11 ม.ค. 2021 เวลา 02:28 • ความคิดเห็น
โพสแรกขอเริ่มต้นด้วย Self-Reflection ก่อนเลย
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเราในปี 2020
ปกติเราจะไม่แชร์เรื่องราวของตัวเองลง Social Media เท่าไหร่ บอกตามตรงเลยเพราะเรารู้สึกอายในการแชร์อะไรแบบนี้ เพราะ Social Media ไม่ใช่พื้นที่ๆเรารู้สึกปลอดภัยในการแชร์เรื่องเหล่านี้ แต่ครั้งนี้สิ่งที่แชร์มันเป็นประโยชน์กับเราจริงๆ และเผื่อมันจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นด้วย
ต้นปี 2020 เราได้เริ่มหาจิตแพทย์ เพราะเรามีอาการคล้ายเป็นซึมเศร้ากับหลายๆเรื่องในชีวิต เรื่องที่เศร้าที่สุดคือ อกหัก ซึ่งมันเชื่อมโยงกับ Low self-esteem ของเรา แต่เราไม่ถึงขั้นต้องกินยานะ เราเลยมองว่ามันไม่ใช่ซึมเศร้าอะ ..การอกหักครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราเริ่มตระหนักถึง/เรียนรู้บทเรียนชีวิตที่เราไม่เคยสังเกตมาก่อนเยอะมากเลย เริ่มได้ทำความรู้จักตัวเองมากขึ้น และได้พยายามพัฒนาตัวเองในหลายๆด้าน และด้านที่เราให้ความสำคัญที่สุดตอนนี้คือ Mental Health
สิ่งที่ทำให้เราได้รู้จักตัวเองมากกว่าที่ตัวเองพยายามทำความรู้จักดู คือ การบ้านที่หมอเราให้ทำตอนแรกที่เรียกว่า CBT (Cognitive Behavioral Therapy) คือ การบำบัดโดยให้เราบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ทำให้เรารู้สึกด้านลบมากๆ Overwhelm มากๆ แล้วจัดการความรู้สึกความคิดนั้นที่เรามองด้วยเซ็ตคำถามชุดนึง ซึ่งถ้าใครอยากรู้ สามารถค้นหาใน Google ได้เลย มันมีขึ้นมาให้เยอะมาก การบ้านนี้ทำให้เราเรียนรู้ที่จะถามความเห็นคนอื่นมากขึ้นและมีความคิดเป็นระเบียบมากขึ้น
ยอมรับเลยว่า ตอนแรกที่เริ่มทำการบ้านนี้ บางคำถามมีความคล้ายกับสิ่งที่เราเคยเข้าคอร์สเรียน Master Your Communication กับครูเงาะมาก เพียงแต่การพบจิตแพทย์ทำให้เราต้องส่งการบ้านให้หมอตรวจและหยิบเหตุการณ์ต่างๆมาคุยกับหมอ บอกถึงมุมมองเรา ความรู้สึกเรา ซึ่งเราได้ทำการบ้านนี้ถี่กว่าตอนไม่ได้เรียนครูเงาะ และช่วงนั้นเราร้องไห้บ่อยมากๆ (ไม่ใช่เพราะอกหักนะ แต่เป็นปัญหาชีวิตเรื่องอื่นๆ) CBT ช่วยเราได้เยอะเลย ทำให้เรามีสติฉุกคิดมากขึ้น ว่าทำไมเหตุการณ์นี้ถึงเป็นแบบนี้ แล้วหมอก็ให้เราเขียนเป้าหมายชีวิตส่งเป็นการบ้าน เรามีเป้าหมายที่เคยเขียนไว้อยู่แล้ว แต่มันเป็น Long-term goals มากๆ ก็ส่งหมอไป หมอก็ช่วยจัดระเบียบความคิดเราด้วย
ช่วงนั้นเราได้ฟังรายการ เกลา ใน Youtube ทุกตอนที่สัมภาษณ์ ก๊อต จิรายุ เรารู้สึกว่าคนนี้เจ๋ง เราชอบ mindset เค้า เราอยากเป็นแบบนี้บ้าง และเค้าบอกว่าเค้านั่งสมาธิทุกวัน เราปกติแล้วก็ไปปฏิบัติธรรมบ้างตั้งแต่เด็ก แต่หลังๆนี้เริ่มไม่ค่อยทำแล้ว พอได้ฟังสัมภาษณ์ก๊อต เราเลยอยากนั่งสมาธิขึ้นมาเลย เราเริ่มจากนั่งสมาธิวันแรก 1 นาทีก่อน แล้วก็ 3 นาที แล้วค่อยๆเพิ่มขึ้นมา มีครั้งที่นั่งได้นานที่สุดคือ 45 นาทีกับครูเงาะไลฟ์สดนั่งสมาธิ หลังจากนั้นคือนั่งเองได้นานสุดแค่ 30 นาที วิธีการของเราคือ เราจะไม่ฝืนตัวเองเลย เพราะเราคิดว่าอะไรที่มันฝืน มันจะไม่เวิร์ค การจับเวลานั่งสมาธิสามารถทำให้เราฝืนตัวเองโดยไม่รู้ตัวได้.. ประมาณว่าเมื่อไหร่จะหมดเวลานะ เราไม่สามารถอยู่กับปัจจุบันทุกวินาทีได้ขนาดนั้นเมื่อเรารู้ว่ามันมีเวลากำหนดอยู่ เราเลยเลือกไม่จับเวลาว่าจะต้องนั่งให้ได้เท่านี้นะ แต่เรากดจับแค่ตอนเริ่มและหยุดตอนเลิกแทน
