31 ธ.ค. 2020 เวลา 06:20
DAY 1: เราจะผ่านเรื่องร้ายๆ ไปด้วยกัน ...
ปี 2563 กำลังจะผ่านไป โดยส่วนตัวผมมองว่าปีนี้เป็น “ปีแห่งความสูญหาย” เพราะกิจกรรมต่างๆ ในชีวิต รวมถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่คิดไว้ ตั้งใจจะทำ แทบไม่ได้ทำเลย เนื่องจากสภาพการณ์ไม่เอื้ออำนวย
ตอนต้นปีผมวางแผนจะทำโครงการอบรมเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลให้กับองค์กรทั่วประเทศ เพื่อจะได้นำเรื่องการจัดการเงินมาปฐมนิเทศน์ให้กับพนักงานใหม่กัน ตั้งใจทำตลอดทั้งปีควบคู่ไปกับโครงการอภินิหารความรู้การเงิน (ให้คำแนะนำให้การแก้ปัญหาหนี้) ที่ทำติดต่อกันมา 2 ปี วางแผนทุกอย่างไว้เสร็จสรรพ พอจะเริ่มเท่านั้นแหละ ล๊อคดาวน์! ไม่ได้ทำอะไรกันเลย
ตั้งแต่มีนาคมเป็นต้นมา คำถามการเงินถาโถมเข้ามาทั้งทางแฟนเพจ อีเมล์ และไลน์ ชนิดตอบยังไงก็ไม่ทัน ไม่นับรวมองค์กรต่างๆ ที่เชิญบรรยายในหัวข้อยอดฮิต นั่นคือ “การบริหารจัดการเงินในช่วงโควิด” ที่ผมเองมักจะบอกทุกทีว่า เราต้องจัดการเงินให้ดีตลอดเวลา ไม่ใช่เฉพาะช่วงโควิด
เหตุผลที่การลุกลามของโควิด ส่งผลกระทบกับการเงินอย่างหนักหน่วง ก็เพราะพิษภัยต่อสุขภาพ ทำให้เราทำกิจกรรมสำคัญทางเศรษฐกิจกันไม่ได้ พอล๊อคดาวน์ หลายองค์กรก็มีการปลดคน ลดคน ลดค่าแรง ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือ รายได้ที่สูญหายไป ไม่ว่าจะเพียงบางส่วน (ลดเงินเดือน) หรือทั้งหมด (Lay off)
ประกอบกับก่อนหน้านี้ ประเทศไทยของเรามีตัวเลข “หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี”​ สูงขึ้นเรื่อยๆ เราก่อหนี้กันหนัก โดยไม่กังวลอะไร แถมหนี้ที่ก่อยังเป็นหนี้บริโภคเสียแยะ วันที่เรายังมีรายได้ การมีภาระหนี้ที่ต้องผ่อนทุกเดือน อาจไม่ได้ทำร้ายเรามากนัก เพราะต่อให้มีหนี้ก็ยังพอกัดฟันผ่อนไหว แต่พอรายได้หายไป เงินก็จะเริ่มไม่พอกินใช้ และส่งผลกระทบหนักหน่วง
ก่อนเกิดโควิด พนักงานในหลายองค์กรที่ผมไปบรรยาย เคยพูดติดตลก เห็นการจัดการเงินเป็นเรื่องไม่สำคัญ ก็ไม่เห็นต้องคิดอะไร เพราะยังไงสิ้นเดือนก็มีรายได้เข้ากระเป๋า แถมบางที่ยังมีค่าล่วงเวลา (OT) และมีคอมมิชชั่น เกือบเท่าๆ รายได้ ก็เลยสร้างภาระหนี้ไว้เกินเงินเดือนไปไกลมาก
1
“เงินเดือนเอาไว้ใช้หนี้ โอทีเอาไว้แดก” พวกเขาบอกกับผมอย่างนั้น
พอวันที่เกิดล๊อคดาวน์ทีนี้เลยเข้าใจ เพราะเมื่อไม่มีทั้งโอทีและคอมมิชชั่น แถมเงินเดือนยังมาถูกลดไปอีก ทีนี้เลยเหนื่อยเลย
