9 ม.ค. 2021 เวลา 09:44 • หุ้น & เศรษฐกิจ
สวัสดีครับ
ห่างหายไปนานเลยกับการเขียนบทความเนื่องจากช่วงที่ผ่านมาติดภารกิจอยู่กับการทำงานประจำเลยไม่มีเวลาที่จะโฟสกัสกับการเขียนบทความสักเท่าไหร่
5
แต่ในระหว่างนั้นก็ได้ซื้อหนังสือที่น่าสนใจเข้ามาอ่านอยู่เรื่อย ๆ เพื่อที่จะได้นำเรื่อง
ราวต่าง ๆ มาแบ่งปันกันครับ
ซึ่งบทความนี้จะเป็นหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนครับที่ชื่อว่า
"Beating the Street(ตีแตกวอลสตรีท)" เขียนโดยอดีตผู้จัดการกองทุนชื่อดังอย่าง Fidelity magellan
ที่ให้ผลตอบแทน 15% ต่อปีโดยเค้าใช้เวลาบริการจัดการกองทุนนาด20ล้านเหรียญ เติบโตเป็น14,000ล้านเหรียญในระยะเวลา 13 ปี
ซึ่งก็คือ "Peter Lynch"
Patient is key of success Ref : อ่านหนังกันไหม
โดยหนังสือเล่มนี้จะเล่าย้อนไปในช่วงเวลาประมาณปี ค.ศ. 1970-1990
ในขณะนั้น ลิ้นซ์(Lynch) ยังเป็นผู้จัดการกองทุนบอกเล่าถึงประสบการณ์ที่เก็บสะสมมาจากการทำงานและแนวคิดในการลงทุนเพื่อเป็น Idea ให้เราสามารถนำมาปรับใช้ให้เข้ากับตนเองได้มากที่สุดครับ
ซึ่งในระยะเวลาเพียงสองทศวรรษลิ้นซ์สามารถเกษียณตนเองที่อายุ 43 ปี
(ถือเป็นCase studyที่น่าติดตามเพื่อนำมาปรับใช้ในการลงทุนระยะยาว)
1
โดยเนื้อหาของหนังสือมีการเปรียบเทียบให้เห็นภาพความแตกต่างระหว่าการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ กองทุนหุ้น และลงทุนในหุ้น รวมทั้งวิธีและแนวคิดในการเลือกหุ้นของลิ้นซ์
1
*แต่สิ่งที่ผมอยากจะมาแชร์บทสรุปสำคัญ ก็คือ กฎและแนวคิด ของปีเตอร์ ลิ้นซ์
ที่ทำให้เค้าประสบความสำเร็จและถูกยกย่องให้เป็นผู้จัดการกองทุนที่เก่งสุดในโลก
2
กฎข้อที่ 1. การลงทุนเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น แต่จะเกิดอันตรายได้เสมอหากคุณไม่ทำงาน
(ในความคิดเห็นของผม กฎข้อแรกถือเป็นหัวใจหลักของการลงทุนทุกอย่างเลยก็ว่าได้สำหรับผมเพราะถ้าเราคิดที่จะลงทุนแต่ยังไม่ได้ความเข้าใจในสินทรัพย์นั้นๆก็หมายความว่าคุณขาดทุนก่อนที่จะไปลงทุนสะอีก)
กฎข้อที่ 2. ซึ่งผมคิดว่าจะสัมพันธ์กับข้อแรก" ให้ลงทุนในบริษัทหรือกลุ่มอุตสาหกรรมที่คุณนั้นเข้าใจในตัวธุรกิจนั้น ๆ " (แนวคิดข้อนี้จะคล้ายกับที่วอเรนต์ บัฟเฟต กล่าวอยู่เสมอ บางทีกฎข้อนี้อาจจะให้ผลตอบแทนจากการลงทุนได้มากกว่าการที่คุณเชื่อข้อมูลจากนักวิเคราะห์ก็ได้)
กฎข้อที่ 3. ในกฎข้อนี้เราคงจะได้ยินกันบ่อยจากนักพูดสร้างแรงบันดาลใจที่ว่า คนที่อยู่ในฝั่ง 1%คือคนที่จะประสบความสำเร็จเสมอ แต่ปีเตอร์ ลิ้นซ์เค้ากำลังจะบอกว่า "คุณจะสามารถชนะตลาดได้โดยไม่สนใจคนหมู่มาก"
กฎข้อที่ 4. "ตรวจสอบรายละเอียดของสิ่งที่บริษัททำอยู่เสมอ" (ถ้าให้เข้าใจง่ายๆ
ก็คือ คอยติดตามการเคลื่อนไหวของบริษัทไม่ว่าจะเป็น การติดตามผลประกอบการองบริษัทในแต่ละไตรมาสเป็นประจำ)
1
กฎข้อที่ 5. "บางครั้งความสำเร็จของบริษัทอาจจะไม่มีผลต่อราคาหุ้นของบริษัทในช่วง2ถึง3เดือนหรือแม้แต่2ถึง3ปี"(ข้อนี้ลิ้นซ์ต้องการจะสื่อถึงความหมายที่ว่า ในระยะสั้นราคาหุ้นจะยังคงไม่ขึ้น
แต่ถ้าในระยะยาวนั้นความสัมพันธ์ของราคาและความสำเร็จของหุ้นจะเป็นกุญแจหลักเลยครับที่ทำให้นักลงทุนประสบความสำเร็จได้ ซึ่งการอดทนรอราคาขึ้นนั้นบางทีพูดง่ายแต่ก็ทำอยากแต่ก็ต้องทำให้ได้ครับ)
