3 ม.ค. 2021 เวลา 14:00 • ดนตรี เพลง
หัวแก้วหัวแหวน : อัลบั้มเปลี่ยนชีวิตนักร้องเพลงป็อปสู่ “เจ้าชายลูกทุ่ง”
.
ในวงการเพลงลูกทุ่ง มีศิลปินไม่กี่คนที่ได้รับฉายาจากสื่อมวลชน ให้เป็น “ผู้ยิ่งใหญ่” ดังที่เราเคยได้ยินว่า สุรพล สมบัติเจริญ เป็น “ราชาเพลงลูกทุ่ง” และ พุ่มพวง ดวงจันทร์ มีฉายาคือ “ราชินีลูกทุ่ง”
เพราะคนที่ถูกยกย่องเช่นนี้ ย่อมต้องมีความพิเศษ เช่น ผลงานอันเป็นที่ประจักษ์, มีสามารถด้านการร้องที่โดดเด่น และการวางตัวที่ มวลชนคนฟัง ให้การยอมรับ
ดังนั้นการที่ใครสักคน จะได้รับสมญานามให้เป็น “เจ้าชายลูกทุ่ง” ย่อมต้องมีคุณสมบัติครบทุกข้อ ตามที่เขียนมาข้างต้น
ย้อนกลับไป ในช่วงปี พ.ศ.2537 - 2538 นี่คือยุคที่ Alternative Music เข้ามาเป็นดนตรีทางเลือกของวัยรุ่นสมัยนั้น ที่มองหาความแปลกใหม่
อิทธิพลของเพลง Altrernative ยุคนั้น ยังส่งผลมาถึง วัฒนธรรมป๊อป ในบ้านเรา จวนจบปัจจุบัน ตั้งแต่วิวัฒนาการทางดนตรี ยัน แฟชั่น
เช่นเดียวกับ แวดวงเพลงลูกทุ่ง ช่วงเวลาดังกล่าว ค่ายเพลง Grammy มีความต้องการอยากทำเพลงลูกทุ่งที่มีความร่วมสมัยมากขึ้น เพราะในเวลานั้น ความนิยมต่อเพลงสตริง มีมากกว่า เพลงลูกทุ่ง ที่ยังมีแค่ฐานคนฟังเดิม ไม่สามารถขยายไปสู่ผู้ฟังหน้าใหม่ในปริมาณที่มากได้
โจทย์นี้ของ เต๋อ - เรวัต พุทธินันทน์ ไม่ง่ายเลย เพราะทั้งสองแนว มีความแตกต่างกันอย่างมาก “เพลงสตริง” คือผลผลิตทางวัฒนธรรม ที่ซึบซับมาจากดนตรีฝั่งโลกตะวันตก
ส่วน เพลงลูกทุ่งนั้น มีขนบแบบแผนรูปแบบทางดนตรีที่ชัดเจน รวมถึงเนื้อหา ก็ไม่เหมือนกับเพลงไทยสากล ที่ถ่ายชีวิตของวัยรุ่นเป็นหลัก และมุมมองความรัก เป็นหลัก
ขณะที่ เพลงลูกทุ่ง เน้นไปที่การเล่าวิถีชีวิตแบบชนบทของคนต่างจังหวัด ใช้ภาษาที่สละสลวย และมีวิธีการร้องในแบบเฉพาะตัว เครื่องดนตรีที่ใช้ก็ต่างกับเพลงไทยสากล
ความพยายามแรกของ Grammy คือ การเฟ้นหาศิลปินวัยรุ่น ที่มาร่วมกันพัฒนาแนวเพลง “ลูกทุ่งร่วมสมัย” กระทั่ง เต๋อ เรวัต มาค้นพบ ก๊อต - จักรพรรณ์ อาบครบุรี (ชื่อปัจจุบัน ก๊อต - จักรพันธ์ ครบุรีธีรโชติ) ในตอนที่ร้องอยู่ในคลับ ๆ หนึ่ง
เต๋อ เรวัต สนใจในเสียงร้องเพลงลูกทุ่งของ ก๊อต จักรพรรณ์ จึงเรียกตัวเข้ามาเป็น ศิลปินฝึกหัดของ Grammy มีเงินเดือนให้พร้อมที่่พัก เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็น นักร้องอาชีพ
.
………………………………………………………………
.
