8 ม.ค. 2021 เวลา 07:35 • ท่องเที่ยว
สวัสดีค่ะ วันนี้ดรีมจะมาเล่าประสบการณ์การขึ้นเขา หลังจากต้องเสียแรงกาย หยาดเหงื่อในการขึ้นเขาเดินป่า ชมวิวทิวทัศน์บนเขาหงอนนาค จ.กระบี่ ในระยะทางประมาณสั้น ๆ 3.7 กิโลเมตร ประมาณ 4 กิโลเมตรล่ะกัน ฟังดูเหมือนวิ่ง ๆ เดิน ๆ ออกกำลังกาย 10 นาที แต่เวลาเดินจริง ๆ ใช้เวลาไปกลับประมาณ 4-5 ชั่วโมง แล้วแต่สภาพร่างกายของแต่ละคนล่ะน่ะ อะไรมันจะนานขนาดนั้นถามจริง~
ก่อนขึ้นบนเขาหงอนนาค พี่ ๆ เจ้าหน้าที่เขาก็บอก เตือนอย่างมีนัยสำคัญว่า ใช้เวลาประมาณ 4-5-6 ชั่วโมงแล้วแต่สภาพร่างกายของแต่ละบุคคล ตามด้วย ถ้าไม่ไหวเดินกลับมาได้น่ะ หรือโทรมาก็ได้ พี่เขาพูดแบบยิ้ม ๆ โฮ โฮ โฮ เรารึจะเชื่อ เห็นตัวเล็ก ๆ แบบนี้ แต่แข็งแรงเพราะวิ่งออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ (รึเปล่า) เพราะในใจคิดไว้ตั้งใจอยู่แล้วว่าจะขึ้น เพราะไหน ๆ เราก็มาเที่ยวแล้ว ต้องไปให้สุด แต่ที่ไม่สุดเห็นจะเป็นการใส่ชุดกระโปรงขึ้นเขานี่แหละ (ถามจริง มีที่ไหน ใครใส่กระโปรงขึ้นเขา) คนที่เดินผ่านไปมาใส่เสื้อผ้าทะมัดทะแมงกันทั้งนั้น🤦🏻‍♀️
เขาหงอนนาค
ในการขึ้นเขาหงอนนาคครั้งนี้ เรามีผู้ร่วมทีมทั้งหมด 6 คน มี พ่อ แม่ อา พี่ น้อง และดรีม Go Go Go
ช่วงแรก ๆ ของการเดิน เราก็เกาะกลุ่มกันอย่างเหนี่ยวแน่นดี แต่…สักพัก เราค่อย ๆ เริ่มแยกกันเดิน พี่กับน้อง สองหนุ่มวัยรุ่นเลือดพล่านออกนำไปก่อน ดรีม พ่อ อากับแม่ค่อย ๆ ตามมา
ด้วยความตื่นเต้นและอยากขึ้นให้ถึงจุดชมวิวเร็ว ๆ ดรีมก็เร่งฝีเท้าเต็มกำลัง ในใจยังคิดอยู่ว่า จะเป็นไปได้เหรอ ระยะทางแค่นี้ใช้เวลาเดินไปกลับตั้งเกือบ 4 ชั่วโมง จะกลับลงมาภายใน 2 ชั่วโมงให้ดู ผลปรากฏว่า…!
