6 ม.ค. 2021 เวลา 07:06 • กีฬา
การปฏิวัติของ สตีเวน เจอร์ราร์ด
โดย Ploy Honisz
สตีเวน เจอร์ราร์ด อดีตกัปตันทีมลิเวอร์พูลกำลังพากลาสโกว์ เรนเจอร์สไปได้สวยในสกอตติช พรีเมียร์ชิพ ขณะที่เพื่อนนักฟุตบอลร่วมรุ่นอย่าง โอเล กุนนาร์ โซลชา, มิเกล อาร์เตตา และ แฟรงก์ แลมพาร์ด กำลังถูกกดดันมหาศาลจากการคุมทีมใหญ่ในพรีเมียร์ลีก ทั้งสามคนเคยถูกแฟนบอลเรียกร้องให้ปลดออกจากตำแหน่งมาแล้ว ล่าสุดก็แลมพาร์ดที่กำลังงานเข้าอย่างหนักหลังทำทีมไม่ชนะติดต่อกัน
ในเกมสุดท้ายของฤดูกาล 2017-18 ก่อนที่ สตีเวน เจอร์ราร์ด จะเข้ามารับงานคุมทีมที่ไอบร็อกซ์ ทีมเรนเจอร์สเสมอกับฮิเบอร์เนียน 5-5 ประตู ซึ่งในห้าเกมหลังสุดของฤดูกาลนั้นพวกเขาเสียประตูทั้งหมด 16 ลูก หลังจากปลด แกรม เมอร์ตี ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม วันที่ 4 พฤษภาคม 2018 กลาสโกว์ เรนเจอร์สประกาศว่า สตีเวน เจอร์ราด จะเข้ามาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่
2
ในฐานะนักเตะเจอร์ราดพิสูจน์ตัวเองมาแล้ว แต่ในฐานะผู้จัดการทีม ตอนนั้นสตีวี่จีมีเครดิตแค่คุมทีมเยาวชนของลิเวอร์พูล เรียกว่าไม่มีประสบการณ์ในสังเวียนใหญ่ หลายคนบอกว่าอดีตกัปตันขวัญใจเดอะค็อปจะเอาตัวไม่รอดเพราะถูกกดดันจากงาน อีกทั้งกลาสโกว์ เซลติก คู่อริตลอดกาล กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นถึงขีดสุด แถมยังมีกำลังทรัพย์เป็นตัวช่วย นอกสนามเป็นทีมที่มั่นคงกว่า ส่วนในสนามก็เป็นทีมที่มั่นใจกว่า เซลติกในตอนนั้นมี เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เป็นผู้จัดการทีม คำถามที่หลายคนคิดคือ ทำไม สตีเวน เจอร์ราร์ด ถึงเลือกรับงานคุมทีมใหญ่ครั้งแรกที่ไม่ต่างจาก Mission Impossible? หนทางพาเรนเจอร์สกลับมาอยู่เหนือเซลติกแทบจะไม่มี
1
เจมส์ ทาเวอร์เนียร์ กัปตันทีมกลาสโกว์ เรนเจอร์สให้สัมภาษณ์ตอนที่ สตีเวน เจอร์ราร์ด มาเป็นนายใหญ่คนใหม่ของทีมว่า “ส่วนใหญ่แล้วมันรู้สึกแปลกๆ ที่เขามาเป็นผู้จัดการทีม ตอนที่เขาเตะบอลมันดูเป็นธรรมชาติมาก เห็นแล้วมันเหนือจริงไปหน่อย ผมรู้ว่าตอนนี้เขาเป็นผู้จัดการทีมแล้ว แต่คุณก็ยังมีบางช่วงเวลาที่พบว่าตัวเองคิดว่า นั่นมัน สตีเวน เจอร์ราด นี่หว่า”
2
หลังจากที่ร็อดเจอร์สโบกมือลาเซลติก พาร์ค และย้ายมาคุมเลสเตอร์ ซิตี้ช่วงกลางฤดูกาล 2018-19 เซลติกก็ตั้ง นีล เลนนอน มาเป็นผู้จัดการทีมรอบที่ 2 (เคยคุมเซลติกในปี 2010-2014) และทีมก็คว้าทริปเปิลแชมป์ ได้แชมป์ทุกรายการในฤดูกาลนั้น เรียกว่าแม้จะเปลี่ยนผู้จัดการทีม แต่ก็ไม่ได้ทำให้คู่แข่งของเรนเจอร์สด้อยประสิทธิภาพลง งานของ สตีเวน เจอร์ราร์ด ไม่ได้เบาขึ้น
ในซีซั่น 2018-19 ปีแรกที่เจอร์ราร์ดคุมทีม เขาพาเรนเจอร์สจบที่ 2 ของตารางคะแนนสกอตติช พรีเมียร์ชิพ ทำได้ 78 คะแนน เป็นรองให้กับเซลติก ฤดูกาลต่อมาท่ามกลางการระบาดของโควิด และลีกถูกตัดจบ เรนเจอร์สก็ได้ที่ 2 อีก และพ่ายต่ออริร่วมเมืองเช่นเคย มาถึง 2020-21 เซลติกหมายมั่นปั้นมือว่าจะคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของสกอตแลนด์ให้ได้ 10 ฤดูกาลติดต่อกัน ส่วนปีนี้ก็เป็นฤดูกาลที่ 3 ในการคุมทีมเต็มตัวของเจอร์ราร์ด ถึงเวลาแล้วที่จะโชว์ผลงาน