3
กฎข้อที่ 6. "การมีหุ้นเหมือนการมีลูก ถ้ามีเยอะเกินไปเราจะรับมือไม่ไหว"
(ลิ้นซ์กำลังจะบอกว่า ให้ถือหุ้นในปริมาณที่คุณนั้นสามารถที่จะติดตามหรือเฝ้าดูผล
การดำเนินงานของบริษัทต่าง ๆ ได้อย่างครอบคลุม)
กฎข้อที่ 7. "ถ้ายังไม่เจอหุ้นที่คุณคิดว่าน่าสนใจก็ให้พักเงินที่ธนาคารก่อนก็ได้" (การลงทุนในระยะยาวจำเป็นที่จะต้องวางแผนและศึกษาธุรกิจที่จะลงทุนให้รอบคอบ ถ้าคิดว่ายังไม่มั่นใจหรือยังไม่มีความรู้มากพอก็อาจจะไปลงทุนกับกองทุนตราสารทุนหรือตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกันครับ)
กฎข้อที่ 8. "สำหรับหุ้นขนาดเล็กควรที่จะรอให้มีกำไรแล้วค่อยลงทุนจะดีกว่า"
(ต้องขอบอกว่าสไตล์การลงทุนของลิ้นซ์จะต่างจากวอเรน บัฟเฟตตรงที่ว่าจะเน้นลงทุนในหุ้นsmall and mid cap หรือหุ้นที่มีอัตราการเติบโตสูงครับ)
What you've learnt from it Ref : อ่านหนังกันไหม
กฎข้อที่ 9. "หากคุณลงทุนในหุ้น 1,000 เหรียญ คุณอาจจะขาดทุนทั้งหมดแต่ใน
ทางกลับกันคุณอาจจะได้กำไรมากกว่า10ถึง50เท่า ถ้าหากคุณมีความอดทนมากพอในระยะยาว"
( แน่นอนว่าการลงทุนระยะยาวเป็นสิ่งที่ดีแต่จะไม่ดีก็ต่อเมื่อเราไม่รู้ว่าเรานั้นลงทุน
อยู่กับอะไรซึ่งท้ายที่สุด อาจจะทำให้เสียทั้งเวลาและโอกาศครับ เพราะฉะนั้น
การกระจายการลงทุนในหลายบริษัทจงเป็นสิ่งหนึ่งทีช่วยกระจายความเสี่ยงได้)
กฎข้อที่ 10. "ความวิตกกังวล"(กฎและแนวคิดข้อนี้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากครับ
ในทุก ๆ ช่วงเวลาเราอาจจะได้ยินข่าวในทางลบของบริษัทหรือนักวิเคราะห์ออกมา
ประกาศว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในบริษัทที่คุณลงทุนอยู่แต่ว่า
ถ้าข่าวนั้นไม่ได้มีผลกระทบโดยตรงกับพื้นฐานของตัวบริษัทก็ควรจะมองข้ามหรือไปศึกษาหาข้อมูลให้ลึกขึ้นเพื่อทำการวิเคราะห์ด้วยตนเองว่าเรานั้นควรจะลดสัดส่วนการลงทุนลงครับ)
กฎข้อที่ 11. "ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ทิศทางอัตราดอกเบี้ย เศรษฐกิจหรือตลาด
หุ้นในอนาคตได้ เพราะฉะนั้นควรที่จะสนใจเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นกับบริษัทที่คุณลงทุนเท่านั้น" (ทางดีที่ควรที่จะโฟสกัสกับบริษัทที่คุณลงทุน จากนั้นจึงค่อยเอาปัจจัยภายนอกมาเป็นองค์ประกอบในการตดสินใจจะดีกว่าครับ)
กฎข้อที่ 12. "สำหรับคนที่ไม่มีเวลาทำการบ้านเรื่องหุ้น การกระจายลงทุนในกองทุนเป็นสิ่งที่ดีแต่การลงทุนกับหกกองทุนที่เหมือนกันไม่ถือว่าเป็นการกระจายลงทุน"
(ข้อแนะนำอีกอย่างหนึ่งสำหรับการลงทุนในกองทุนนะครับ คืออย่าสับเปลี่ยนหรือ
ขายตามอารมณ์บ่อยจนเกินไปครับผม)
นี่ก็เป็นแนวคิดเล็กน้อยๆสำหรับเพื่อน ๆ ที่คิดอยากจะเริ่มลงทุนหรือสำหรับคนที่ลงทุนอยู่แล้วเข้ามาอ่านก็สามารถนำไปเป็นแนวทางหรือปรับmidn set เพื่อการลงทุนที่ดีขึ้นครับผม
2
แล้วยิ่งช่วงนี้ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งสกุลเงินบิทคอยน์ ก็All time highตลอดเวลา หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆทุกคนนะครับ
ครั้งหน้าบทความเป็นหนังสือเรื่องใด รอติดตามได้เลยครับ
REFFERENCE : ตีแตกวอลสตรีท (Beating the street)
โฆษณา