12 ม.ค. 2021 เวลา 14:24 • ธุรกิจ
8 หลักคิดการเงินสไตล์คนรุ่นใหม่
จากหนังสือ"วางแผนการเงิน & การเงินอสังหาฯ" โดย อ.อนุชา กุลวิสุทธิ์
เศรษฐกิจ สังคมและเทคโนโลยี ที่เปลี่ยนแปลง พัฒนาและก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการระบาดครั้งใหญ่ของโควิด​ คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้แนวคิดการเงินและกลยุทธ์การลงทุนในปัจจุบัน มีการปฏิวัติและเปลี่ยนแปลง ขนานใหญ่ตามไปด้วย
มาลองดูกันว่า แนวคิดการเงินและการลงทุน ที่เป็นแม่พิมพ์ปั้มความสำเร็จให้กับคนรุ่นใหม่ในขณะนี้กัน ว่ามีอะไรบ้าง แตกต่าง และเปลี่ยนแปลงไปจากรูปแบบที่คุ้นเคยกันแต่ก่อนอย่างไร ซึ่งประกอบด้วยหลักคิดใน 8 เรื่อง ดังนี้
1.เน้นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงและคืนทุนเร็วเป็นสำคัญ คนรุ่นใหม่ ล้วนอยากประสบความสำเร็จไวตั้งแต่อายุน้อยๆ ทั้งสิ้น เกณฑ์พิจารณาลงทุน จึงเน้นลงทุนกับช่องทางที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ และเร็วเป็นสำคัญ ภายใต้หลักคิดง่ายๆ ว่าเวลาคืนทุน(Payback Period) ที่สั้นกว่า นั่นจะหมายถึงรวยได้เร็วและความเสี่ยงการลงทุนที่ต่ำกว่าตามไปด้วย
 
2.เชื่อว่าผลตอบแทนสูงไม่จำเป็นว่าจะต้องเสี่ยงสูง เพราะปัจจุบันมีช่องทางการลงทุนใหม่ๆ ที่ใช้เงินลงทุนน้อยลง แต่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น ความเสี่ยงน้อยลง เกิดขึ้นในหลายรูปแบบด้วยกัน ตัวอย่าง เช่นการซื้อขายแบบรับออเดอร์ล่วงหน้า (Pre-Order) ซื้อขายแบบจับคู่ออร์เดอร์ภายในวันเดียวกัน (Day Trade) และ Drop Ship หรือการรับ เป็นหน้าร้านหรือตัวแทนขายออนไลน์ให้กับผู้ผลิต เป็นต้น
3
3.ให้ความสำคัญกับรายได้ทางอ้อม หรือ “Passive Income” มากขึ้น แรงกดดันทางเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน ส่งผลให้คนที่มีรายได้ประจำจากเงินเดือนและค่าจ้างแต่เพียงอย่างเดียว จะไม่เพียงพอสร้างความมั่งคงและมั่งคั่งให้กับครอบครัวได้เลย ดังนั้นทุกคนจึงต้องหาหรือมีช่องทางรายได้อย่างอื่น ควบคู่ไปกับรายได้ประจำด้วย ซึ่งรายได้เหล่านี้ เช่น ดอกเบี้ย เงินปันผล ค่าลิขสิทธิ์ และค่าเช่า เป็นต้น ยิ่งใครมีช่องทาง Passive Income มากเท่าไหร่ ยิ่งดีเท่านั้น
4.เน้นการลงทุนแบบจับเสือมือเปล่า ภายใต้หลักคิดที่ว่าใช้เงินลงทุนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ยิ่งน้อยเท่าไหร่ ยิ่งดีเท่านั้น เพราะจะทำให้ผลตอบแทนต่อเงินลงทุน(Return on Investment) สูงขึ้นได้มากเพียงนั้น ปัจจุบันมีเทคนิคใหม่ๆ เกิดขึ้นเกื้อหนุนแนวคิดนี้อย่างมากมาย อาทิเช่น ระดมทุนจากมวลชน (Crowd Funding) ซึ่งเป็นการหาสปอนเซอร์ ระดมทุนจากคนทั่วไป มาใช้ลงทุน เทคนิคการกู้ยืมเงินคนอื่นมาลงทุน(Other’s People Money) หรือเทคนิคซื้ออสังหาริมทรัพย์โดยไม่ต้องดาวน์(Nothing Down Techniques) เป็นต้น
5.เปลี่ยนจากกระจายการลงทุนมาเป็นจัดสรรเงินลงทุนแทน การกระจายการลงทุน(Diversification) แบบเก่า ในลักษณะซื้อหุ้นธุรกิจแตกต่างกันหลายๆ ตัว แม้สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้ แต่ก็จะส่งผลให้ผลตอบแทนรวมลดต่ำลงตามไปด้วย ดังนั้นนักลงทุนสายพันธุ์ใหม่ จึงนิยมเปลี่ยนมาใช้วิธีสับโยกเปลี่ยนประเภทการลงทุน (Asset Allocation) แทน ภายใต้หลักคิดที่ว่าแต่ละห้วงเวลา จะย้ายการลงทุนจากที่ไม่ดี ไปสู่การลงทุนที่ดี ซึ่งวิธีการแบบนี้นอกจากจะลดความเสี่ยงได้ดีกว่าแล้ว ยังช่วยให้ได้ผลตอบแทนรวมของพอร์ตฯ สูงอยู่ตลอดเวลาได้ด้วย
6.มิติการลงทุนไม่จำกัดเฉพาะในประเทศแต่ขยายสู่ต่างประเทศด้วย ดังนั้นในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจการลงทุนในประเทศไม่ดี นักลงทุนก็ยังมีทางเลือกที่จะย้ายการลงทุนไปยังประเทศอื่นๆ ที่เศรษฐกิจยังคงดีอยู่ได้ด้วย ซึ่งปัจจุบันการย้ายการลงทุนถือว่าทำได้ง่ายและสะดวกมาก โดยอาศัยการดำเนินการผ่านกองทุนรวมเป็นสำคัญ
 
7.ถือครองสินทรัพย์ลงทุนเฉพาะที่ให้กระแสเงินสดเป็นบวก เท่านั้น นั่นคือจะเลือกเฉพาะสินทรัพย์ที่มีรายรับสูงกว่ารายจ่ายเท่านั้น ซึ่งทางการเงินเรียกว่า “Positive Cash Flow” เหตุผลก็เพราะนอกจากไม่ต้องลงทุนเพิ่ม ยังสร้าง Passive Income ได้ในเวลาเดียวกันด้วย สำหรับสินทรัพย์ที่ ที่นิยมถือครองกันมาก ก็คือ คอนโดฯ ซึ่งมีจุดน่าสนใจตรงที่กู้ได้มาก ดอกต่ำ และถือครองไปนานๆ มีโอกาสเพิ่มค่าขึ้น(Appreciation) ได้ด้วย
8.เน้นลงทุนความรู้ควบคู่ไปกับการลงทุนปกติด้วย ความรู้และทักษะด้านการเงินและลงทุน ปัจจุบันถือว่าสำคัญอย่างยิ่งยวด ที่เป็นเช่นนี้เพราะมิติการลงทุน ขยายขอบเขตกว้างขวางไปกว่าแต่ก่อนมาก คนที่จะประสบความสำเร็จและทำเงินได้ ล้วนจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจการลงทุนต่างๆ เป็นอย่างดีเสียก่อน
โฆษณา