8 ม.ค. 2021 เวลา 22:20 • ธุรกิจ
คุณรู้ไหม ทุกวันนี้ MADE IN CHINA ทรงอิทธิพลแค่ไหน?
ขาดจีนแล้วจะเป็นยังไง?
นโยบายที่จะเปลี่ยนแปลงจีนให้เข้าสู่ยุคของการผลิตที่ใช้เทคโลโลยีขั้นสูง
หลายคนอาจเคยได้ยินนโยบาย MADE IN CHINA 2025
ที่ประธานาธิปดี สี จิ้นผิงประกาศไว้เป็นนโยบายแห่งชาติ
แล้วคุณรู้ไหมครับว่านโยบาย MADE IN CHINA
จะส่งผลกับจีนและกับโลกยังไง
ถ้าพูดถึงคำว่า MADE IN CHINA เราจะนึกถึงสินค้าอะไร
รองเท้า เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า? ของพวกนี้ ไม่ต้องพูดมาก
เราก็รู้กันอยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้มี Youtuber ในอเมริกาคนนึง ชื่อ UnicornSHOW
ทดลองไม่ใช้ของที่ผลิตในจีนเป็นเวลาหนึ่งวัน
แม้แต่ไอโฟนก็ต้องสละทิ้ง เพราะก็ประกอบในจีน
เค้าพยายามเดินหาซื้อของใน Walmart
สุดท้ายก็เหลือแต่ผ้าคลุมผืนเดียวที่ไม่ได้ผลิตในจีน
หรือในปีที่ผ่านมา
เหตุการณ์ที่ออสเตรเลียกล่าวหาว่าจีนเป็นต้นเหตุแพร่เชื้อ COVID-19
และมีนโยบายต่อต้านสินค้า MADE IN CHINA
ทำให้สินค้าหลากหลายชนิดใน ร้านค้าขาดตลาดและส่งผล
ให้คนออสเตรเลียออกมาบ่นว่าทำให้ต้นทุนในการดำรงชีพสูงขึ้นสองเท่า
เพราะ MADE IN CHINA ไม่ใช่แค่สินค้าจีน
แต่มันแทรกซึมเข้าสู่ชีวิตประจำวันของคนทั่วโลกไปแล้ว
จีนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น "โรงงานของโลก"
ทุกคนคงเคยได้ยินคำนี้คุ้นหู แต่มันมีพลังมากกว่านั้น
ถึงกับทำให้ทรัมป์ในขณะดำรงตำแหน่งประธานาธิปดี
ต้องสกัดความเติบโตของจีนด้วยสงครามการค้า
เพราะอุตสาหกรรมการผลิต...เป็นทั้งความภาคภูมิใจของจีน
และยังเป็นแรงขับเคลื่อนที่ทำให้
เศรษฐกิจจีนเจริญรุ่งเรื่องอย่างทุกวันนี้
แต่ถ้าเทียบกับอเมริกา ที่เน้นเรื่องการคิดค้น
การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ
จีนก็ดูเหมือนเป็นเพียงผู้ผลิต กินกำไรแค่ปลายน้ำ
และยังต้องลงทุนมหาศาลกับโรงงานและเครื่องจักร
แล้วทำไมจีนจะต้องกุมเรื่องการผลิตอยู่ในกำมือ
คำตอบก็คือ... "เพราะทุกสิ่งเริ่มจากการผลิต"
การผลิต เข้าใจง่ายๆก็คือ
การนำวัตถุดิบมาผ่านกระบวนการจนกลายออกมาเป็น
1. ยานพาหนะ
2. เครื่องมือเครื่องจักร
3. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในอุตสาหกรรม หรือ
4. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ส่วนบุคคล
ของชิ้นเล็กๆอย่างแปรงสีฟัน หรือ ขนมสักถุง
ของใหญ่อย่าง เครื่องบิน หรือรถไฟฟ้าความเร็วสูง
ก็เรียกรวมอยู่ในอุตสาหกรรมการผลิตทั้งหมด
อุตสาหกรรมการผลิต สามารถใช้เป็นตัว
วัดระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้เลย
และยังเป็นตัวชี้วัดว่าประเทศไหนเป็นประเทศกำลังพัฒนา
หรือประเทศพัฒนาแล้ว