ช่วงล๊อคดาวน์เป็นช่วงเวลาที่ผมทำงานหนักมาก ตอบคำถามทางอีเมล์ยังไงก็ไม่ทัน เลยตั้งใจไว้ว่าจะจัดรายการมันนีโค้ชพบประชาชนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ (ปีนี้จัดไป 76 EP)
ทุกครั้งที่จัดรายการจะมีคำถามกระหน่ำกันมาจากทุกสารทิศ ตอบกันแทบไม่ทัน โชคดีที่มีทีมลูกศิษย์มาช่วยตอบ ทำให้รายการนี้พอจะเป็นประโยชน์กับทุกๆ คนที่แวะมาทิ้งคำถามไว้ได้บ้าง
อย่างไรก็ดี เมื่อเป็นการสูญหายไปของรายได้ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสมการทางการเงิน เพราะคนเราต้องมีรายได้ก่อน มันถึงจะมีตัดออม จัดสรรไว้ใช้จ่าย และมีเงินคงเหลือ แต่พอสารตั้งต้นหาย คราวนี้เลยไปไม่เป็นกันเลย
ที่น่าหนักใจที่สุดก็คือ หลายคำถามที่ถามเข้ามา เป็นคำถามที่ไม่สามารถหาทางออกได้ในระยะเวลาอันสั้น ชนิดที่โค้ชจ่ายยา แล้วจะรักษาอาการได้ในทันที แต่มักเป็นคำถามที่ต้องอาศัยความพยายามอย่างหนักหน่วงของเจ้าของปัญหา ชนิดที่อยู่เฉยๆ ไม่มีทางจะผ่านปัญหาไปได้ ต้องหาอะไรทำเพิ่ม สร้างรายได้เพิ่ม ต้องเริ่มใหม่จากศูนย์ และที่แย่ก็คือ ใช่ว่าพยายามไปแล้ว โค้ชจะรับรองผลได้ว่า ถ้าทำแล้ว จะสามารถผ่านพ้นปัญหาไปได้
สถานการณ์ที่ใครหลายคนเจอในปี 2563 เหมือนกันกับที่ผมเคยประสบในปี 2540 เลยครับ
คือ หนักหน่วง ยืดเยื้อ จนทำให้ตั้งหลักตั้งตัวขึ้นมาใหม่ได้ยาก ติดลบอยู่แล้วก็ต้องกู้เพิ่มไป เพราะรายได้หมุนเข้ามือไม่ทัน ต้องพยายามหาทางตัดวงจรเหล่านี้ออกจากชีวิตเพื่อเริ่มต้นใหม่ ซึ่งต้องบอกเลยว่าใช้เวลาอยู่พอสมควรเลยทีเดียว
ดังนั้น หัวใจสำคัญที่จะพาเราผ่านพ้นวิกฤตในช่วงเวลาแบบนี้ไปได้ ไม่ใช่เรื่องของตรรกะ ความรู้ หรือความพยายาม แต่มันคือ “พลังใจที่แข็งแกร่ง” ที่มากพอจะทำให้เรายืนหยัดสู้กับปัญหาในระยะยาวได้
นอกเหนือไปจากความรู้การเงินที่ผมแนะนำให้กับทุกคนได้ เคล็ดลับที่พาชีวิตผมผ่านจุดเลวร้ายมาได้ ก็คือ สิ่งนี้จริงๆ ครับ
สิ่งหนึ่งที่ผมบอกกับพ่อแม่ และแฟน ในวันที่ครอบครัวล้มละลายจากวิกฤตต้มยำกุ้ง ก็คือ “เราจะรอด เราจะมีชีวิตที่ดี” แม้วันนั้นจะมองไม่เห็นทาง แต่ผมไม่เคยหยุดคิดที่จะพาชีวิตพ้นจากปัญหา (บางครั้งพูดไป คนใกล้ตัวเองก็ยังไม่เชื่อ)
มีเป้าหมายไว้ไกลๆ พอให้ชีวิตได้ฝันได้หวัง ที่เหลือมองหาแค่ “ไฟส่องตีน” มีทางไหนให้ลองทำ ลองสู้ ลองดูทุกทาง ไม่คิดมาก ไม่เลือกเยอะ ถ้ามันไม่ผิดกฎหมาย ไม่ได้ทำร้ายใคร เล็กใหญ่แค่ไหน ลองทำดู
สอนพิเศษ ขายประกัน นำเข้าสินค้าจากจีนมาขาย งานฟรีแลนซ์ตามโรงงาน ธุรกิจเครือข่าย เปิดบริษัทที่ปรึกษา บริษัทฝึกอบรม ฯลฯ อะไรที่เห็นทางไป ไม่คิดมาก คว้าไว้หมด