สิ่งที่ทำให้เราได้เริ่มมีสติมากขึ้นก็คือ การนั่งสมาธิเนี่ยแหละ เพราะบางทีเราจะรู้สึกถึงพลังงานเย็น ขณะที่นั่งสมาธิ หรือหลังจากออกจากสมาธิแล้ว เราเพิ่งรู้สึกได้ว่าการ connect กับตัวเองมันรู้สึกแบบไหน ..พอร่างกายเราเริ่มรู้สึกถึงพลังงานเย็นบ่อยขึ้น ไม่จำเป็นต้องเป็นเวลานั่งสมาธิเสมอไป เราก็เริ่มยึดว่าเอาพลังงานนี้มาเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อเรา ที่ว่ามันคือการ connect กับตัวเอง และมันทำให้เรารู้สึกเบาสบาย สงบดี
แต่ด้วยความที่เราเพิ่งค้นพบว่าเราเป็นคน sensitive มากๆๆๆ ทั้งจากการบ้าน CBT & การทำ personality test & การนั่งสมาธิ & ปัญหาที่เผชิญในชีวิต
เราเพิ่งสังเกตได้ว่าที่ผ่านมาเราโฟกัสกับการต้องการเป็นที่ยอมรับจากคนอื่นมากเกินไป โดยที่ตัวเรายังไม่ยอมรับในตัวเองเลย คุณลองคิดดูดิ คนที่ไม่เคยรู้จักตัวเองมาก่อนว่าเป็นคนยังไง อยู่ๆก็มา realize ได้ว่าเราเป็นคนแบบนี้นะ พอเรามีสติเท่านั้นแหละ เรารู้เลยว่าทำไมเราเศร้า ทำไมเราโกรธ แล้วเราก็ยังยอมรับตัวเองไม่ได้เลยอะ ไม่ว่าคนอื่นจะยอมรับเรายังไง ถ้าเรายังยอมรับตัวเองไม่ได้ มันก็ไม่ช่วยทำให้เรามีความสุขอะ
ช่วงนั้นเราก็ยังคงเศร้าอยู่ เรารู้ว่าเราต้อง work กับภายในตัวเองหลายๆอย่าง เพื่อที่เราจะได้ใช้ชีวิตมีความสุขมากขึ้นได้ และเพราะเราอยากมีความสุขมากขึ้น เราเลยสรรหาทุกทางที่จะทำให้เราพัฒนามากขึ้นด้านจิตวิญญาณ ทำให้เรา connect กับตัวเองมากขึ้น
เพราะความเศร้าในการใช้ชีวิตยังคงมีอยู่เกือบทุกวัน ในขณะที่เรายังหาหมอจิตอยู่ เราก็ไปลองทำ workshop ชื่อ Express Group ของ Studio Persona เพราะเรารู้ว่าปัญหาอันยิ่งใหญ่ของเราคือการสื่อสาร เราไม่รู้วิธีการสื่อสาร ไม่รู้วิธี express สิ่งที่รู้สึกออกมา และเราหวังว่าเราจะสามารถ express อะไรสักอย่างออกมาได้ผ่านศิลปะ
Workshop นี้โฟกัสที่การเคลื่อนไหวโดยการ painting ในท่าต่างๆ แต่ตอนเริ่ม workshop พี่ปัท - นักศิลปะบำบัด จะให้แต่ละคนเลือกรูปภาพที่โดนใจมากที่สุด และเราเลือกภาพเหล่านี้
ภาพที่แสดงความรู้สึกนึกคิดเรา ณ ช่วงเวลานั้น
พอเลือกแล้วเค้าให้เล่าเรื่องว่าทำไมเราถึงรู้สึก relate กับภาพแต่ละภาพ แล้วด้วยความที่ Studio Persona มีบรรยากาศที่ทำให้เรารู้สึกปลอดภัย เราเลยกล้าที่จะเล่าเรื่องของเราออกมาให้คนไม่รู้จักฟัง มันอาจจะเป็นเพราะเราต้องการความช่วยเหลือ คิดว่ามันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว และเราไม่น่าจะได้เจอคนพวกนี้อีกแล้ว.. แต่ถึงเจออีกแล้วมันยังไงล่ะ?