ก๊อต จักรพรรณ์ ต้องใช้เวลาฝึกฝนนานถึง 3 ปี กว่าจะมีผลงานเพลงเป็นของตัวเองชุดแรก ในอัลบั้ม “แม่ไม้เพลงไทย” (วางแผง ปี 2533) ที่เป็นการนำเอาเพลงอมตะของ ครูสุรพล สมบัติเจริญ มาขับร้องใหม่ ผ่านเครื่องดนตรีสากลหลายชิ้น และปรับซาวด์ให้มีความร่วมสมัยมากขึ้น
งานเพลงชุดแรกของ ก๊อต ในฐานะนักร้องลูกทุ่ง ได้รับกระแสตอบรับที่ดีในระดับหนึ่ง แต่ไม่ถึงกับเปรี้ยงปร้าง
หลังเสร็จภารกิจอัลบั้มแรก ก๊อต จักรพรรณ์ ที่กำลังอยู่ในวัยหนุ่ม มีความต้องการอยากทำเพลงสตริง เหมือนอย่างศิลปินรุ่นราวคราวเดียวกันในค่าย
อีกทั้ง ภาพลักษณ์ของ ก๊อต ดูมีความเป็น หนุ่มลูกครึ่งหน้าตาดี ผิวพรรณขาว (คุณพ่อเป็นทหารอเมริกัน) จัดเป็นพิมพ์นิยมของ ดารานักร้องยุคนั้น
ในมุมมองของ ก๊อต จักรพรรณ์ การทำเพลงป๊อป จึงน่าจะตอบโจทย์กับตลาดมากกว่า เพราะบรรยากาศของยุคสมัย ไม่แปลกหากศิลปินอายุน้อย จะออยากร้องเพลงสตริงมากกว่าลูกทุ่ง
แม้ว่า เต๋อ เรวัต คิดต่างและมองว่า ก๊อต จักรพรรณ์ มีเสียงร้องที่เหมาะเอามาพัฒนาต่อเพื่อเป็น นักร้องลูกทุ่งที่ประสบความสำเร็จได้
แต่เขาและทาง Grammy ก็เปิดทางให้ ก๊อต ลุยเส้นทางนักร้องเพลงป๊อป โดยมีผลงานอัลบั้มออกมาถึง 2 ชุด (อัลบั้ม ช็อต และอัลบั้ม เพราะใจไม่เหมือนเดิม ) ช่วงปี 2535-2537
ส่วน Grammy ตัดสินใจ ตั้งค่ายเพลงลูกทุ่งเฉพาะทาง ชื่อ Grammy Gold ในปี 2538 เพื่อแยกให้เป็นสัดส่วนชัดเจน
[ ผลงานเพลงของ ก๊อท จักรพันธ์ ในเวอร์ชั่นเพลงสตริง > https://www.youtube.com/watch?v=v9iSt8Zl9NQ ]
.
……………………………………………………………
.
"นายจะประสบความสำเร็จกับการร้องเพลงลูกทุ่ง เพราะเราเห็น แต่ถ้าอยากจะลองทำสตริงดูก็ได้" - เรวัต พุทธินันทน์
สองอัลบั้มเพลงป็อปของ ก๊อต มีเพลงคุ้นหูวัยรุ่นยุคนั้นอยู่บ้าง อย่างเช่น เพลง “ฉันคนนี้ก็คน, อาการน่าเป็นห่วง, แพ้, หนามในใจ, ช็อต” แต่ก็ยังไม่กับดังทั่วบ้านทั่วเมือง เหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
ในที่สุดชีวิตของผู้ชายที่ จักรพรรณ์ อาบครบุรี มาพบจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ในอีก 1 ปีต่อมา
เดือนพฤศจิกายน ปี 2538 Grammy Gold คลอดโปรเจกต์ใหญ่ ด้วยการนำบทเพลงลูกทุ่งระดับตำนาน ที่อยู่ในใจผู้ฟัง มาปัดฝุ่น เรียบเรียงดนตรีใหม่ทั้งหมด
พร้อมกับวางแผนจัดจำหน่าย ในท้องตลาด 9 ชุด 107 เพลง แบ่งเป็นสองช่วง ชุดที่ 1-5 และชุดที่ 6-9
สำหรับผู้ที่ถูกเลือกมาขับร้อง ในภารกิจเดิมพันครั้งสำคัญนี้ คือ “ก๊อต จักรพรรณ์” นักร้องที่เพิ่งเฟลมาจากอัลบั้มเพลงป๊อป ชุดสุดท้ายของตัวเองหมาด ๆ โดยโปรเจกต์นั้น มีชื่ออัลบั้มว่า “หัวแก้วหัวแหวน”
.
……………………………………………………………….
.