สุดท้าย “โอกาสมากับผู้คน” ครับ ถ้าเราไม่หยิบจับทำอะไรเลย รับประกันว่าเราจะไม่ได้เจอคนที่จะพาเราไปต่อ จะไม่เจอไฟฉายกระบอกใหม่ที่ช่วยส่องทางเดินต่อให้กับเราต่อไปเรื่อยๆ
คนเรายังไม่ต้องผ่านพ้นปัญหาได้ทั้งหมดหรอก แค่รับรู้ได้ว่า “มันดีขึ้น” “แย่น้อยลง” “สบายขึ้นบ้าง” มันก็ช่วยเติมกำลังใจ เพิ่มแรงขับให้มากขึ้น เดินได้เร็วขึ้น หรือจะวิ่งก็ยังไหว
จากปี 2540 ที่เจอกับปัญหา 8 ปีต่อมาผมพ้นน้ำ และมีอิสรภาพการเงินในอีก 5 ปีถัดมา ทุกอย่างมันเร็วขึ้น เพราะสมองเราถูกพัฒนามาต่อเนื่อง ร่างกายเราพร้อมที่จะทำงานหนักต่อเนื่องได้โดยไม่เหนื่อย คอนเน็คชั่นหรือสายสัมพันธ์ที่เราสะสมไว้ตลอดทาง ช่วยให้เรามีเครื่องผ่อนแรงมากขึ้น ทำงานเท่าเดิม แต่ได้ผลลัพธ์มาก
และที่สำคัญ การตั้งใจทำอะไรในวงการใดวงการหนึ่งนานพอ สร้างและสั่งสมชื่อเสียงที่ดีไว้ต่อเนื่อง จะดึงดูดตัวช่วยจากทุกสารทิศ ทั้งโบก ทั้งพัด ทั้งสะบัด ทั้งเร่ง ให้เราวิ่งเข้าเส้นชัยเร็วขึ้น โดยไม่สนใจเลยว่า วันนี้คุณอยู่ห่างจากจุดเริ่มต้นของคนทั่วไปมากแค่ไหน (วันที่ผมติดลบ ผมถือว่าตัวเองอยู่ต่ำกว่าจุดปล่อยตัวเสียด้วยซ้ำ)
ทั้งหมดเริ่มจากความรู้สึก “รักชีวิต”​ ตัวเองและคนรอบข้าง และสร้าง “พลังใจ” ให้ตัวเองสู้กับปัญหาได้อย่างต่อเนื่องจนถึงวันที่ชนะ
สู้แล้วจะผ่านหรือเปล่า ผมตอบไม่ได้ แต่ถ้าไม่สู้ คุณไม่มีทางผ่านช่วงเวลาแบบนี้ไปแน่ๆ คนที่เคยสู้กับผมในปี 40 แล้วสุดท้ายปล่อยมือกันไป คือ หลักฐานที่ดีว่าคนที่ปล่อยชีวิตให้ว่ายตามวิกฤต โดยไม่คิดจะทวนกระแส ไม่มีอะไรดีขึ้นจริงๆ
ปีหน้า 2564 ยังไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมจึงได้แต่ภาวนา ขอให้ทุกคนที่เจอกันผ่านในทุกช่องทาง รักชีวิตตัวเองและครอบครัวให้มากๆ เมื่อเจอปัญหาอย่าหมดหวัง เรียกพลังใจออกมาทุกครั้งที่อยากจะยอมแพ้ มีก๊อกสอง ก๊อกสาม สี่ ห้า ไม่มีวันหมด
แม้ปี 2563 จะเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด แต่ถ้าคุณสู้ อีก 5 ปีจากนี้ คุณอาจจะได้เจอชีวิตการเงินที่ดี และเมื่อถึงวันนั้น คุณจะย้อนกลับมาขอบคุณปี 2563 ที่ทำให้คุณเปลี่ยนแปลง และช่วยดึงศักยภาพขั้นสูงสุดในชีวิตคุณออกมา และเมื่อถึงวันนั้น ชีวิตการเงินคุณจะไม่กลับมาตกต่ำอีกแล้ว เหมือนกับผมในปี 2563 นี้
ขอพลังใจจงสถิตอยู่กับคุณตลอดปี 2564
เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ
โค้ชหนุ่ม
31-12-2020
#Day1 #MoneyCoachDiary #เราจะผ่านเรื่องร้ายไปด้วยกัน #TheMoneyCoachTH
โฆษณา