จากนั้นพี่ปัทให้พวกเราทำ workshop หลักคือ painting ผ่านการกระบวนท่าต่างๆ โดยให้ทุกคนหลับตาแล้วเคลื่อนไหวตามจังหวะที่เราอยากทำตามกระบวนท่านั้นๆ ซึ่งแต่ละท่ามีความหมายของมัน สิ่งนี้ทำให้เราได้มีสติอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น เพราะการได้สัมผัสพื้นผิวของกระดาษ สัมผัส texture ของสีต่างๆ มันทำให้เราไม่ต้องคิดอะไรเลย และรู้สึกอยู่กับปัจจุบันตรงนั้นจริงๆ จากนั้นเค้าก็ให้แต่ละคนแชร์เรื่องราวของตัวเองที่ relate กับงานศิลปะที่เราทำออกมา เลือกมา 1 ภาพ แล้วให้คนอื่นแชร์ความเห็นเกี่ยวกับงานศิลปะนั้นๆที่เราทำด้วยคำพูดที่เป็นบวก เช่น (เรียกชื่อตัวเราเอง)เห็นนกกำลังโบยบินออกจากควันดำไปสู่แสงสว่าง ...เรามองว่าการสื่อสารแบบบวก ทำให้คนฟังไม่รู้สึกว่ากำลังโดน judge อยู่ มันดีนะ
เราประทับใจ workshop ครั้งนั้นมาก จนเราขอลองทำ 1-on-1 art therapy session กับพี่ปัท 3 เดือน
การได้ลองเข้า art therapy มันจะคล้ายๆกับที่เราไปพบจิตแพทย์ คือมีการพูดคุยกันถึงหลายๆอย่างในชีวิตเราที่เราอยากแชร์ หรือมีปัญหาอยู่ หาทางออกไม่ได้ แต่ศิลปะบำบัดจะมีกิจกรรมศิลปะมาให้เราทำระหว่างคุยไปด้วยตามธีมที่พี่ปัทวางไว้ ซึ่งเรามองว่ามันทำให้เราผ่อนคลายมากขึ้น สำหรับตัวเราบางทีเราคุยกับหมอแล้วเราเครียด เพราะต้องนึกถึงเหตุการณ์ที่กระทบกับอารมณ์เรามากๆแล้วพูดถึงมันออกมา
ในขณะที่เราทำงานศิลปะ เราสามารถเล่าเรื่องได้อย่างเป็นธรรมชาติ ระหว่างเข้าบำบัดกับพี่ปัท เรา connect กับตัวเองมากๆ อยู่กับปัจจุบันตลอดเวลาจริงๆ คือมีการนึกถึงอดีตบ้างเพื่อเล่าเรื่อง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกจมปลักอยู่กับมัน จากการพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองกับนักศิลปะบำบัดทำให้เราได้บทเรียนชีวิตบางอย่างมาด้วย รวมถึงบทเรียนจากงานศิลปะที่เราทำอีก เราคิดว่ามันดีมากๆเลย ที่เราสามารถ reflect บทเรียนชีวิตเราผ่านงานศิลปะได้
ยอมรับว่าในตอนนั้นเรามีหลายเรื่องมากที่อยากจะถามหมอ แต่แค่เราคุยกับหมอเรื่องนึงก็หมดชั่วโมงแล้วอะ คำถามต่างๆที่เราอยากหาคำตอบเลยไม่ได้มีโอกาสถามหมอซะที เราเลยเลือกถามพี่ปัทในเรื่องที่เราไม่เคยได้คุยกับหมอ แล้วพี่ปัทก็ตอบคำถามเหล่านั้นได้ดีมากๆเลย
ในระหว่างที่ทำศิลปะบำบัดช่วงหลัง หมอจิตแพทย์ก็ให้การบ้านเรามาอีก คือ การเขียน self-reflection ส่งหมอทุกอาทิตย์ ยอมรับเลยว่ามันดีมาก เพราะมันทำให้เราสนใจที่จะมีสติทุกขณะ หากิจกรรมที่ทำให้เรา balance ตัวเองได้ ทั้งเรื่อง mental, emotional, physical, spiritual เพื่อที่เราจะได้มา reflect กับตัวเอง พัฒนาตัวเองได้เรื่อยๆ แล้วก็มีความสุขในการใช้ชีวิตมากขึ้น
