11 ม.ค. 2021 เวลา 17:12 • ไลฟ์สไตล์
ในปี  1933 Alfonso Bialetti ได้เปิดตัว Moka Pot เครื่องต้มกาแฟแรงดันสูง ที่ใช้หลักการดันน้ำร้อนที่ร้อนจากการใช้ไฟจากเตาแก๊สในครัวเรือนต้มให้เดือดจากด้านล่างขึ้นไปด้านบน เพื่อผ่านชั้นกาแฟคั่วบดและไหลออกมาเป็นเครื่องดื่มเอสเปรสโซ่รสกลมกล่อมที่ให้รสชาติดีไม่ต่างจากการใช้เครื่องทำกาแฟขนาดใหญ่ที่ให้บริการตามร้านกาแฟ อัลฟองโซ บิอาเล็ตติได้ไอเดียเครื่องต้มกาแฟจากการเห็นเมียนั่งซักผ้า
พาพจาก https://sprudge.com/7-good-cafes-sukhumvit-bangkok-sprudge-coffee-guide-104745.html
มีคนบอกว่ากลิ่นของยามเช้าตรู่ในอิตาลี คือความหอมกรุ่นของกาแฟสดใหม่ที่อบอวลอยู่ตามตรอกซอย ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ลอยล่องมาจากร้านกาแฟน้อยใหญ่ที่กระจายทั่วทั่วเมือง แต่โชยเอื่อยจากหน้าต่างห้องครัวของแต่ละบ้าน เพราะกาแฟแก้วแรกของวัน คนอิตาลีส่วนใหญ่ชอบต้มกาแฟดื่มเองที่บ้าน ด้วยหม้อต้มกาแฟที่เรียกว่า “โมคา พอท” (Moka Pot) สิ่งประดิษฐ์ที่ “อัลฟองโซ บิอาเล็ตติ” ได้ไอเดียตอนที่เห็นเมียรักนั่งซักผ้า
“อัลฟองโซ บิอาเล็ตติ” (Alfonso Bialetti) เป็นวิศวกรชาวอิตาลี ที่ฝึกฝนทักษะการหลอมโลหะอะลูมิเนียมที่ฝรั่งเศสอยู่ร่วมทศวรรษ ก่อนจะออกมาตั้งโรงงานหล่อของตัวเองที่เมืองครูซิเนลโล ในแคว้นปีเยมอนเต ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี ในปี 1919 เพื่อผลิตสินค้ากึ่งสำเร็จรูปจากอะลูมิเนียมส่งให้โรงงานอื่น ๆ ไปประกอบ ต่อมาเขาได้เปลี่ยนโรงงานให้กลายเป็นสตูดิโอ สำหรับออกแบบและผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายเอง
การทำ Moka pot ตังต้นแบบ
แต่กิจการของอัลฟองโซ ที่กำลังไปได้สวยมาสะดุดกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในช่วงปี 1930 ส่งผลให้รายได้ของโรงงานลดลงอย่างมาก วันหนึ่งขณะที่กำลังคิดหาหนทางแก้วิกฤต เขาเหลือบไปเห็นภรรยาสุดที่รักกำลังง่วนอยู่กับการซักผ้ากองโตด้วยถังซักผ้าอัตโนมัติของฝรั่งเศส ต้นแบบของเครื่องซักผ้าในปัจจุบัน เครื่องนี้เป็นถังสังกะสีมีท่อกลวงที่ด้านบนเป็นรูพรุน เวลาใช้งานจะจุดไฟข้างล่างเพื่อให้น้ำเดือดเคลื่อนไปตามท่อแล้ววนกลับไปกลับมาช่วยให้เสื้อผ้าสะอาด แทนที่เขานั้นจะเข้าไปช่วยภรรยาซักผ้า สามีนักประดิษฐ์เห็นว่าหลักวิทยาศาสตร์ง่าย ๆ ที่เมื่อน้ำมีอุณหภูมิสูงขึ้นจะดันตัวขึ้นด้านบนนั้น น่าจะใช้นำมาสกัดความหอมมันของกาแฟบดออกมาให้ลิ้มรสได้เช่นกัน เขาเลยนำแนวคิดนี้ไปให้ ลุยจิ เดอ ปอนติ (Luigi De Ponti) พัฒนาต่อจนในปี 1933 หม้อต้มกาแฟทรงแปดเหลี่ยมทำจากอะลูมิเนียมที่มีชื่อว่า โมคา พอท ก็ถือกำเนิดขึ้นมา แล้วหลังจากนั้นก็กลายเป็นตำนาน