1
ในกลางศตวรรตที่18 อังกฤษเป็นประเทศแรกในโลก
ที่เกิดการปฏิวัติทางอุตสาหกรรม
โดยเริ่มจากอุตสาหกรรมการทอผ้าฝ้าย
ทำให้เกาะเล็กๆอย่างอังกฤษ กลายเป็นประเทศมหาอำนาจ
ในปลายศตวรรตที่19 ก็เกิดการปฏิวัติทางอุตสาหกรรมครั้งที่สอง
ที่เรียกว่า Technical Revolution
ซึ่งหลักๆเกิดขึ้นในประเทศ อเมริกา อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส
อิตาลี และ ญี่ปุ่น จะเห็นได้ว่า ประเทศเหล่านี้
กลายเป็นประเทศที่มีบทบาทต่อเศรษฐกิจโลกในยุคนั้นจนถึงทุกวันนี้
ในปี 2020 ที่เกิดการระบาดไปทั่วโลกของไวรัส Covid-19
จีนก็ได้แสดงให้โลกเห็นถึงศักยภาพในการผลิตอันทรงพลัง
สร้างความตกตะลึงให้กับคนทั่วโลก
เมื่อมลฑณหูเป่ยเมืองอู่ฮั่น ต้องการรถพยาบาลอย่างเร่งด่วน
จีนใช้เวลาเพียง 60 วันผลิต รถพยาบาลกู้ชีพขั้นสูงที่เป็น
Negative Pressure นำส่งไปในพื้นที่
และการสร้างโรงพยาบาล Huoshenshan (火神山)
ที่มีเนื้อที่กว่า สามหมื่นสี่พันตารางเมตร
และ โรงพยาบาล Leishenshan (雷神山)
ที่มีเนื้อที่เกือบ แปดหมื่นตารางเมตร
จีนก็ใช้เวลาเพียง 10 วันก็เสกโรงพยาบาลทั้งสองแห่งนี้ขึ้นมาได้
การผลิตของจีนมีความหลากหลายมาก
จีนเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีประเภทการผลิตครบทั้งหมด
220 ประเภทตามที่ทางสหประชาชาติ หรือ UN ได้บัญญัติไว้
และตั้งแต่ปี 2015 จีนแซงญี่ปุ่นขึ้นเป็นอันดับ 1
ของเอเซียที่มีมูลค่าการส่งออกสินค้าเทคโนโลยี
แต่กว่าจะมาขึ้นมาเป็นผู้นำในวันนี้
จีนก็เริ่มต้นอย่างทุลักทุเล
จีนยุคเก่าเริ่มจากการเป็นประเทศเกษตรกรรมที่ยากจน
สามารถผลิตได้ก็แต่ ไม้ขีดไฟ สบู่ และของใช้ประจำวันไม่กี่ชนิด
หลังจากการก่อตั้งสาธารณรัฐจีนขึ้นใหม่ในปี 1949
การลงทุนทางอุตสาหกรรมหนัก ก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้จีน
มีการพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
ปี 1970 จีนสามารถผลิต ดาวเทียมดวงแรกชื่อว่า “ตงฟางหงอีห้าว”
และยิงขึ้นสู่อวกาศได้สำเร็จ
นับเป็นประเทศที่ 5 ต่อจาก โซเวียต อเมริกา ฝรั่งเศส และ ญี่ปุ่น
ที่สามารถพัฒนาและส่งดาวเทียมขึ้นสู่อวกาศได้
หลังจากช่วงการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
China Economic Reform นำโดยประธานาธิบดี เติ้ง เสี่ยวผิง
อุตสาหกรรมเบา ก็ขยายตัวและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
อุตสาหกรรมการผลิตของจีนเมื่อเปรียบเทียบเป็นสัดส่วนกับการผลิตทั่วโลก
เติบโตขึ้นจาก 2.7% ในปี 1990 ขึ้นมากินสัดส่วน 6% ในปี 2000
และตัวเลขล่าสุดเมื่อปี 2018 จีนมีสัดส่วนของการผลิตทั่วโลกถึง 28.4%
หลังจากที่จีนเข้าร่วมกับองค์การค้าโลกหรือ WTO ในปี 2001
