12 ม.ค. 2021 เวลา 17:46 • หนังสือ
อิคิไก “เหตุผลของการมีชีวิตอยู่”
อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เราตื่นนอนในทุกเช้า บทความนี้จะพาไปรู้จักกับแก่นความสุขของคนญี่ปุ่นนั่นก็คือ “อิคิไก”
อิคิไกเกิดจาก อิคิ(มีชิวิต)และไก(เหตุผลหรือคุณค่า) แปลตรงตัวได้ว่า “เหตุผลของการมีชีวิตอยู่”
อิคิไกประกอบไปด้วยเสาหลัก 5 ประการด้วยกัน
-เสาหลักประการแรก:การเริ่มต้นเล็กๆ
ในเสาแรกนี้ขอยกตัวอย่างจากร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังอย่างร้าน ซุคิยาบาชิจิโร่ ของคุณจิโร่ โอโนะ
ร้านอาหารมิชลิน 3 ดาวนี้เกี่ยวข้องกับเสาประการแรกอย่างไรผมจะเล่าให้ฟัง
ในตอนเริ่มต้นของคุณจิโร่นั้นไม่ได้คิดที่จะเปิดร้านอาหารให้มีชื่อเสียงโด่งดังในทันที เขาคิดแค่ว่าอยากเปิดร้านอาหารอะไรก็ได้เพื่อเลี้ยงชีพในตอนนั้น แต่ก็ได้เลือกซูชิเพราะซุชิในสมัยนั้นใช้ต้นทุนต่ำ จะเห็นได้ว่าเขาเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ
แต่สิ่งที่ทำให้แตกต่างก็คือเขาเริ่มต้นอย่าง’จริงจัง’มาก
คุณจิโร่ไม่ได้ตั้งใจตื่นขึ้นมาทำซูชิเพียงเพื่อขายได้ แต่เขากับตื่นขึ้นมาในความรู้สึกว่าอยากทำซูชินี้ให้มันอร่อยขึ้นเรื่อยๆ อย่างบ้าคลั่งจนคิดว่ามันจะมีวิธีไหนทำซูชิให้อร่อยได้มากไปกว่านี้อีก
เขาค้นหาวิธีที่จะเก็บไข่ปลาแซลมอนให้กินได้ทุกฤดู เพราะว่าโดยปกติแล้วไข่ปลาแซลมอนจะอร่อยเต็มที่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น แต่คุณจิโร่ก็พยามยามหาวิธีที่จะเก็บไข่ปลาเนี่ยให้สามารถกินแล้วอร่อยได้ในทุกฤดู
นอกจากนั้นเขายังเที่ยวหาฟางข้าวที่จะมาเผาแล้วรมควันกับเนื้อปลาให้อร่อย เนื้อปลาหลายๆแบบ ฟางข้าวหลายๆชนิด
ลองจับมาแมทช์กันแล้วดูว่าแบบเออคู่ไหนที่จับกันแล้วมันได้กลิ่นและรสชาติอร่อยที่สุด
และอีกอย่างที่ขึ้นชื่อของร้านนี้ก็คือ การวัดอุณหภูมิเนื้อปลาและอุณหภูมิมือของคนที่ปั้นซูชิ แล้วเสิร์ฟให้ลูกค้าในวินาทีนั้นจะได้ซูชิในรสชาติที่ดีที่สุด
จะเห็นได้ว่าคุณจิโร่เริ่มจากสิ่งเล็กๆ แต่สิ่งที่ทำให้ซูชิไม่เล็กเลยก็คือ’ความตั้งใจ’ที่เขาใส่ลงไปในซุชิแต่ละคำ
เสาหลักประการแรกตั้งใจจะบอกเราว่าอะไร
ไม่ต้องเริ่มคิดด้วยแผนการใหญ่โอ่อ่า
แค่เริ่มต้นเล็กๆค่อยๆทำสิ่งนั้น
ใส่ใจไปทีละขั้น
พัฒนาสิ่งที่เราทำจนถึงขีดสุด
