Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Time2Journey
•
ติดตาม
5 ม.ค. 2021 เวลา 13:26 • ท่องเที่ยว
2 วัน 1 คืน ณ บึงกาฬ The Mysterious Stone
#ถ้ำนาคา #ถ้ำนาคี #ภูทอก #หินสามวาฬ
ลมหนาวพัดโชยมาในช่วงเวลาที่สิ้นปีใกล้เข้ามาถึงทุกที่ อากาศดี ๆ แบบนี้ ลมเย็น ๆ พัดมาแบบนี้ พวกเราคิดตรงกันว่าเหมาะกับการไปเที่ยวรับลมหนาวที่นาน ๆ ทีเมืองไทยจะได้สัมผัส ดังนั้นจึงตัดสินใจไปเที่ยวส่งท้ายปีกันสักหน่อย โดยจุดหมายปลายทางของทริปสั้น ๆ 2 วัน 1 คืนนี้ก็คือ “บึงกาฬ”
เรียกได้ว่า “บึงกาฬ” เป็นจังหวัดที่เพิ่งเกิดก็ได้ เพราะเพิ่งมีคำนำหน้าเป็น “จังหวัด” เมื่อปี 2554 ที่ผ่านมานี่เอง เนื่องจากจังหวัดอยู่ทางเหนือสุดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะฉะนั้นพวกเราค่อนข้างมั่นใจเลยล่ะว่าทริปนี้จะได้สัมผัสอากาศเย็น ๆ สมใจ
ทริปของพวกเราเริ่มขึ้นในวันที่ 28 ธันวาคม แผนของวันนี้ก็คือ ไปแวะชมหินสามวาฬ และตามด้วยภูทอกค่ะ เราเลือกใช้มอเตอร์ไซค์เพราะว่าจะได้คล่องตัว เพราะฉะนั้นพวกเราจึงเริ่มต้นทริปด้วยกันไปแวะเช่ารถมอเตอร์ไซค์ที่ร้านศรีวิไลเจริญยนต์ สาขาบึงกาฬ ในราคาเช่าเพียง 200 บาท/วัน/คน พวกเราก็เช่ากันคนละคันค่ะ
google.com
Google Maps
Find local businesses, view maps and get driving directions in Google Maps.
เยี่ยมชม
หลังจากได้มอเตอร์ไซค์มาเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางกัน ป้ายแรกของเราก็คือ “หินสามวาฬ” ซึ่งอยู่ห่างจากร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ไปประมาณ 27 กิโลเมตร ขับไปประมาณ 30 นาทีก็ถึงแล้ว โดยหินสามวาฬแห่งนี้อยู่ในพื้นที่ป่าภูสิงห์ ซึ่งเป็นเขตพื้นที่อนุรักษ์เขตป่าสงวนแห่งชาติปาดงดิบกะลา ป่าภูสิงห์ และป่าดงสีชมพู ขึ้นชื่อว่าป่าสงวนแบบนี้เราก็คาดหวังไว้แล้วนะตะว่าจะต้องสวยมากแน่ ๆ
เมื่อไปถึง พวกเราก็ต้องไปลงชื่อเพื่อเช่ารถกระบะ แล้วจะมีเจ้าหน้าที่ขับรถไฟส่งเป็นจุด ๆ โดยรถกระบะคันหนึ่งจุคนได้ประมาณ 6-7 คนค่ะ
และเพราะการได้ขึ้นท้ายรถกระบะนี่ล่ะค่ะที่ทำให้พวกเราได้สัมผัสอากาศเย็น ๆ และเห็นธรรมชาติที่สวยงามด้วยตาของเรา รวมไปถึงเก็บภาพความประทับใจได้ตลอดทางเลยล่ะ ระหว่างการเดินทางนั้น จะเริ่มเห็นสภาพแวดล้อมที่ต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัดเลยค่ะ เริ่มจากหินสีส้ม รูปร่างประหลาด ๆ เต็มไปหมด บางก้อนก็เป็นเกล็ด ๆ ดูแปลกตามาก