คอยติดตามอ่านไปเรื่อย ๆ น่ะ…
และ…เพราะความคิดแบบนี้แหละ ที่ทำให้ระหว่างการเดินขึ้นเขาหงอนนาค ได้เกิดปรัชญาชีวิตให้แนวคิดบางอย่างกับดรีม ให้ดรีมได้คุยกับตัวเอง คุยกับความคิดของตัวเอง มีเวลาอยู่กับตัวเอง ทบทวนตัวเอง
เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในระยะทาง 3.7 กิโลเมตร
ดรีมขอตั้งชื่อไดอารี่ตอนนี้ว่า “เขาหงอนนาคกับปรัชญาชีวิตระหว่างทาง 3.7 ”
ทางเดินขึ้นไปบนเขาหงอนนาคเป็นเส้นทางเล็ก ๆ พอให้เดินสวนกันไปมา มีทั้งทางเรียบ ทางขรุขระ บันได ไต่เชือก ข้ามขอนไม้ รากไม้ ปนเปกันไป
ในช่วงแรกของการเดินขึ้นไป เป็นอะไรที่สนุก ตื่นเต้นกับภาพวิวทิวทัศน์ที่จะได้เห็นบนยอดเขาเส้นทางไม่ได้ชันมาก ยังเป็นทางดินเรียบ ๆ ผ่านไปสักพักทางเริ่มมีความชันขึ้นเล็กน้อย พื้นเริ่มเป็นหิน เหงื่อเริ่มออก ได้ยินเสียงน้ำตกไหล ป่าเงียบสงบ
จากนั้นทางเริ่มชันขึ้นเหมือนกำลังไต่เขาขึ้นไป เราต้องคอยจับกิ่งไม้ ต้นไม้คอยพยุงตัวขึ้นไป เดินไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ
ความคิด เสียงในหัว ค่อย ๆ เงียบลง ความรู้สึกดีใจ ตื่นเต้น ท้าทาย เริ่มค่อย ๆ หายไป เหงื่อเริ่มออกเยอะขึ้น ยังดีที่มีธรรมชาติห้อมล้อมเลยไม่ค่อยร้อน ยังสดชื่น ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ตลอดทาง
ระยะทางช่วงแรก ชิว ๆ ไปจ้า
พอร่างกายเริ่มเหนื่อย ดรีมเริ่มคิดแล้วว่า …
‘ใกล้ถึงรึยังนะ ‘
‘อีกกี่เมตร กี่กิโลกว่าจะถึง’
‘เราเดินมาไกลแค่ไหนแล้ว’
‘แล้วคนอื่น ๆ ไปถึงไหนกันแล้ว’
ระหว่างทางดรีมเจอกับพี่และน้องที่หยุดพัก พูดคุยอย่างสนุกสนานริมข้างทาง ดรีมเลยถามออกไปว่า
“เราเดินมาได้กี่กิโลแล้ว”
คำตอบคือ…
“ยังไม่ถึงกิโลเลย” แล้วน้องกับพี่ก็เดินทิ้งห่างขึ้นไป
ห๊าาา เดี๋ยวก่อน! เราคิดว่าเดินมาไกลพอสมควรแล้วนะ ยังไม่ถึงกิโลเป็นไปได้ยังไง อาจเป็นเพราะเราชินอยู่กับการเดินพื้นราบมาตลอด พอขึ้นเขาพลังงาน แรงกายที่ใช้มันต่างกัน
จากตอนเแรกที่ดรีมยังเพลิดเพลินกับธรรมชาติระหว่างทาง จากนี้ไปมันไม่ใช่แล้ว!
ดรีมจำไม่ได้ว่า เราหยุดที่จะมองธรรมชาติรอบข้างไปตั้งแต่เมื่อไหร่ มองแต่รอยทางเดินที่จะเดินขึ้นไป เพื่ออยากให้ถึงจุดชมวิวบนยอดเขาเร็ว ๆ
ระหว่างทางก็มีนักท่องเที่ยวเดินสวนมาบ้าง ยิ้มให้ทักทายกันปกติ และเจอนักท่องเที่ยวว่าที่ผู้พิชิตเหมือนกับเรา เขากำลังถ่ายรูปกันที่จุดชมวิวที่หนึ่ง จึงเป็นช่วงที่ดรีมได้หยุดพัก เพื่อที่จะถ่ายรูปให้พวกเขา เขาเลยให้น้ำ 1 ขวดเป็นการตอบแทน ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับที่อาเดินมาถึงพอดี ส่วนพ่อเดินนำไปตอนดรีมหยุดถ่ายรูปนั่นเอง แม่ถอนตัวกลับไปนั่งรอที่ศาลาตรงทางเข้า