แล้วเราจะมีความสุขในทุกวันที่ได้ทำได้พัฒนามันได้อยู่กับมัน จะมีความรู้สึกในการตื่นขึ้นมาแล้วอยากจะไปทำสิ่งที่ทำอยู่ให้พัฒนายิ่งขึ้นไป
นี่อาจจะเป็นอิคิไกของคุณจิโร่ คือการตื่นขึ้นมาแล้วได้ทำซูชิให้อร่อย
-เสาหลักประการที่สอง:การปลดปล่อยตัวเอง
ลองนึกถึงเด็กหรือนึกถึงตอนที่เราเป็นเด็ก
เรายังไม่มีแม้แต่ตัวตนที่ถูกนิยามในสังคม
ไม่ได้ผูกตัวเองเข้ากับอาชีพใดๆ
และสถานะทางสังคมใดๆ
มันจึงเยี่ยมมากถ้าเราจะรักษาวิถีทางแบบเด็กๆนี้ไว้ตลอดชีวิตของเรา
เสาหลักประการที่สองนี้ตั้งใจจะบอกเราว่า การที่คุณทำอะไรที่คุณรัก คุณควรทำไปโดยไม่คาดหวังถึงความสุขความสำเร็จ ไม่ต้องแบกตัวตน หรือแคร์สายตาคนอื่นว่าจะมองเรายังไง คุณแค่เป็นตัวเองก็พอแล้ว
-เสาหลักประการที่สาม:ความสอดคล้องและความยั่งยืน
นอกจากตัวเราแล้ว อิคิไกยังสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม ผู้คนรอบตัว และสังคมวงกว้าง
เราควรแสดงความเกรงใจและคำนึงถึงผู้อื่นระลึกผลจากการกระทำของเราเองต่อสังคมในวงกว้างด้วยท่าที’สงบเสงี่ยม’แต่’มั่นคง’
ในญี่ปุ่นจะมีศาลเจ้าแห่งนึงชื่อว่าศาลเจ้าอิเสะ ซึ่งถือว่าเป็นศาลเจ้าชินโตที่ใหญ่ที่สุด
ศาลเจ้านี้มีความพิเศษตรงที่ว่าจะมีการถูกรื้อถอนลงอย่างพิถีพิถัน ในทุกรอบ20ปี และก็สร้างขึ้นใหม่ที่มีโครงสร้างเหมือนเดิมเป๊ะโดยใช้วัสดุไม้ใหม่
ซึ่งมีการทำต่อเนื่องกันมากว่า1200ปีแล้ว
เพื่อธำรงการสร้างศาลเจ้าหลังใหม่นี้ให้เหมือนเดิมเป๊ะ ต้องเอาใจใส่และระเอียดรอบคอบอย่างมาก
ยกตัวอย่างเช่น ไม้ที่จะนำมาสร้างศาลเจ้านี้ ต้องเป็นไม้ฮิโนะคิ(ต้นสนญี่ปุ่น)และจะต้องมีอายุมากกว่า200ปีเท่านั้น และอีกเทคนิคนึงที่พิเศษก็คือศาลเจ้านี้สร้างโดยไม่ใช้ตะปูสักตัว
การสนับสนุนและฝึกฝนช่างไม้ให้มีทักษะสำหรับสร้างศาลนี้ จึงเป็นส่วนสำคัญในการรักษาความยั่งยืนให้กับศาลเจ้าอิเสะ
นี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมศาลเจ้าถึงมีการรื้อและสร้างใหม่ทุกปี
ก็เพื่อเป็นการสืบทอดเทคนิคและประสบการณ์จากรุ่นสู่รุ่นนั่นเอง
มันเหมือนกับให้คุณจินตนาการถึงวิธีที่จะทำให้บริษัทแอปเปิลดำเนินงานต่อไปอีกพันปีหลัง จาก สตีฟ จ็อบส์ ตายไปแล้ว คุณจะเริ่มรู้ว่านั่นเป็นงานที่ยากมาก
ดังนั้นเสาหลักประการที่สามจะสื่อให้เรา อาจจะมองหา สิ่งที่เราทำ กิจกรรม หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำแล้วมันรู้สึกว่ามีความสุขต่อตัวเราและก็มีประโยชน์ต่อสังคมและอยากให้สิ่งๆนั้นคงอยู่ไปเรื่อยๆในสังคมของเรา