การผลิตของจีนที่เน้นแรงงานคนเป็นหลัก ก็ค่อยๆพัฒนาไปเป็น
การผลิตที่เน้นการลงทุนในเครื่องจักร และเน้นเทคโนโลยี
จากข้อมูลที่ค้นหาได้เกี่ยวกับ นโยบายของทางภาครัฐปีนี้
จีนมีแผนที่จะเน้นการสนับสนุน
อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรและยานพาหนะ
ซึ่งการผลิตเครื่องจักรถือว่าเป็นกระดูกสันหลังของอุตสาหกรรม
และเป็นตัวชี้วัดความก้าวหน้าและศักยภาพการผลิต ของประเทศ
ยกตัวอย่างเช่น รถไฟฟ้าความเร็วสูง
ที่ถึงว่าเป็น สิ่งที่เชิดหน้าชูตาของจีน
ปี 2008 รถไฟความเร็วสูงจากปักกิ่งสู่เทียนจินเปิดให้บริการ
เป็นการปักหมุดสำคัญที่ถือว่าจีนได้เข้าสู่ยุคการคมนาคมที่ล้ำหน้าของโลก
ปี 2019 จีนเป็นประเทศที่มีเส้นทางของรถไฟฟ้าความเร็วสูงยาวที่สุดในโลก
นอกจากรถไฟฟ้าความเร็วสูงแล้ว จีนยังกุมเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าไว้อีกหลายรายการมาก ยกตัวอย่างเช่น
เทคโนโลยีการจ่ายไฟฟ้าแรงสูง
เนื่องจากภาคตะวันตก และภาคเหนือของจีน
เป็นแหล่งทรัพยากรที่ผลิตพลังงานไฟฟ้าหลัก
แต่มันห่างไกลจากแหล่งเศรษฐกิจและ
อุตสาหกรรมที่อยู่ในภาคตะวันออกกว่า 5 พันกิโลเมตร
และยังมี เทคโนโลยี 5G ที่กำลังเป็นกระแส
ในเดือนมีนาคมปี 2019 จีนมีสัดส่วนถือครองสิทธิบัตร
เทคโนโลยีที่ใช้ในมาตรฐาน 5G ถึง 34%
ในยุค 3G ประเทศแถบยุโรปได้ใช้เทคโนโลยี FDD เป็นที่แพร่หลาย
ทำให้จีนมีแรงกดดันอย่างมาก ซึ่งส่งผลให้จีนคิดค้นเทคโนโลยี
TD-SCDMA เป็นมาตรฐานของตนได้
หลังจากมาตรฐานนี้ได้รับการอนุมัติให้ใช้
จีนได้มีการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนเป็นเทคโนโลยี TDD
ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่า FDD มาก
1
ประเทศอื่นเพิ่งมาตระหนักถึงความสำคัญ
แต่เพราะจีนคิดค้นแนวทาง TDD มาเป็นทุนเดิม
จึงทำให้นำหน้าและขึ้นเป็นผู้นำของเทคโนโลยี 5G
นอกจากนี้ จีนยังมีเทคโนโลยีการผลิตที่ก้าวหน้าอื่นๆ อีกมาก เช่น
ยานอวกาศ Shenzhou
ดาวเทียม Beidou
Tianhe Supercomputer
รวมถึงเทคโนโลยี Quantum computing และ Quantum network
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จีนมีการทุ่มเงินวิจัยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในการคิดค้นเทคโนโลยีการผลิตใหม่ๆ
และได้ตั้งนโยบายการลงทุนสนับสนุนการวิจัยไว้เป็นสัดส่วน 2.5%
ของ GDP ของประเทศ
เทียบกับ 2.8% ของสหรัฐ และ 1.1% ของประเทศไทย
ซึ่งถ้าคิดเป็นมูลค่าในการลงทุนแล้ว จีนกำลังจะก้าวเป็นอันดับ 1 ของโลกในการลงทุนด้านการวิจัย
ประเทศจีนในภาพจำของคุณเป็นยังไง??
1
แต่ 15 ปีที่ผมเห็นความเปลี่ยนแปลงของจีน
ผมบอกได้เลยว่าประเทศจีนจะเป็นผู้นำทางด้านการผลิต
สินค้าเทคโนโลยีของโลก ในไม่เกิน 5 ปีอย่างแน่นอน
โฆษณา