11 ม.ค. 2021 เวลา 12:49 • สุขภาพ
ผลการตรวจเชื้อโควิดเป็นบวกลวง ปัญหา ผลกระทบ และแนวทางการแก้ไข
ปัจจุบันการระบุว่าผู้ใดติดเชื้อโควิดหรือไม่ จะใช้วิธีการตรวจหาเชื้อด้วยวิธี Rt PCR การตรวจดังกล่าวเป็นวิธีที่ องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ใช้ เป็นวิธีมาตรฐาน อย่างไรก็ดีเร็วๆนี้องค์การอนามัยโลกออกมายอมรับว่าวิธีดังกล่าว ว่าอาจให้ผลบวกลวง ระบุว่า ผู้ที่ถูกตรวจมีเชื้อ ทั้งที่ในความจริง เขาไม่มีเชื้อ ผลบวกลวงดังกล่าว ส่งผลกระทบทั้งในระดับปัจเจกชน ไปจนถึงระดับชุมชน และระดับประเทศ ในระดับปัจเจกชน ทำให้ บุคคลที่มีผลบวกลวง ต้องถูกกักตัวโดยไม่จำเป็น ก่อให้เกิดผลเสียทั้งทางสุขภาพและทางเศรษฐกิจ ในระดับชุมชน ก่อให้เกิดความตื่นตระหนก โดยไม่จำเป็นอันส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจในชุมชน ในระดับประเทศ ทำให้รัฐต้องเสียงบประมาณ บุคลากรทางการแพทย์ไปดูแลผู้ที่ไม่ได้ติดเชื้อจริง ทั้งยังส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก “ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นนี้ สามารถหลีกเลี่ยงได้”
สาเหตุโดยละเอียดของผลบวกลวงสามารถอ่านได้จากรายงานทางวิชาการตามลิงก์ข้างล่างนี้
สรุปย่อจากรายงาน
จากการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญ ต่องานวิจัย (Corman-Drosten’s paper) ที่องค์การอนามัยโลกใช้อ้างอิงเป็นมาตรฐานในการตรวจยืนยันการติดเชื้อโควิด พบว่ามีข้อผิดพลาดที่สำคัญทั้งหมด 10 ประการคือ
1. มีการใช้ สารพันธุกรรมตั้งต้นในการขยายสัญญาณพันธุกรรม (primers) ในปริมาณความเข้มข้นที่สูงกว่า มาตรฐานทั่วไปที่ใช้ถึงสามเท่า การกระทำดังกล่าวมีผลให้มีการขยายรหัสพันธุกรรมที่ไม่จำเพาะเจาะจงต่อเชื้อไวรัสโควิดง่ายขึ้น ทำให้ไม่สามารถใช้ในการตรวจหาเชื้อ ไวรัสโควิด (SARS-Cov-2) ได้
2. การกำหนดรหัสพันธุกรรมของสารพันธุกรรมตั้งต้น (primers) ที่ระบุในงานวิจัยของ Corman-Drosten มีการกำหนดรหัสพันธุกรรม 6 ตำแหน่ง ว่าเป็นรหัสใดก็ได้ (รหัสพันธุกรรมมี 4 รหัส คือ A T C G) ทำให้ primers ที่ใช้ในการตรวจหาเชื้อมีความหลากหลาย แตกต่างกันได้ถึง 46 = 4,096 แบบซึ่งทำให้การตรวจด้วยวิธีนี้ ไม่ได้ดำเนินการอยู่บนมาตรฐานเดียวกัน แต่ละห้องปฏิบัติการใช้ primers ที่ไม่เหมือนกัน
3. การตรวจสารพันธุกรรมของไวรัสที่ระบุในงานวิจัยของ Corman-Drosten ตรวจหาส่วนของพันธุกรรมไวรัส ที่ไม่ได้ครอบคลุมส่วนต้น กลาง ปลายของ ไวรัลจีโนม (Viral genome, พันธุกรรมทั้งหมดของไวรัส) โดยเลือกตรวจแค่ส่วนต้นและกลางของไวรัส ทำให้ผลการตรวจที่เป็นบวก อาจจะเป็นเพียงการพบซากครึ่งเดียวของไวรัส ที่ไม่สามารถแพร่เชื้อได้
4. ในการทำปฎิกิริยาเคมีเพื่อขยายสัญญาณพันธุกรรมนั้น ต้องกำหนดอุณหภูมิที่เหมาะสมในการทำปฎิกิริยา อุณหภูมิดังกล่าว ขึ้นอยู่กับ primer ที่ใช้ เนื่องจากในการขยายสัญญาณแต่ละจุด จะต้องใช้ primer สองอัน (ขยายสัญญาณมาจากคนละด้านจนมาพบกันตรงกลางแล้วจึงหยุด) อุณหภูมิที่ใช้ในการทำปฏิกิริยาจึงจำเป็นต้องเหมาะสมกับทั้งสอง primers (เพราะต้องให้ primers ทั้งสองทำงานพร้อมกัน) จากงานวิจัยของ Corman-Drosten พบว่ามีการใช้ primers ที่ต้องการอุณหภูมิที่เหมาะสมในการทำปฏิกิริยา ต่างกันถึง 10 องศาเซลเซียส (ปกติไม่ควรต่างกันเกิน 2 องศาเซลเซียส) ซึ่งแปลว่าในขณะที่ทำปฏิกิริยา PCR จะไม่สามารถกำหนดอุณหภูมิที่เหมาะสมกับทั้งสอง primers ได้ การกำหนดอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสมนี้ ทำให้ primers จับกับส่วนพันธุกรรมเป้าหมายได้แย่ลง ลดความจำเพาะลง