งานเพลงชุด “หัวแก้วหัวแหวน” ประสบความสำเร็จอย่างมาก เหตุผลอาจเป็นเพราะความลงตัว ทั้ง ดนตรีที่กลุ่มคนฟังลูกทุ่งเดิมไม่รู้สึกแปลกเกินไป รับฟังได้
ส่วนคนฟังเพลงสตริง ก็สามารถอินไปกับเพลงได้ เพราะ ก็อท จักรพันธ์ มีเสียงร้องที่น่าฟัง และถ่ายทอดอารมณ์เพลงออกมาได้ดี ไม่ว่าจะเพลงช้าหรือเร็ว, รวมถึงช่วงเวลานั้น คนฟังจำนวนไม่น้อย อาจหวนรำลึกบทเพลงเก่า ๆ ที่ทรงคุณค่า เหล่านั้นอยู่
หัวแก้วหัวแหวน จึงกลายเป็นงานเพลงสามัญประจำบ้าน ที่หลายครอบครัว ต้องมีไว้ติดเครื่องเล่นเทป เพื่อเปิดฟัง หรือมีมากกว่า 1 ชุด ไว้ในครอบครอง สถานีวิทยุต่าง ๆ ในยุคนั้น เปิดเพลงของ ก๊อต ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทำให้ ยอดจำหน่ายเทปคลาสเซ็ท (สมัยนั้นเน้นขายเทป) ของชุด หัวแก้วแหวน เซ็ทแรก ชุด 1-5 ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม เฉพาะแค่ชุดที่ 1 อกหักพักบ้านนี้ มียอดขายแค่ชุดเดียวเกิน 1 ล้านตลับ
[ ส่วนหนึ่งของเพลงในชุด หัวแก้วหัวแหวน > https://www.youtube.com/watch?v=vigWjOpNoSM ]
ด้วยความสำเร็จนี้ ทำให้อีก 6 เดือนต่อมา (เมษายน ปี 2539) ทาง Grammy Gold ปล่อย "หัวแก้วหัวแหวน" เซ็ทที่สอง ในชุด 6-9
และกลายเป็นหมุดหมายสำคัญของ วงการเพลงลูกทุ่ง เพราะอัลบั้มหัวแก้วหัวแหวน ทั้ง 9 ชุด ถล่มยอดขายไปได้มากกว่า 10 ล้านก็อปปี้! ทั้งที่ในยุคนั้น มีเทปผี ละเมิดลิขสิทธิ์ ออกจำหน่ายตัดราคา แต่ก็ทำยอดขายได้สูงขนาดนี้
ความสำเร็จของชุด หัวแก้วหัวแหวน พลิกชีวิตของ ก๊อท จักรพันธ์ ให้โด่งดัง ในฐานะศิลปินซูเปอร์สตาร์ลูกทุ่ง และนำพาเขาไปสู่การทำงานวงการบันเทิงอีกด้วย
รวมถึงการทัวร์คอนเสิร์ตคิวแน่นเอี๊ยดตลอดปี และต่อมาก็ได้โอกาสออกอัลบั้มที่เป็นงานเพลงใหม่ของตัวเองอีกหลายชุด ที่มีเพลงฮิตมากมาย
ซึ่งทุก ๆ งานที่เขาได้ทำ ดูเหมือนจะได้รับความนิยมและกระแสตอบรับเป็นอย่างดีมาตลอด
อาจจะเพราะโชว์สุดอลังการที่เขาสร้างสรรค์ และตั้งใจแสดงออกมา, คุณภาพด้านการขับร้องที่ไม่เคยลดลง แม้ปัจจุบันอายุ 51 ปีแล้ว
ผลงานเพลงฮิต ที่มีมาอย่างต่อเนื่องตลอดช่วง 20 กว่าปี รวมถึงการวางตัวที่ดีต่อคนฟัง และผู้หลักผู้ใหญ่
ทำให้ สื่อมวลชน ตั้งฉายาให้ ก็อท จักรพันธ์ เป็น “เจ้าชายลูกทุ่ง” แน่นอนว่า หนึ่งในจุดเปลี่ยนที่สำคัญของชีวิตเขา มาจากความสำเร็จใน ชุด หัวแก้วหัวแหวน
นอกจากนี้ อิทธิพลทางดนตรีของ ชุด "หัวแก้วหัวแหวน" ยังส่งผลมาถึงเพลงลูกทุ่งไทยในยุคต่อมา
ที่ดนตรีมีการปรับให้มีความร่วมสมัย มีการนำเอาดนตรีแนวอื่นมาผสมผสานด้วย ส่วนเนื้อหาเพลง ภาษที่ใช้ มีการพูดถึงในมิติอื่น ๆ ด้วย ไม่ใช่แค่ชีวิตตามท้องนา ป่าเขา เท่านั้น
แต่สิ่งหนึ่งที่ยังเป็นเอกลักษณ์ของเพลงลูกทุ่ง คือ วิธีการร้องที่หาไม่ได้จากดนตรีแนวอื่น เป็นศิลปะทางวัฒนธรรมที่มีความเฉพาะตัว และมีความไพเราะ และเสน่ห์ในแบบของตัวเอง
ที่ไม่ว่าคุณชอบเพลงแนวไหน ? อายุเท่าไหร่ ? ก็อยากคุณได้ลองเปิดใจเพลงลูกทุ่งไทย ทั้งยุคเก่า ที่ทรงคุณค่า เปี่ยมไปด้วยมนต์ขลัง และยุคใหม่ ที่มีความร่วมสมัย เข้ากับคนฟังมากขึ้น
หรืออาจจะเริ่มที่ ชุด "หัวแก้วหัวแหวน" ก่อน ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย
.
ติดตามบทความอื่นๆ ของ alongwrite ได้ทาง www.facebook.com/alongwriter
โฆษณา