-เสาหลักประการที่สี่:การอยู่ตรงนี้ ตอนนี้
เสาหลักนี้อธิบายว่า ให้เรามีสติอยู่ในทุกช่วงขณะ อยู่กับปัจจุบัน ไม่กังวลกับอนาคตและคิดถึงแต่อดีต ในชีวิตเรา บางครั้งก็จัดลำดับและให้ความสำคัญผิดไป
เวลาคุณทำอะไรก็แล้วแต่ถ้าคุณมีสมาธิจดจ่อจนเข้าถึงสภาวะแห่งความสุข ผู้ชมก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น คุณมีความสุขกับตรงนี้ ตอนนี้ แล้วก็ทำงานต่อไป
เรามักจะทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ได้รางวัล ถ้าไม่ได้รางวัลมากองอยู่เบื้องหน้าเราก็ผิดหวัง เลิกสนใจ และเลิกล้มความมุ่งมั่นที่จะทำงานนั้น นั่นเป็นวิธีการที่ผิดหมด
โดยทั่วไปมันต้องมีความล่าช้าระหว่างการกระทำและผลตอบแทน แม้ว่าคุณทำงานดีๆเสร็จรางวัลก็อาจจะยังไม่มากองอยู่ตรงหน้า การยอมรับหรือการรับรู้โดยคนอื่นนั้นเป็นการคาดเดาของเราเอง
ถ้าคุณสามารถให้กระบวนการแห่งความพยายามกลายเป็นแหล่งปฐมภูมิแห่งความสุข นั่นก็คือคุณได้บรรลุถึงสิ่งที่ท้าทายที่สุดในชีวิตแล้ว
ดังนั้น การเล่นดนตรีโดยไม่มีใครฟัง
วาดรูปโดยไม่มีใครดู
เขียนเรื่องสั้นโดยไม่มีใครอ่าน
ความสุขเกิดขึ้นภายใน
และความพึงพอใจของตนเอง
ก็มากเกินพอแล้วที่จะทำให้คุณมีชีวิตอยู่ต่อไป
-เสาหลักประการที่ห้า:มีความสุขกับสิ่งเล็กๆ
ชีวิตคนเราไม่ต้องรอให้ประสบความสำเร็จหรอกถึงจะมีความสุขได้ เราสามารถมีความสุขกับทุกสิ่งได้รอบๆตัวเรา
อาจจะเป็นความสุขเล็กน้อยที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
อย่างได้ลิ้มรสกาแฟแก้วโปรดในตอนเช้าพร้อมกับแสงแดดอุ่นๆ
การได้ตื่นมากินช็อคโกแลตก้อนที่เราชอบที่กินเข้าไปแล้วแบบอื้อหืออร่อยจังวะ
หรือได้กินข้าวกับครอบครัวที่เรารักได้ทักทายได้ยิ้มให้คนรู้จัก
แค่นี้ก็เติมความสุขเล็กๆน้อยระหว่างวันของเราได้แล้ว
-สรุปแล้วอิคิไกก็คือแนวคิด
ที่ทำให้เราเริ่มต้นทำอะไรสักอย่างทีละเล็กละน้อย
ใส่ใจรายละเอียดไปเรื่อยๆ
ไม่ต้องแบกตัวตนหรือสถานะทางสังคม แค่เป็นตัวของตัวเอง
ทำแล้วมีประโยชน์ต่อตัวเราและสังคมที่ยั่งยืน
ทำแล้วไม่คาดหวังสิ่งอื่นใด้นอกจากความพอใจที่ได้ทำ
และมีความสุขที่ได้ทำมันก็เพียงพอแล้ว
แล้วอะไรกันล่ะครับคือสิ่งที่คุณอยากตื่นขึ้นมาทำมันในทุกเช้า
และทำมันไปเรื่อยๆจนวันสุดท้ายของชีวิตคุณ
อ้างอิงเนื้อหาจากหนังสือ The Little Book of Ikigai ของอาจารย์ Ken Mogi
โฆษณา