ระยะทางก็ประมาณนี้💪
ดรีมกับอาเดินต่อไปเรื่อย ๆ ระหว่างทางเดิน อาพูดตามหลัง เป็นช่วง ๆ เสมอ ว่า ค่อย ๆ เดิน ใจเย็น ๆ ไม่ต้องรีบ มีหลายครั้งที่ระหว่างทางดรีมอยากถอดใจหันหลังกลับ แต่ดรีมเดินมาไกลเกินกว่าจะหันหลัง หรือฟังเสียงความคิดที่ดังอยู่ในหัวว่า ‘เมื่อไหร่จะถึงสักที’
เป้าหมายมันอยู่อีกไม่ไกลแล้ว สิ่งที่ดรีมต้องทำมีแค่อย่างเดียว คือ ค่อย ๆ เดินไป เดินไปเรื่อย ๆ (เราอยากเห็นวิวทิวทัศน์บนเขาหงอนนาคไม่ใช่เหรอ)
ในที่สุด…
เราก็ถึงเขาหงอนนาค ลมพัดเย็นสบาย สงบและเห็นวิวของผืนป่า ท้องฟ้าสีคราม น้ำทะเล และเกาะต่าง ๆ ที่อยู่ไกลสุดลูกหูลูกตา เวลาในมือถือบ่งบอกว่าเราเดินขึ้นเขา ใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง! 🤣
ความรู้สึกที่มาถึงบนยอดเขา…จริง ๆ แล้วมันคือความรู้สึกโล่ง เบาสบาย เหมือนอะไรบางอย่างที่เราแบกมาทั้งหมดตั้งแต่ต้นทางหายไป มันไม่ได้รู้สึกดีใจที่มาถึง แต่มันรู้สึกดีกับตัวเองที่ทำมันสำเร็จ เราค่อย ๆ ดื่มด่ำ เสพบรรยากาศ จดจำภาพวิวทิวทัศน์เหล่านั้นเอาไว้ จนพอหายเหนื่อย ก็เดินลงเขากลับไปทางเดิม ตอนนี้เรารู้แล้วว่าระยะทางต่อจากนี้เป็นยังไง
ระหว่างทางกลับ…ความรู้สึกสนุกกับการเดินทางเริ่มกลับมา ต่างจากตอนแรก ที่สนุกในช่วงแรก ๆ จากนั้นความสนุกเริ่มหายไปกลายเป็นความมุ่งมั่นเจาะจงไปที่ยอดเขาอยากเห็นวิวทิวทัศน์นั้นเร็ว ๆ จนไม่ได้มองข้างทางอย่างละเอียด
…ทางกลับดรีมเพลิดเพลินกับบรรยากาศอย่างเต็มที่ ชมกิ่งไม้ใบหญ้า ฟังเสียงลม ดูต้นไม้น้อยใหญ่ที่เรียงรายเต็มไปหมด เจอผู้คนที่กำลังจะเป็นผู้พิชิตเหมือนกับเรา ยิ้มให้เขา พูดจาทักทาย ตอนนี้แหละความรู้สึกดีใจ ความภูมิใจเกิดขึ้นที่ได้เล่าเรื่องราวเล็ก ๆ น้อยให้เขาฟัง อยากให้เขาได้ไปเห็นเหมือนที่เราเห็น บางทีสิ่งที่เขาเห็น อาจจะเห็นในมุมมองคนละแบบกันก็ได้
ดรีมเดินไปเรื่อย ๆ จนใกล้ถึงด้านล่างที่เราขึ้นมา ดรีมพบกับพ่อ พี่และน้องที่ลงมาก่อนหน้านี้กำลังเลทนน้ำตกอย่างสนุกสนาน
น้ำเย็น ๆ เสียงน้ำกระแทกหิน ความรู้สึกมันช่างดีจริง ๆ
เวลาที่ดรีมใช้ไปกลับเขาหงอนนาคทั้งหมดประมาณ 3 ชั่วโมงเกือบ 4 ชั่วโมง
มันช่างดีจริง ๆเล้ยยยยยยยยย💕🌳
ทิวทัศน์บนเขาหงอนนาค
ปรัชญาระหว่างทาง
