2 ม.ค. 2021 เวลา 17:43 • ธุรกิจ
BMW กับ Mercedes-Benz แบรนด์ไหนใหญ่กว่ากัน
หากเอ่ยชื่อรถยนต์ทั้ง 2 แบรนด์ เชื่อว่าทุกคนต้องรู้จักอย่างแน่นอน
ทั้งคู่เป็นแบรนด์รถยนต์เก่าแก่สัญชาติเยอรมันและเป็นคู่แข่งกันในตลาดทั่วโลก
การออกแบบและภาพลักษณ์ของทั้ง 2 แบรนด์ อาจจะแตกต่างกันบ้าง โดย BMW จะออกแนววัยรุ่น โฉบเฉี่ยว ส่วน Mercedes-Benz จะให้ความรู้สึกภูมิฐานและดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่า
แต่เคยสงสัยกันไหมว่าแบรนด์ไหนใหญ่กว่ากัน
Mercedes-Benz มีบริษัท Daimler AG เป็นเจ้าของแบรนด์ สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมือง Stuttgart
นอกจากนี้ Daimler AG ยังเป็นเจ้าของแบรนด์รถยนต์หรูอย่าง Maybach ด้วย
และมีสายการผลิตทั้งรถยนต์ รถบรรทุก รถแวน และรถบัสโดยสาร
ปัจจุบัน Daimler AG มีมูลค่าบริษัท 62,826 ล้านยูโร
ปี ค.ศ.2019 มีรายได้ 172,745 ล้านยูโร กำไรสุทธิ 2,377 ล้านยูโร
ปี ค.ศ.2020 มีรายได้ 9 เดือนแรก 107,668 ล้านยูโร กำไรสุทธิ 420 ล้านยูโร
โดยมียอดขายทั่วโลก 2.34 ล้านคัน
สำนักงานใหญ่ Daimler AG เมือง Stuttgart (ภาพจาก Wikipedia)
BMW อยู่ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท Bayerische Motoren Werke AG หรือ Bavarian Motor Works และยังเป็นเจ้าของแบรนด์ดังอย่าง Mini กับ Rolls-Royce ด้วย เน้นทำตลาดรถยนต์กับจักรยานยนต์เป็นหลัก โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง Munich
ปัจจุบัน BMW มีมูลค่าบริษัท 47,690 ล้านยูโร
ปี ค.ศ.2019 มีรายได้ 104,210 ล้านยูโร กำไรสุทธิ 1,786 ล้านยูโร
ปี ค.ศ.2020 มีรายได้ 9 เดือนแรก 69,508 ล้านยูโร กำไรสุทธิ 2,177 ล้านยูโร
โดยมียอดขายทั่วโลก 2.56 ล้านคัน
จากข้อมูลข้างต้น เห็นได้ว่า Daimler AG มีรายได้สูงกว่า BMW อยู่พอสมควร อาจเป็นเพราะว่ามีสายการผลิตรถหลายประเภท แต่ BMW กลับมีกำไรสุทธิมากกว่า
สำนักงานใหญ่ BMW เมือง Munich (ภาพจาก Bimmertips)
มาดูยอดขายในประเทศไทยกันบ้าง
Mercedes-Benz อยู่ภายใต้การบริหารงานโดยบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด
ปี พ.ศ.2561 มีรายได้ 54,361 ล้านบาท กำไรสุทธิ 3,500 ล้านบาท
ปี พ.ศ.2562 มีรายได้ 54,427 ล้านบาท กำไรสุทธิ 4,885 ล้านบาท
โดยมียอดขายประมาณ 15,000 คัน
สรุปแล้ว Mercedes-Benz ขายรถได้ในราคาเฉลี่ยคันละ 3.62 ล้านบาท
ส่วน BMW อยู่ภายใต้การบริหารงานโดยบริษัท บีเอ็มดับเบิลยู (ประเทศไทย) จำกัด
ปี พ.ศ.2561 มีรายได้ 41,047 ล้านบาท กำไรสุทธิ 3,214 ล้านบาท
ปี พ.ศ.2562 มีรายได้ 40,853 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,780 ล้านบาท
โดยมียอดขายประมาณ 13,000 คัน
BMW ขายรถได้ในราคาเฉลี่ยคันละ 3.14 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่า Mercedes-Benz นำหน้า BMW ทั้งรายได้และยอดขาย ซึ่งสอดคล้องกับผลประกอบการของบริษัทแม่ แต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก
แล้วตลาดรถยนต์ไทยใหญ่ขนาดไหน?
ตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลในปี พ.ศ.2562 มียอดขายรวม 398,386 คัน ในจำนวนนี้เป็นรถยนต์หรูจำนวน 31,400 คัน
 
จะเห็นได้ว่าเมื่อรวมยอดขายของทั้ง 2 แบรนด์แล้ว ครองส่วนแบ่งกว่า 80% ของตลาดรถยนต์หรูในประเทศไทยเลยทีเดียว
ภาพจาก Autoexpress
ทีนี้มาดูยอดขายในปี พ.ศ.2563 กันต่อ
ยอดขาย 9 เดือนแรก Mercedes-Benz ทำได้ 7,002 คัน ส่วน BMW ทำได้ 8,190 คัน
BMW สามารถทำยอดขายแซง Mercedes-Benz ได้ ท่ามกลางตลาดรถยนต์ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
ในเรื่องของภาพลักษณ์และสมรรถนะรถยนต์ทั้ง 2 แบรนด์ คงไม่ต้องพูดถึงเพราะว่ามองเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้ว
แต่สิ่งหนึ่งที่แตกต่างก็คือ
BMW เริ่มปรับกลยุทธ์การขายเป็นเชิงรุก ไม่ว่าจะเป็นการให้โปรโมชั่นส่วนลดหรือการจัดงานอีเวนท์ตามห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ
ส่วน Mercedes-Benz เลือกที่จะใช้กลยุทธ์แบบตั้งรับตามสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน
แต่สุดท้ายแล้วผลประกอบการทั้ง 2 แบรนด์จะเป็นอย่างไร คงต้องรอดูกันต่อไป
สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนของโลกยานยนต์ในอนาคต ก็คือ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า
เราคงจะเห็นได้จากรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla มีกระแสการตอบรับดีขึ้น
นอกจากนี้ประเทศเยอรมันยังได้กำหนดว่าในปี ค.ศ.2030 รถยนต์ที่ขายในประเทศต้องเป็นแบบใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด
เชื่อได้เลยว่าในอนาคตอันใกล้นี้ทั้ง BMW และ Mercedes-Benz พร้อมที่จะส่งรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่เข้าสู่ตลาดทั่วโลกอย่างแน่นอน
รถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่น EQC (ภาพจาก Mercedes-Benz)
ทั้งหมดนี้ดูเหมือนว่าทั้ง 2 แบรนด์ ก็มีการปรับตัวอย่างต่อเนื่องตามเทรนด์ของโลกและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป
และคงกล่าวได้ว่าทั้งคู่ยังคงเป็นคู่แข่งกันต่อไปอีกนานแสนนาน
โฆษณา