ความโดดเด่นของ โมคา พอท คือการใช้งานที่ง่ายดาย แค่ใส่น้ำร้อนลงไปในหม้อข้างล่าง ประกอบกรวยที่ใส่กาแฟบดเกือบละเอียดเข้าไป แล้วประกบกับโถส่วนบน ที่เหลือก็คือวาง โมคา พอท ลงบนเตาเพื่อต้มน้ำให้เดือด ไม่กี่นาทีแรงดันน้ำก็จะทำให้ได้กาแฟหอมกรุ่นพร้อมดื่มได้ทันที ซึ่งรสชาติที่ได้มีความเข้มข้นใกล้เคียงจากการชงจากเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ แต่ให้ความสะดวกและขั้นตอนเรียบง่ายกว่ามาก โมคา พอท เลยถูกจัดให้เป็นเครื่องครัวประจำบ้านชิ้นหนึ่งความนิยมของโมคา พอท เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังลูกชายของ อัลฟองโซ คือ “เรนาโต บิอาเล็ตติ” (Renato Bialetti) เข้ามารับช่วงต่อในปี 1946 เขาลงทุนทำการตลาดด้วยตัวเองเพื่อให้ผู้บริโภคได้รู้จัก โมคา พอท ทั้งการแสดงในภาพยนตร์โฆษณาเองหลายเรื่อง รวมไปถึงในปี 1954 เขาได้ให้นักวาดภาพ พอล แคมพานิ (Paul Campani) ออกแบบโลโก้จากตัวเอง จนกลายมาเป็นรูปชายหนวดงามตัวเล็กชูนิ้ว แปะข้างหม้อต้มกาแฟทุกใบอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ภาพร้าน Bialetti ในอิตาลี่
จากวันแรกจนถึงตอนนี้ ผ่านมาเกือบศตวรรษ บริษัท บิอาเล็ตติ (Bialetti) ของ อัลฟองโซ ผลิต โมคา พอท มาแล้วมากกว่า 200 ล้านชิ้น โดยที่แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งรูปแบบและวัสดุดั้งเดิม นอกจากมีการปรับปรุงเล็กน้อยเท่านั้น ความคลาสสิคทำให้หม้อต้มกาแฟทรงอาร์ตเดโคอันเป็นเอกลักษณ์นี้ ถูกนำไปตั้งแสดงในพิพิธภัณฑ์การออกแบบหลายแห่งทั่วโลก ตั้งแต่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ (The Museum of Modern Art) ในนิวยอร์ก, พิพิธภัณฑ์การออกแบบแห่งชาติ คูเปอร์-ฮิวอิท พิพิธภัณฑ์ในเครือสถาบันสมิธโซเนียน (Cooper-Hewitt, National Design Museum) ไปจนถึง พิพิธภัณฑ์การออกแบบแห่งกรุงลอนดอน (London Design Museum)
ว่ากันว่าปัจจุบัน 9 ใน 10 ของครอบครัวคนอิตาลี จะมีหม้อต้มกาแฟ โมคา พอท เป็นเครื่องครัวประจำบ้าน ซึ่งทำให้หม้อต้มกาแฟแบบนี้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของรสชาติกาแฟสดสไตล์อิตาลีไปเลย
ภาพสิ่งประดิษฐ์ต้นแบบ
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับข้อมูลที่ทาง Coffee Addict นำมาเสนอ ถ้าชอบ ก็กด Like กด Share กดติดตาม เพื่อจะไม่พลาดข่าวสารดีๆและเป็นกำลังใจให้เพจทำคอนเท้นท์ดีๆต่อไปครับ
เรียบเรียงโดย : Coffee Addict
โฆษณา