หลังจากนั่งรถมาได้ไม่นาน เราก็มาถึงจุดแวะจุดแรก นั่นก็คือ “หลวงพ่อพระสิงห์” ค่ะ ซึ่งเราสามารถลงไปกราบนมัสการเพื่อเป็นสิริมงคลได้
รอบ ๆ พื้นที่ตรงนั้นสามารถหามุมถ่ายรูปสวย ๆ ได้หลายมุมเลยล่ะค่ะ ทั้งก้อนหินก้อนใหญ่สลับกับต้นไม้สูงใหญ่ สีตัดกับท้องฟ้าสวยมากเลยทีเดียว เพราะวันนั้นเป็นวันที่ท้องฟ้าโปร่งมาก ไม่มีเมฆเลยสักก้อน จะว่าแดดแรงก็แรงนะคะ แต่ก็ไม่ได้ร้อนขนาดนั้น อย่างน้อยก็ทำให้พวกเราได้มีรูปสวย ๆ กลับมา และวันที่พวกเราไปยังมีนักท่องเที่ยวไม่มากนัก ทำให้ไม่ต้องแย่งที่ถ่ายรูปกันเท่าไร
หลังจากกราบหลวงพ่อพระสิงห์และถ่ายรูปที่จุดนี้กันจนอิ่มหนำสำราญไปหลายชัตเตอร์ เราก็นั่งรถต่อไปยังจุดต่อไปได้เลยค่ะ พอนั่งท้ายกระบะเข้าป่าแบบนี้แล้วเหมือนกับว่ากำลังไปผจญภัยเลยล่ะ
กว่าจะไปถึงจุด highlight ระหว่างทางเราก็ผ่านจุดชมวิวกันอีกประมาณ 2-3 จุดค่ะ
ทั้งทิวทัศน์ของผืนป่าที่กว้างสุดลูกหูลูกตา
สีเขียวของต้นไม้ตัดกับสีท้องฟ้า สวยมากเลยค่ะ ถึงแม้ว่าฟ้าจะโปร่งจนมีแดดลงมาเต็ม ๆ แต่ว่าก็คุ้มนะคะ โชคดีมากเลยที่พวกเราพกทั้งร่ม หมวก และขวดน้ำไปด้วย
ระหว่างทางนั้นเราเจอหินรูปร่างประหลาดเยอะแยะมากเลยค่ะ เห็นแล้วอดไม่ไหวที่จะต้องเก็บรูปไว้สักหน่อย เป็นหินก้อนใหญ่ที่เกิดจากการกัดเซาะของธรรมชาติ และยังทรงตัวอยู่ได้แบบนี้ ธรรมชาตินี่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และน่าทึ่งมากจริง ๆ
พื้นค่อนข้างเป็นหลุดเป็นบ่อประมาณนึง ดังนั้นเดินระวังกันด้วยนะคะ แต่ทางสถานที่ก็มีรั้วกั้นไว้อยู่แล้ว มองจากจุดนี้ตรงไป มันสุดลูกหูลูกตามาก ๆ เลยค่ะ เห็นทั้งผืนป่า และแหล่งน้ำ อุดมสมบูรณ์มากจริง ๆ
และแล้วในที่สุดพวกเราก็มาถึงจุด highlight ค่ะ นั่นก็คือ “หินสามวาฬ” พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นหินพ่อแม่ลูกนั่นเอง มอง ๆ ไปแล้วจะเป็นก้อนหินรูปร่างเหมือนปลาวาฬขนาดใหญ่ 3 ก้อนเรียงกัน บอกเลยว่าใครที่มีโดรน แนะนำให้นำติดตัวมาด้วยเลยนะคะ เพราะว่าเป็นจุดนี้เป็นจุดที่เหมาะกับการบินโดรนมาก ๆ คิดว่ารูปที่ออกมาน่าจะสวยมากเลยล่ะ ส่วนพวกเราก็โชคดีเจอนักท่องเที่ยวแถวนั้นช่วยถ่ายรูปให้พวกเราเป็นที่ระลึกด้วย
ฟ้าโปร่งแบบนี้ พอถ่ายรูปออกมาแล้วเหมือนกับว่าเราจะได้แตะฟ้าเลยค่ะ