5. การทำ PCR test เพื่อการตรวจหาเชื้อ ต้องกำหนดจำนวนรอบของการทำ PCR ที่เหมาะสม ค่า cut off ที่ใช้เป็นมาตรฐาน คือ 30 รอบ (แปลว่า ขยายสัญญาณขึ้น 2 ยกกำลัง 30 เท่า หรือเท่ากับ 1,073,741,824 เท่า) ในงานวิจัยที่องค์การอนามัยโลกอ้างถึงดังกล่าวไม่มีการกำหนดค่านี้ไว้ และมีการใช้ PCR ขยายสัญญาณมากถึง 2 ยกกำลัง 40 เท่า (ในประเทศไทยใช้ PCR test ที่ 35 ถึง 40 รอบ) ซึ่งจากงานวิจัยอื่นพบว่า การกำหนดจำนวนรอบ PCR ที่มากกว่า 35 ทำให้เกิดผลบวกที่ไม่มีความหมายทางคลินิก
6. ในงานวิจัยของ Corman-Drosten ดังกล่าว ไม่มีการทดสอบยืนยันว่า ส่วนของสารพันธุกรรมที่ได้จากการขยายสัญญาณ เป็นส่วนของสารพันธุกรรมที่ต้องการขยายจริง สัญญาณพันธุกรรมที่ขยายจึงไม่สามารถบอกได้ว่า เป็นสารพันธุกรรมของไวรัสโควิด
7. ในการตรวจหาเชื้อไวรัสโดยวิธี PCR ที่ใช้ไม่มีการกำหนด ตำแหน่งพันธุกรรมเป้าหมายที่มีความจำเพาะต่อเชื้อโควิด อีกทั้งไม่มีการกำหนดการตรวจหาตำแหน่งพันธุกรรมที่พบในเชื้อโคโรนาไวรัสอื่นๆ แต่ไม่พบในเชื้อโควิด (negative control) ทำให้การตรวจหาเชื้อด้วยวิธีนี้ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นการตรวจหาเชื้อโควิด
8. ไม่มีการกำหนด มาตรฐานการปฏิบัติการ (Standard operating procedure, SOP) ทำให้การตรวจหาสารในแต่ละห้องปฎิบัติการไม่เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน
9. งานวิจัยของ Corman-Drosten ไม่ได้รับการทบทวนความถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญในสาขาเดียวกันที่มิได้มีส่วนได้ส่วนเสียในงานวิจัยดังกล่าว (peer review)
10. พบว่า ทีมผู้วิจัยของ Corman-Drosten paper มีผลประโยชน์ทับซ้อนมากมาย โดยหลายคนในทีมวิจัยเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทที่ผลิตชุด PCR kit เพื่อตรวจหาเชื้อโควิดออกมาขาย
จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น ขอเสนอให้ รัฐบาล สั่งการให้
1. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เปิดเผย รายละเอียดของวิธีตรวจหาเชื้อด้วยวิธี PCR ที่ใช้อยู่ในประเทศไทย โดยระบุรายละเอียดทั้ง primers ที่ใช้ อุณหภูมิ จำนวนรอบฯลฯ ตามข้อสังเกตุด้านบน ให้สังคมได้รับทราบ
2. จัดตั้งทีมผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วนให้ร่วมตรวจสอบแนวทางการตรวจหาเชื้อโควิดที่ใช้ในปัจจุบันว่า มีข้อบกพร่องอันจะนำไปสู่การให้ผลบวกลวงหรือไม่ และถ้ามีในอัตราสูงแค่ไหน
3. ให้ข้อมูลต่อสังคมถึงความเป็นไปได้ของการได้ผลบวกลวง จากวิธีการตรวจ PCR ที่ทำอยู่ในประเทศต่างๆ ซึ่งการกระทำดังกล่าวอาจเป็นผลทำให้จำนวนผู้ป่วยที่ติดเชื้อในประเทศนั้นๆสูงกว่าความเป็นจริงมาก
ผลบวกลวง สร้างความตื่นตระหนกที่ไม่จำเป็นแก่สังคม ก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก ธุรกิจเล็กๆจำนวนมากมายที่จำต้องปิดกิจการลงเพราะความ ตื่นกลัวที่ไม่จำเป็นดังกล่าว มาตรการตรวจสอบที่เสนอดังกล่าว จึงเป็นมาตรการเร่งด่วนระดับชาติที่จำเป็นต้องดำเนินการในทันที
โฆษณา