9 ม.ค. 2021 เวลา 06:00 • หนังสือ
[Book Review] Put the Right man on the like job : เป็นคนที่ใช่ ในงานที่ชอบ
“วัยทำงาน” เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเกือบครึ่งค่อนชีวิตของคนส่วนใหญ่
หากคุณเริ่มทำงานตอนอายุ 20 ปี เกษียณหรือเลิกทำงานเมื่ออายุ 60 ปี เสียชีวิตประมาณ 80 ปี วัยทำงานก็กินเวลาครึ่งชีวิตของคุณพอดี และวัยนี้ยังเป็นวัยที่มีปัญหาและเรื่องให้เครียดมากที่สุดแล้ว ทั้งเรื่องเงิน เรื่องคน และเรื่องงาน
ในประเทศสหรัฐอเมริกา 2 ใน 3 ของคนวัยทำงานไม่มีความสุขกับงาน และมีคน 15 เปอร์เซ็นต์บอกว่าเกลียดงานที่ตัวเองทำอยู่* ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่การเป็นคนที่ใช่ในงานที่ชอบจะเป็นเป้าหมายชีวิตของใครหลายคน (นี่อาจรวมถึงตัวคุณเอง) วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องหนังสือเล่มหนึ่งที่อาจช่วยคุณได้ในเรื่องนี้ครับ
*ข้อมูลจากหนังสือ Designing your life ของ Bill Burnett และ Dave Evans
Put the right man on the like job เขียนโดย พี่โอม โอมศิริ วีระกุล มนุษย์เงินเดือนผู้ผ่านการทำงานมาแล้วหลายรูปแบบ ทั้งการเป็นเบื้องหน้าและเบื้องหลัง โดยส่วนตัวผมรู้จักพี่โอมจากบทบาทการเป็น Co-host ในรายการ The Money Case by the money coach เนื่องจากเป็นแฟนรายการที่ติดตามเกือบทุก Episode ซึ่งเท่าที่ฟังมาก็รู้สึกว่า พี่โอมเป็นคนที่มีมุมมองด้านการทำงานและการบริหารเงินที่น่าสนใจ ควรค่าแก่การศึกษา จึงได้ตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่าน
เนื้อหาภายในเล่มเป็นการรวมบทความที่มีความยาวไม่มากจบในตอนทั้งหมด 32 บทที่ให้แง่คิดเกี่ยวกับการทำงาน โดยถ่ายทอดผ่านงานวิจัย, เรื่องราวของคนสำเร็จ และประสบการณ์ทำงานส่วนตัวของพี่โอมที่ตกผลึกมากว่า 10 ปี
แม้คำโปรยที่หน้าปกของหนังสือจะเขียนว่า คู่มือเป็นคนทำงานในแบบที่เรารัก มีชีวิตในแบบที่เราวางใจ สำหรับคนมองหางานที่ทั้งชอบและใช่ในคราวเดียว แต่หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือแบบสูตรสำเร็จที่บอกกับเราตรงๆว่าต้องทำอย่างไร จึงจะได้เป็นคนที่ใช่ ในงานที่ชอบ หรือบอกตรงๆว่า เราควรไปหางานที่ชอบจากที่ไหน แต่เป็นการให้มุมคิดและ ทัศนคติเกี่ยวกับการทำงานมากกว่า
ขอบคุณรูปภาพ podcast รายการ the money case จาก https://thestandard.co/podcast_channel/themoneycase/
สำหรับตัวผมเองอ่านจบแล้วคิดว่าพอจะได้ข้อคิด 4 ข้อหลักๆดังนี้ครับ
1.”การฝึกที่จะอยู่กับความผิดหวัง เป็นทักษะใหม่ของโลกยุคปัจจุบัน”
เพราะในโลกการทำงาน เรามักเจอปัญหาต่างๆมากมายทั้งจากเรื่องงาน เรื่องคน บางครั้งหลายสิ่งหลายอย่างก็มักไม่เป็นดั่งใจ จนทำให้บางทีเราอาจจมอยู่กับความผิดหวังและไม่กล้าออกไปทำอะไรใหม่ๆตามที่ใจต้องการ หนังสือเล่มนี้บอกกับเราว่า เราหนีความผิดพลาดไม่พ้นหรอกครับ เพราะความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา เป็นหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้ที่สำคัญยิ่ง ดังนั้นเราควรบอกตัวเองเสมอว่า จงอย่ากลัวที่จะล้มเหลว หากล้มจงเรียนรู้จากมัน ลุกให้ไว แล้วก้าวต่อไปข้างหน้า จงออกไปทำสิ่งต่างๆ อย่างกล้าหาญ