พอมองแบบนี้แล้ว ทำให้รู้เลยนะคะว่าเมื่อเทียบกับธรรมชาติแล้ว มนุษย์เราก็ตัวแค่นี้เอง น่าเสียดายมากเลยค่ะที่พวกเราไม่มีโดรนก็เลยเก็บภาพมาได้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น อย่างที่เขาว่ากันนะคะว่าบางที ภาพความประทับใจก็ไม่สามารถเก็บได้ด้วยเลนส์กล้อง แต่สามารถเก็บไว้ในความทรงจำของพวกเราได้
พอถ่ายรูปที่จุดนี้จนจุใจแล้ว ก็ได้เวลากลับไปที่จุดที่ทำการของเจ้าหน้าที่ค่ะ กว่าจะกลับไปถึงจุดที่ทำการก็ใกล้เที่ยงแล้ว กระเพาะเริ่มร้องประท้วงแล้วค่ะ โชคดีที่แถว ๆ นั้นมีร้านอาหารอยู่พอสมควรเลย ก็เลยได้หาอะไรง่าย ๆ ลงท้องให้สมกับที่เที่ยวเหนื่อยมาครึ่งวัน
หลังจากจัดการมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาไปต่อกันแล้ว จุดหมายต่อไปของเราคือ “วัดภูทอก” หรือวัดเจติยาคีรีวิหาร ซึ่งห่างออกไปอีกประมาณ 27 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีค่ะ ที่ใช้เวลานานกว่าเดิมก็เพราะว่าเราไม่ได้วิ่งบนทางหลักนานเท่าเดิม เลยทำความเร็วได้ช้าลงเพื่อความปลอดภัยค่ะ
ระหว่างทางนั้นถ้าเจอปั๊มหรือร้านของชำที่ขายน้ำมัน พวกเราแนะนำให้เติมอีกสัก 3-4 ลิตรเลยนะคะ เพราะรถพวกเรา 1 คันเกือบไปไม่ถึงปลายทาง แต่ยังโชคดีที่เจอร้านขายน้ำมันบริเวณที่มอเตอร์ไซค์น้ำมันหมดพอดี รอดไปค่ะ อย่างน้อยก็ไม่ต้องจูงไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเจอปั๊มน้ำมัน นอกจากนี้คนในพื้นที่ก็ยังแนะนำให้ระวังน้ำยางบนพื้นถนนดี ๆ ถ้าเจอให้ขับช้า ๆ ไม่งั้นอาจเกิดอุบัติเหตุลื่นล้มได้ และพวกเราโชคดีที่มาถึงจุดหมายปลายทางได้โดยไม่เกิดอุบัติเหตุใด ๆ
พอมาถึงที่ภูทอกก็ได้เวลาบริหารขากันต่อเลย เพราะว่าเราต้องขึ้นบันไดอีกหลายขั้นสลับกับทางเดินปกติ โดยทั้งหมดมี 7 ชั้นด้วยกัน แต่พวกเราขึ้นไปถึงแค่ชั้น 6 ค่ะ เพราะฟ้าใกล้จะมืดแล้ว แต่เรายังต้องรีบไปจุดต่อไปก่อน
ที่ถ่ายรูปหลัก ๆ ของวัดภูทอกนี้จะมี “พุทธวิหาร” ที่มีลักษณะเหมือนมีหินขนาดใหญ่ทับหลังคาวิหารอยู่ ว่ากันว่าพื้นที่ตรงนี้ เป็นอดีตที่ดับขันธ์ปรินิพพานของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งค่ะ
นอกจากพุทธวิหารแล้วก็มี “ทางเดินริมเขา” ค่ะ แต่จุดนี้น่าหวาดเสียวอยู่นะ ลองดูในรูปได้เลย ดังนั้นคิดว่าไม่เหมาะกับคนที่กลัวความสูงนะคะ แต่นอกจากจุดนี้ที่น่าหวาดเสียวแล้ว ก็เรียกได้ว่าไม่มีอะไรน่ากลัวแล้วค่ะ ไปดูรูปกันเลย