ถึงแม้ว่าตอนนี้เราจะไม่ได้เข้าทำ art therapy แล้ว แต่ความรู้ที่ได้จากพี่ปัทก็ยังทำให้เราพยายาม work กับตัวเองจนมาถึงทุกวันนี้เลย
หลังจากที่เราหยุดเข้า art therapy กับพี่ปัทแล้ว เราก็ได้มีโอกาสไป workshop อื่นที่จัดที่ Studio Persona นะ อีก workshop นึงที่เราไปคือ การเล่น Transformation Game เป็นบอร์ดเกมส์ที่ทำให้เราได้ relfect กับตัวเองอีก รวมถึงคอยให้กำลังใจเพื่อนที่เล่นในวันนั้นด้วย เพราะการเล่นเกมส์นี้แต่ละคนต้องแชร์เรื่องที่ relate กับคำในไพ่ที่ตัวเองจั่วได้ แล้วสามารถเลือกที่จะ ก้าวข้ามผ่าน pain ที่ได้มาระหว่างการทอยลูกเต๋าไหมด้วย เราชอบเกมส์นี้มากเลย และคิดว่าถ้ามีโอกาสอีก เราจะไปเข้าร่วม workshop อื่นๆแน่นอน
การเข้ารับบำบัดต่างๆ ทำให้เรา shift focus จากตอนแรกที่โฟกัสกับความเศร้า เป็นโฟกัสความสุขในชีวิตแทน นี่ถือเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่มากในชีวิตเราเลยแหละ
ขอบคุณหมอ พี่ปัท และใครหลายๆคนที่เราไปเจอใน Youtube & Podcast ขอบคุณมากๆเลยนะ 🙏พวกคุณมีส่วนช่วยชี้นำทางเรา และที่ขาดไม่ได้ต้องขอบคุณตัวเอง ที่อยากมีความสุขมากขึ้น 😉
**สุดท้ายนี้**
เราอยากบอกว่า การพบจิตแพทย์เป็นเรื่องธรรมดามากๆเลยนะ อาจมีบางคนที่คิดว่าการพบจิตแพทย์เป็นเรื่องไม่ปกติ คนที่พบจิตแพทย์เป็นคนมีปัญหา เป็นคนบ้า ..เรามองว่าทุกวันนี้โลกเปิดกว้างมากขึ้น ถ้าคุณมีปัญหาชีวิตอะไรที่ทำให้ไม่มีความสุขในการใช้ชีวิตและหาทางออกไม่ได้ ไปพบจิตแพทย์หรือคนที่เป็น professional ด้านนี้เถอะ ไปให้เค้าช่วย ให้คุณได้ใช้ชีวิตได้ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น อย่าให้ความคิดของสังคมมา label ว่าคุณเป็นคนบ้าเพราะคุณไปหาจิตแพทย์ หรือไม่ใช่ว่าคิดว่าตัวเองไหวหรือแก้ไขมันได้ แล้วคุณก็ทนทรมานพยายามแก้ไขมันอยู่อย่างนั้นอะ..
สำหรับเรา เรามองว่าการมีมุมมองของคนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ และมีความคิดเป็นกลาง มาช่วยเราแก้ปัญหามันน่าจะดีกว่า เพราะเค้าจะตั้งใจฟังปัญหาของเรา และช่วยทำให้เราได้มองเห็นอีกมุมได้จริงๆ
สิ่งที่สำคัญมากในการใช้ชีวิตคือ การได้รู้จักตัวเอง สิ่งนี้คือพื้นฐานของทุกความสัมพันธ์ในชีวิตเลย
คลิปนี้เกี่ยวกับพี่ปัท และ Studio Persona
โฆษณา