัดให้ขาดสะบั้น(ใครอย่าทำให้เธอโกรธและเกลียดเชียว) และก็เป็นคนที่ใจร้อน มีร่างสองเวลาขับรถ ขี้งอน ขี้หึง และขี้บ่นบ้างบางเวลา
แน่นอน,ไม่มีใครบนโลกนี้ที่สมบูรณ์แบบทุกอย่าง ทุกคนมีสิ่งที่เว้าแหว่งแตกต่างกันไป แต่ความเว้าแหว่งนี่เองที่มันรวมกันเป็นเธอในแบบที่ผมหลงรัก ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบทุกอย่าง แค่เป็นธรรมชาติของเธอแบบนี้
“ก็ดีมากพอแล้ว”
..
แม้เราทั้งสองจะคบกันมานาน แต่ใช่ว่านิสัยของเราจะเหมือนกันทุกอย่าง ไลฟ์สไตล์บางอย่างเราก็ต่างกันแบบสุดขั้ว
เธอใจร้อน-ผมใจเย็น
เธอคิดไว-ผมคิดช้า
เธอกินเค็ม-ผมกินหวาน
เธอเลือกกิน-ผมอะไรก็ได้
เธอไม่ชอบออกกำลังกาย-ผมชอบวิ่ง
เธอชอบความโรแมนติก-ผมไร้ความโรแมนติก
เธอชอบความสบาย-ผมชอบผจญภัย
เธอชอบความมั่นคง-ผมชอบอิสระ
หลายอย่างเราแตกต่างกัน แต่เราก็ยอมรับและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน อะไรที่คนใดคนหนึ่งสุดโต่งเกินไป ก็ช่วยเตือน ช่วยตบให้เข้ารูปเข้ารอย ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกอย่าง ไม่จำเป็นต้องชอบแบบเดียวกันทุกอย่าง และไม่จำเป็นต้องทำอะไรด้วยกันทุกอย่าง
เราสองคนอาจจะเปรียบเสมือนหยินหยาง (☯️) ที่คอยรักษาความสมดุลให้กันและกัน บางครั้งที่ความใจร้อนของเธอมากเกินไปซึ่งคล้ายกับสีดำของหยินหยาง ผมจะคอยเติมความใจเย็นที่เป็นจุดเล็ก ๆ สีขาวลงไปในแถบสีดำน้ัน และในบางครั้งที่ความใจเย็นของผมมากเกินจนเอื่อยเฉื่อย เธอก็จะเติมจุดสีดำเล็ก ๆ ลงในแถบสีขาวของผม เพื่อให้ผมกระตือรือร้นมากขึ้น
ทุกอย่างล้วนมีสมดุลของมันอยู่ อะไรที่มันซ้ายเกินไปหากมันไม่ดี การที่มีอีกคนที่คอยช่วยดึงให้มาทางขวาหน่อย จนได้จุดที่สมดุลของมันก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดี
 
..
ระยะเวลา 10 ปีก็ถือว่านานพอให้ตกตะกอน ‘ความคิด’ และ ‘ทัศนคติ’ ที่ได้จากความรักอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่อาจหาญที่จะไปแนะนำใครหรอก เพราะความรักไม่มีสูตรสำเร็จที่จะใช้ได้กับทุกคู่ แต่ละคู่จะมีจุดสมดุลที่คนสองคนต้องใช้เวลาเรียนรู้ซึ่งกันและกัน บางคู่อาจใช้เวลาแค่แปปเดียว บางคู่อาจใช้เวลานาน หรือบางคู่อาจหาจุดสมดุลไม่เจอเลยก็ได้ แต่หากให้ผมสรุปเป็นหนึ่งบทเรียนที่สำคัญที่สุด ผมคงสรุปว่า
“จงใช้ความรักให้ธรรมชาติที่สุด”
‘ธรรมชาติ’ คือ สิ่งที่ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องปรุงแต่ง ไม่ต้องประดิษฐ์อะไร หรืออาจใช้คำว่า ‘ธรรมดา’ ก็ได้
ธรรมชาติของความรักมันต้องทำให้คนสองคนรู้สึกดี เบาสบาย ไม่อึดอัด คนสองคนต้องแสดงความเป็นตัวของตัวเองได้เมื่ออยู่ด้วยกัน และทั้งคู่ก็ต้องยอมรับในความธรรมชาติของกันและกันได้ด้วย แต่หากรักกันแบบผิดธรรมชาติก็อาจจะได้ผลที่ตรงกันข้าม
ถึงแม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานเท่าไร ผมก็พยายามจะรักษาความธรรมชาติของเธอและความธรรมชาติของรักเราเอาไว้ให้คงเดิมเสมอ พร้อมตระเตรียม ‘พื้นที่สบาย’ ให้เธอได้แวะมานั่งเล่นในยามที่เหนื่อยล้า ให้เธอได้ปลดปล่อยความทุกข์ใจออกมา และให้เธอได้มีพื้นที่แสดงความธรรมชาติของเธอเอง
1
“ธรรมชาติที่งดงามในแบบที่เธอเป็น”
เพราะนี่คือ ‘สิ่งที่มีความหมายที่สุดสำหรับผม’
..
ในทศวรรษต่อไปก็ไม่รู้ว่ารสชาติความรักของเราจะพัฒนาไปเป็นแบบไหน แน่นอนว่ามันคงไม่ได้มีแต่รสหวาน อาจจะมีรสขม รสเปรี้ยว หรือรสเผ็ดมาผสมบ้าง แต่มันก็คงจะอร่อยไปอีกแบบ
ผมเชื่อว่ามันคงเติบโตตามวัย ตามหน้าที่ความรับผิดชอบของเราทั้งสองคน
และแน่นอน,เรายังต้องเรียนรู้กันต่อไป
หลักสูตร ‘วิชาความรัก’ ยังคงดำเนินต่อไปไม่มีวันจบ
ไม่มีใครรู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ในวันนี้เมื่อผมมองไปที่เธอ ผมยังมีรอยยิ้มที่สดใสนั่นอยู่ ยังมีเสียงหัวเราะอันเอร็ดอร่อยนั่นอยู่ ยังมีแววตาที่ดูห่วงใยนั่นอยู่ ผมก็จะรักษาสิ่งเหล่านั้นไว้ให้ดีที่สุด
จะคอยเฝ้าดูการเติบโตของเธอ และ ‘การเติบโตของเรา’ ต่อไป
“รักเธอเสมอ”
..
สุขสันต์วันครบรอบ
30 December
Since 2010 - now
..
ผมผู้ซึ่งไม่เคยเซอร์ไพรส์อะไรเธอได้สำเร็จ
หวังว่าบทความนี้จะทำหน้าที่นั้นได้
..
#หนุ่มวิศวะกับสาวพยาบาล
โฆษณา