มาถึงตรงนี้การปฏิวัติที่เจอร์ราร์ดค่อยๆ ทำเริ่มผลิดอกออกผลมาเป็นผลงานในสนาม เรนเจอร์สยังไม่แพ้ใครเลยในสกอตติช พรีเมียร์ชิพ แข่งไปแล้ว 22 นัด ชนะ 20 นัด และเสมอ 2 นัด ยิงได้ 57 ประตู เสียแค่ 5 ประตูเท่านั้น นัดล่าสุดเปิดบ้านเอาชนะเซลติกในศึกโอลด์เฟิร์ม 1-0 ประตู ทิ้งคะแนนห่างอริร่วมเมืองถึง 19 แต้ม แม้ว่าเซลติกจะแข่งน้อยกว่า 3 นัดก็ตาม ในยูโรป้าลีก ทีมก็ผ่านเข้ารอบ 32 ทีมสุดท้ายได้ เจอร์ราดกำลังพาทีมไปสู่การคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2010-11 และอาจจะได้แชมป์แบบไร้พ่ายมาเป็นของแถมเสียด้วย ปัจจัยสำคัญที่ทีมกำลังอยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยม คือ เจอร์ราดมีเวลาปลูกฝังสิ่งที่เขาต้องการลงไปในทีม และมีวิสัยทัศน์ที่แน่นอน
2
จอห์น ฮิวส์ อดีตผู้เล่นของเซลติกวิเคราะห์ว่า “สตีเวน เจอร์ราร์ด เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เรนเจอร์สกลับมา เขาเข้ามารับงานหลังจากสิ่งที่ได้ทำไว้ในฐานะนักฟุตบอล ใช่ เขากำลังเเรียนรู้ไปด้วยในการทำหน้าที่ผู้จัดการทีม แต่คุณจะเห็นว่าเขาตั้งมาตรฐานใหม่ เขามีระดับที่ตั้งไว้ และเขาพยายามที่จะให้ผู้เล่นทุกคนขึ้นไปสู่ระดับนั้น เขาไม่หยุดกับการเป็นที่ 2 หรือแค่การได้ไปเล่นบอลยุโรป ทุกๆ สัปดาห์ทุกคนในทีมต้องไปถึงจุดนั้น เขาสร้างมาตรฐาน และทุกคนต้องไปถึงตรงนั้น”
1
ตามรายงานของ TransferMarkt.com นับตั้งแต่เข้ามาคุมทีมเจอร์ราดใช้เงินซื้อผู้เล่นเข้าทีมทั้งหมดราวๆ 34.7 ล้านยูโร ในช่วงเวลาเดียวกันเซลติกใช้จ่ายซื้อนักบอลเข้าทีม 47.46 ล้านยูโร เรียกว่าเงินซื้อผู้เล่นเข้าทีมของเจอร์ราร์ดนั้นน้อยกว่าคู่ปรับตลอดกาล เจอร์ราร์ดรู้ว่าทีมไม่มีกำลังทรัพย์มากพอในการซื้อตัวผู้เล่น เขาใช้วิธีการยืมตัวจากทีมอื่นๆ ทำให้เรนเจอร์สมีขนาดทีมที่ใหญ่ขึ้น ตัวเลือกมากขึ้น และดึงศักยภาพของนักฟุตบอลเหล่านั้นออกมา
3
จากที่เคยหวังพึ่งการทำประตูจาก อัลเฟรโด โมเรลอส และ เจอร์เมน เดโฟ สองกองหน้าตัวเก่งเมื่อซีซั่นที่แล้ว มาฤดูกาลนี้ผู้เล่นคนอื่นๆ ในทีมต่างยกมาตรฐานของตัวเองขึ้นมาอีก จำนวนประตูที่ยิงได้เป็นกอบเป็นกำมาจากผู้เล่นทุกคนตั้งแต่กองหลังไปยันกองหน้า หลายคนเริ่มเปรียบเทียบเรนเจอร์สชุดนี้กับเซลติกยุคไร้พ่ายของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ในฤดูกาล 2016-17 ซึ่งถ้าเทียบกันชัดๆ เมื่อแข่งเท่ากันมาถึงตรงนี้ ทีมของ สตีเวน เจอร์ราร์ด ทำผลงานได้ดีกว่า ชนะมากกว่า เสียประตูน้อยกว่า และยิงได้เยอะกว่า แต่นั่นจะไม่มีความหมายถ้าสุดท้ายแล้วไม่เข้าเส้นชัยเป็นคนแรก
วันที่เปิดตัวในฐานะกุนซือกลาสโกว์ เรนเจอร์ส ผู้สื่อข่าวถาม สตีเวน เจอร์ราร์ด ว่ามีอะไรจะบอกกับแฟนบอลไหม นายใหญ่คนใหม่พูดสั้นๆว่า “Let’s Go!” หรือแปลง่ายๆ ให้ได้อารมณ์ว่า “ลุย!” จากวันนั้น เจอร์ราร์ดก็ลุยมาโดยตลอด และกำลังทำสิ่งที่หลายคนบอกว่าเป็นไปไม่ได้ให้เป็นจริง
#เรนเจอร์ส #เจอร์ราร์ด #LFC #ลิเวอร์พูล #ผลฟุตบอล #ผลบอล #ฟุตบอล #Football #Soccer #PlayNowThailand #KhelNowThailand
อัพเดตข่าวสารกีฬาก่อนใคร พร้อมมีของรางวัลพิเศษให้ร่วมสนุกกันเป็นประจำ
ร่วมไลค์ ร่วมแชร์ Play Now Thailand
ฝากติดตาม https://www.youtube.com/c/KhelNowThailand
1
โฆษณา