2.”คำถามส่วนใหญ่บนโลก สามารถแก้ไขได้ด้วยการตั้งคำถามที่ถูกต้อง”
บางครั้งการแก้ปัญหาอะไรสักหนึ่งอย่างอาจต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งก็คือการไม่ยึดติดกับกรอบความคิดเดิมๆ เข้ามาช่วย เพราะจริงๆแล้วเราสามารถมองปัญหาได้หลายแบบ ตั้งคำถามได้จากหลายมุมมอง บทหนึ่งของหนังสือเล่มนี้เล่าถึงการแก้ปัญหาเด็กแว๊นในจังหวัดบุรีรัมย์ของคุณเนวิน ชิดชอบที่นำมาซึ่งสนามแข่งรถระดับเอเชีย
แทนที่จะมองปัญหานี้ด้วยความรำคาญ คุณเนวินกลับมองอีกมุมว่า ปัญหาเด็กแว๊นแท้จริงแล้วอาจเกิดจากโครงสร้างเมืองที่อาจยังไม่มีพื้นที่รองรับ การแสดงออกทางด้านนี้ ทั้งที่จริงๆแล้วเด็กวัยรุ่นเหล่านี้อาจมีความสามารถอย่างที่เราคาดไม่ถึง จึงเป็นที่มาของการเริ่มสร้างสนามแข่งรถให้เด็กวัยรุ่นที่ชอบความเร็วกลุ่มนี้ได้ใช้ และกำหนดเวลาเปิด-ปิด และถ้าเด็กเหล่านี้ไม่เชื่อฟังกฎก็จะปิดให้บริการ ทั้งนี้ก็เพื่อแก้ปัญหาสังคมและ ในขณะเดียวกันก็ให้โอกาสวัยรุ่นกลุ่มนี้ได้ใช้ความสามารถของตัวเองให้เกิดประโยชน์
ขอบคุณรูปภาพพี่โอม โอมศิริ วีะกุลจาก https://www.posttoday.com/life/healthy/428280
3. การพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอเป็นเรื่องจำเป็นในยุคปัจจุบัน
เพราะชีวิตคือการเรียนรู้ที่ไม่จบสิ้น และเราทุกคนต้องเรียนรู้กันไปตลอดชีวิต (Life long learning) การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่เสมอนั้นนอกจากจะไม่ทำให้เราเป็นคนตกยุคแล้ว ยังทำให้ชีวิตเราก้าวหน้าอีกด้วย เพราะโลกยุคปัจจุบัน เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วกว่าที่เราคิดนัก
4.อย่าลืมส่องกระจกสะท้อนชีวิตของตัวเองเสมอว่าเป้าหมายในการทำงาน เป้าหมายในชีวิตของเราคืออะไร?
ตอนนี้ชีวิตเรากำลังเสียสมดุลหรือทำอะไรสุดโต่งไปไหม? ทำงานหนักเกินไปหรือเปล่า? กินข้าวกับครอบครัวครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่? จะได้ไม่หลงลืมว่าตัวเราเองเป็นใคร กำลังทำอะไรอยู่และกำลังเดินไปในทิศทางไหน
วางแผนกับสิ่งเล็กๆที่ใกล้เข้ามา... เพื่อความสุขเล็กๆน้อยๆในแต่ละวันของชีวิต
เพราะการทำงานกับคนมักจะมีปัญหามากมายตามมาให้เราต้องปวดหัวอยู่เสมอ ทั้งกรณี การถูกเพื่อนร่วมงานขโมยไอเดีย, การแก้ปัญหา Social Bullying ในที่ทำงาน, การช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานที่กำลังเศร้า ฯลฯ ซึ่งปัญหาเหล่านี้มีวิธีการรับมือที่แตกต่างกัน หนังสือเล่มนี้เปรียบเสมือนรุ่นพี่คนสนิทที่เข้าใจเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดีและพร้อมจะเข้ามาช่วยชี้ทางออกของปัญหาเหล่านั้น
โดยรวมแล้วผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะกับมนุษย์เงินเดือนทุกคนครับ เมื่อ่านจบแล้วคุณจะเริ่มหันมามองชีวิตการทำงานของคุณมากขึ้น พร้อมกับตั้งคำถามว่า วันนี้เราทำมันได้ดีหรือยัง เราเป็นคนที่ใช่ในงานที่ชอบหรือยัง แล้วเมื่อคุณได้คำตอบ ก็ถึงเวลาเดินไปกันต่อแล้วครับ..
ป.ล. ผมอ่านฉบับพิมพ์เดือน ก.ย. 2563 พบว่าหนังสือมีการพิมพ์ผิดเป็นบางจุด (ไม่เยอะมาก แต่บางครั้งก็ทำให้เราอ่านแล้วสะดุดในบางช่วงบางตอน)
💼💼💼💼
โฆษณา