ทางเปรียบกันตั้งแต่ต้นทางจนถึงวิวทิวทัศน์บนเขาหงอนนาคแล้วกลับมายังต้นทางอีกครั้ง มันก็เหมือนกับชีวิตคนเรา ถ้ามองจากมุมกว้าง ๆ ระยะชีวิตแค่ 3.7 กิโลเมตร มันช่างสั้นเหลือเกิน แต่พอเราเริ่มโตเริ่มใช้ชีวิต ผ่าน สัมผัส สิ่งต่าง ๆ นานา ผ่านทั้งเศร้า เสียใจ ทุกข์ ร้องไห้ ดีใจ มีความสุข มันก็เหมือนระยะทางที่เราเดินขึ้นไป เราเริ่มรู้สึกว่าทำไมมันช่างนานเสียจริง เราเดินไปถึงไหนแล้วนะ ข้างหน้าจะมีอะไร ต้องข้ามกิ่งไม้ อีกรึเปล่า เหนื่อยจัง แต่นั้นเราก็ยังเดินต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อสิ่งที่เราอยากเห็น ต้องการ ซึ่งบ้างก็ไปถึง บ้างก็ไปไม่ถึง บ้างก็พอใจกับสิ่งที่เราทำได้แค่ตรงนี้ มันไม่เหมือนกัน เราค่อย ๆ อดทนเดินไปเรื่อย ๆ จนไปถึงจุดชมวิว จุดสูงสุดของชีวิต เราดื่มด่ำกับมัน แล้วเราค่อย ๆ เดินลง เหมือนกับชีวิตที่ผ่านอะไรมามากมาย เดินลงมาอย่างภาคภูมิใจ คอยเล่าเรื่องราว ประสบการณ์ที่เคยผ่านมาให้คนระหว่างทางที่กำลังตามความฝันได้มีกำลังใจ สู้ต่อไป และเราก็กลับมาที่จุดเริ่มต้นของชีวิตหรือเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิตด้วยเช่นกัน ✍️ ไม่มีอะไรอยู่ยังยืนตลอดไปแม้แต่เวลา 1 วินาที
เราก็เหมือนหนึ่งชีวิตเล็ก ๆ ที่ถูกป่าไม้โอบล้อมเอาไว้ ✍️เหนือฟ้ายังมีฟ้าเสมอ
ระหว่างทางที่เดินขึ้นไป เราอาจจะมองข้างทางไม่ชัด เพราะจดจ่ออยู่กับเป้าหมายและคอยระวังว่าอย่าพลาดล้ม เจ็บตัว แม้มีลื่นบ้าง สะดุดบ้างไม่เป็นไร เส้นทางสู่ความสำเร็จ มันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอยู่แล้ว เมื่อไปถึง ดื่มด่ำกับความสำเร็จ แล้วค่อยเดินลง เดินลงอย่างช้า ๆ แวะชมทิวทัศน์ 2 ข้างทาง ทบทวนว่าเราพลาดอะไรไปบ้าง ทักทายผู้คนที่เดินผ่านไปมา หวังเพียงให้เขาไปถึงเป้าหมายเช่นกัน จนถึงสุดทางลง แล้วหาเป้าหมายของการเดินทางครั้งใหม่ต่อไป
อย่าเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์บนจุดสูงสุดมากเกินไป จนขาดความระวังตัว ประมาท อาจจะทำให้เราตกลงมา
อย่าลืมขอบคุณธรรมชาติ อากาศบริสุทธิ์ ผู้คน ที่เดินร่วมทางกับเราด้วยนะ ไม่งั้นเราคงเดินขึ้นไปไม่ถึง
นั่งชมวิวทิวทัศน์
และนี่คือสิ่งที่ดรีมได้จากการเดินขึ้นเขาหงอนนาค จ.กระบี่🧗🏻‍♀️🍀 แล้วคุณล่ะได้อะไรบ้าง…?
คำเตือน! กรุณาอย่าอินดี้ใส่กระโปรงขึ้นภูเขา ฮ่า ฮ่า ฮ่า และพกน้ำไปด้วย ใครกลัวเป็นลม ยาดม ยาลม ยาหม่องพร้อมนะคะ บาย👋
ระหว่างทางกลับ
สวยงาม💕
เจอกันใหม่ไดอารี่ฉบับหน้า ดรีมจะมาเล่าเรื่องอะไรฝากติดตามกันด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
#เขาหงอนนาค #กระบี่ #dreamdaystory
โฆษณา