เราออกเดินทางจากวัดภูทอกในเวลาประมาณ 5 โมงครึ่ง แล้วก็ขับไปเรื่อย ๆ จนดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า เราก็ยังไม่ถึงอุทยานแห่งชาติภูลังกา ซึ่งเป็นจุดหมายสุดท้ายของเราสักที ทีนี้น้ำมันก็จะหมดถังอีกรอบแล้วค่ะ รอบนี้เราก็เลยต้องลดความเร็วจาก 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง เหลือแค่ 50 เท่านั้นเพื่อประหยัดน้ำมันไว้ ซึ่งตอนนั้นก็ไม่แน่ใจหรอกนะคะว่าจะช่วยได้ไหม แต่ดีกว่าไม่ลอง โชคดีค่ะที่พวกเราถึงปั๊มอย่างปลอดภัย และเราก็แวะซื้อเสบียงสำหรับมื้อเช้าและมื้อเที่ยงของวันพรุ่งนี้ไว้เลย
จากนั้นพวกเราก็ขับย้อนมาอีกหน่อยเพื่อไปกินชายสี่หมี่เกี๊ยวที่เห็นระหว่างทาง ก่อนขับต่อเข้าอุทยานอีกประมาณ 4 กิโลเมตรถัดจากจุดนี้
พอมาถึงอุทยาน พวกเราก็เก็บของเข้าเตนท์ และมาวางแผนการเดินทางกับพี่ธง เจ้าหน้าที่ประจำอุทยานฯ เนื่องจากเราจองรถทัวร์กลับกรุงเทพฯ กันไว้แล้วตอน 6 โมงเย็นของวันพรุ่งนี้ นั่นหมายความว่าเราต้องลงจากเขาให้ถึงอุทยานภายในบ่าย 3 โดยที่แวะทั้งถ้ำนาคา เจดีย์กองข้าว และถ้ำนาคี...เยอะมากเลยใช่ไหมล่ะค่ะ? ซึ่งพี่ธงก็บอกว่า ถ้าเดินชิว ๆ จะเก็บได้ครบมันยากนะ ถ้าจะเก็บครบก็ต้องใช้แผนที่เร่งรีบกว่าปกติก็คือ แวะถ่ายรูปจุดเดียวนาน ๆ ไม่ได้ ไปถึงแต่ละจุดแป๊ป ๆ ก็ต้องเดินต่อ
พูดง่าย ๆ ก็คือ จากแผนนี้ปกติแล้วต้องแบ่งเป็น 2 วัน แต่ก็ต้องรวบรัดให้เหลือวันเดียว
พี่ธงก็เลยฝากเตือนมาว่า “อย่าเอาแผนนี้มาใช้อีกเลย มันไม่ได้เหนื่อยแค่นักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ หรอก แต่มันลำบากพี่ธงด้วย”
เมื่อวางแผนกันเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาอาบน้ำเข้านอน พักผ่อนเพื่อทำตามแผนรวบรัดของเราค่ะ (ฮา)
วันที่ 29 ถ้ำนาคา เจดีย์กองข้าว ถ้ำนาคี
วันนี้เราเริ่มออกเดินทางกันแต่เช้าในเวลา 6 โมงครึ่งเลยค่ะ จุดหมายก็คือ ถ้ำนาคาเป็นที่แรก ระหว่างทางก่อนถึงถ้ำจะเจอบันไดเหล็กและเชือกให้เราใช้ดึงตัวเองขึ้นไปจากพื้นที่ที่ค่อนข้างชัน เรียกได้ว่าออกกำลังกายแต่เช้าเลยล่ะ
เรามาถึงถ้ำนาคาในเวลาประมาณ 8 โมงเช้า ถือว่าเป็นไปตามแผนนะคะ
พอมาเห็นของจริงก็เข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมถึงเรียกกันว่า “ถ้ำนาคา”
จุดต่อไปในแผนก็คือ “เจดีย์กองข้าว” ค่ะ ที่เรียกว่าเจดีย์กองข้าวก็เพราะว่า เมื่อมองจากที่ไกล ๆ จะเห็นเป็นเหมือนกองข้าวสีเหลืองกองไว้ จุดนี้อยู่สูง 563 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เป็นจุดที่สูงที่สุดในภูลังกาแล้วล่ะ
ระหว่างที่เราแวะนั่งพักที่นี่ครู่หนึ่ง พี่ธงก็เล่าให้ฟังว่า ตรงนี้เคยมีคนมากางเต้นท์ค้างแรมด้วย คืนนั้นพวกเขารู้สึกเหมือนมีคนเดินผ่านไปผ่านมาตอนกลางคืน เพราะว่าตรงนี้ถือเป็นเมืองลับแลที่พระอาจารย์ท่านหนึ่งเคยมาบอกว่ามีจริง ๆ เป็นเรื่องที่ไม่เชื่อแต่ก็อย่าลบหลู่นะคะ
ส่วนตัวเจดีย์นั้นเรียกได้ว่าสร้างจากแรงศรัทธาเลยล่ะค่ะ เพราะต้องขนปูนขนทรายขึ้นมาก่อสร้างกัน และไม่น่าเชื่อเลยว่าจะสร้างเสร็จอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลา 59 วันเท่านั้นสำหรับการสร้างเจดีย์บนภูเขาในยุคที่เทคโนโลยีไม่เท่าปัจจุบัน ถือว่าสร้างได้รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะ
ระหว่างทางนั้นพี่ธงก็รับเป็นธุระให้นักท่องเที่ยวคนก่อนหน้าให้นำอาหารและขนมมาให้แม่ชีที่อยู่บนเขาลูกนี้ด้วย
แล้วเราก็ไปถึงจุดสุดท้ายของทริปนี้แล้วก็คือ “ถ้ำนาคี” ในถ้ำแห่งนี้หินรูปทรงเกล็ดคล้าย ๆ งูเหมือนถ้ำนาคาเลยมีชื่อแบบนี้ค่ะ ความจริงแล้วก็มีตำนานด้วยนะคะ ถ้ามีคนสนใจเข้ามาอ่านเยอะ โอกาสก็น่าจะได้เอามาเล่าสู่กันฟังล่ะ
จุดนี้เป็นจุดแวะจุดสุดท้ายแล้วค่ะ และจุดต่อไปคืออุทยานที่เราจะไปเก็บของกลับบ้านกัน เรียกได้ว่าเราทำเวลาได้เร็วกว่าแผนเลยล่ะ ก็คือจากเดิมที่วางไว้ว่าสักบ่าย 3 ต้องถึงอุทยาน แต่เรากลับมาถึงตอนบ่ายโมง 27 นาที พี่ ๆ เจ้าหน้าที่ถึงกับตกใจมากที่พวกเราทำได้ (ฮา) ถือว่าเป็นครั้งแรกและคงเป็นครั้งเดียวด้วยที่ใช้แผนนี้กัน เพราะมันเหนื่อยจริง ๆ และไม่ได้แวะถ่ายรูปนาน ๆ ในแต่ละจุดด้วย
และที่สำคัญเราอาจจะทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จถ้าหากขาด Volt เครื่องดื่มเร่ง energy ของเราให้เต็มแม็กซ์ตลอดเวลาจนลืมเหนื่อย แต่มาเหนื่อยตอนกลับมาถึงอุทยานนี่ล่ะค่ะ (ฮา)
และแล้วทริปบึงกาฬ 2 วัน 1 คืนก็จบลงแล้ว และแน่นอนว่าพวกเราไปทันรถทัวร์กลับกรุงเทพฯ ค่ะ ถือว่าปิดท้ายปีได้อย่างสวยงามเลยทีเดียว
ขอให้ทุกคนเที่ยวอย่างปลอดภัย ใส่แมสตลอดเวลา และล้างมือบ่อย ๆ นะคะ
1 บันทึก
5
6
5
1
5
6
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย